บทที่ 11 เด็กน้อยผู้น่าสงสาร
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามที่มึงว่านั่นแหละ เอาเด็กอยู่กับมึงแล้วให้เงินแม่เขาไปซะ”
“กูไม่ได้บอกว่าจะให้เด็กมาอยู่กับกูนะ” วิโมกข์จ้องหน้าเพื่อนรักขณะพูดเสียงเย็น
“นี่มึงอย่าบอกนะ...” บารมีเบิกตาโตมองอีกฝ่ายเมื่อเริ่มเดาความคิดเขาได้
“เออ มึงเอาเด็กไปเลี้ยง เพราะกูเป็นคนจ่ายเงินให้แล้ว”
“ไม่ ๆ ๆ ไม่ได้เด็ดขาด มึงก็รู้ว่ากูต้องทำงานกลางคืนเป็นหลัก จะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลเขา และที่สำคัญที่สุดคือกูอยู่บ้านกงสี พ่อแม่กูยังเป็นใหญ่ในบ้าน มันต้องมีปัญหาแน่ถ้ากูพาอีริคเข้าไปอยู่ มึงเอาเขาไปเลี้ยงเองเถอะไอ้โมก บ้านมึงหลังใหญ่แต่ไม่มีใครอยู่มันดูวังเวง เอาเด็กไปอยู่ด้วยจะได้ครึกครื้นขึ้นมาอีกหน่อย เลี้ยงเอาไว้เป็นเพื่อนเจ๊หวังไง” บารมีหว่านล้อมด้วยเหตุผลร้อยแปด อยากจะแกล้งเย้าอีกฝ่ายว่าที่ไม่อยากเลี้ยงเด็กไว้เอง เพราะกลัวจะใจอ่อนกับแม่เด็กหรือเปล่า แต่ก็หักห้ามใจเอาไว้เพราะไม่ใช่เวลาที่ควร
“มึงจะให้กูเลี้ยงลูกของผู้หญิงคนนั้นเหรอไอ้ทศ” วิโมกข์ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเคร่งเครียด
“แต่เด็กมันไม่รู้เรื่องด้วยนี่มึง อีกอย่างเราก็รับปากหลุยส์ไว้แล้วนะ มึงลืมแล้วเหรอ”
“มึงนี่มีเหตุผลร้อยแปดที่จะให้กูเอาเด็กไว้เลี้ยงจริง ๆ นะไอ้ทศ แน่จริงทำไมไม่เลี้ยงเองล่ะ” วิโมกข์ทำตาเขียวใส่เพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์
“กูอยู่บ้านกงสีคนเยอะ ถ้าเป็นที่คอนโดกูก็อยู่คนเดียวไม่มีใครดูแลเด็กได้ เหตุผลง่าย ๆ แค่นี้แต่ก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเด็กนะไอ้โมก”
“ถ้ากูจะเอาเด็กไว้เอง กูก็ต้องบอกความจริงให้ป้าหวังเขารู้ เขาจะได้ช่วยดูแลเด็กอย่างเอาใจใส่และเลี้ยงดูด้วยความรัก เพื่ออนาคตที่ดีของเขา”
“มึงตัดสินใจดีแล้วแหละไอ้โมก ความดีที่มึงทำในวันนี้จะส่งผลให้มึงเจอผู้หญิงที่ดีในวันหน้า อนาคตมึงจะต้องได้เจอผู้หญิงที่สวยเหมือนนางงามจักรวาลแน่” บารมีพูดติดตลกเพื่อให้เพื่อนยิ้มบ้าง
“กูอยากได้งามจนมัจฉาจมวารี งามจนปักษีตกนภา งามจนจันทร์หลบโฉมสุดา งามจนมวลผกาละอายนาง มึงพอจะหาให้กูได้ไหมไอ้ทศ”
“แค่สวยสง่า สูงระหง โปร่งเสลา มีในสิ่งที่ควรมีก็พอแล้วมั้ง”
“มีในสิ่งที่ควรมีคืออะไรวะ”
“ห่างผู้หญิงมานานจนลืมนะมึง นี่ไง” บารมีทำหน้าทะเล้น ใช้สองมือทำท่าประคองเต้านมตัวเองแล้วขยับมือไปมา
“มึงนี่หื่นนะไอ้ทศ”
“มึงชอบจอแบนงั้นสิ” บารมีถามประชด
“ถ้าจอแบนแล้วไม่แรดกูรับได้”
“...มึงยังไม่ลืมมีนาอีกเหรอวะโมก” เขาถามเพราะเห็นแววตาเจ็บปวดที่ผุดขึ้นมาแวบหนึ่งของเพื่อน
“กูยังหายใจอยู่นะไอ้ทศ จะให้กูลืมง่าย ๆ ได้ยังไง” วิโมกข์ย้อนเสียงเครียด “แต่กูไม่ได้จดจำเธอแบบเดิมหรอก มึงไม่ต้องกลัวว่ากูจะกลับไปเป็นแบบห้าปีก่อน”
“ถ้าไม่ใช่กูก็สบายใจ แล้วเรื่องอีริคจะเอายังไง มึงจะให้กูไปเป็นพยานให้ไหม” บารมีกลับมาคุยเรื่องเดิมหลังจากออกนอกเรื่องเพื่อให้หายเครียดลงได้บ้าง
“กูนัดเธอมาพรุ่งนี้เพื่อให้คำตอบ”
“ทำไมมึงไม่ขอเบอร์เธอไว้ล่ะ”
“กูไม่อยากโทรคุยกับเธอ เพราะถึงโทรคุยก็ต้องมาเจอกันอยู่ดี พรุ่งนี้ตอนบ่ายเจอกันที่บ้านกู”…
มีนาวางโจ๊กกระป๋องที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อลงข้างหน้าลูกชาย แล้วยื่นช้อนพลาสติกให้เขาตักกินเอง
“มันร้อนครับคุณแม่ ป้อนอีริคหน่อยนะครับ” เด็กน้อยขอร้องมารดา
“ลูกโตแล้ว ต้องรู้จักช่วยตัวเองแล้วนะครับ” มีนาตักข้าวกล่องจากร้านเดียวกันใส่ปากตัวเอง ไม่สนใจจะทำตามที่ลูกชายร้องขอ.. แต่แล้วเธอก็เปลี่ยนใจเอาถ้วยโจ๊กมาถือไว้ ตักมาเป่าจนมั่นใจว่าหายร้อนแล้วป้อนลูกชาย “อร่อยไหมครับลูกแม่” ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและมีรอยยิ้มประดับใบหน้า
“อร่อยครับคุณแม่” เด็กน้อยพยักหน้าตอบรับอย่างมีความสุข
“อร่อยเท่าโจ๊กที่พี่หนึ่งทำให้กินไหมลูก” เธอหมายถึงพี่เลี้ยงเด็กที่ถูกไล่ออกไปเพราะไม่มีเงินจ้าง
“โจ๊กที่คุณแม่ซื้ออร่อยกว่าครับ” มันไม่ได้อร่อยเหมือนที่พี่หนึ่งทำ แต่เขาอยากตอบเอาใจมารดามากกว่า เพราะพี่หนึ่งเคยสอนให้เขาเอาอกเอาใจมารดามาก ๆ มารดาจะได้อยู่กับเขามากขึ้น
“ลูกจำยายที่จูงลูกไปดูปลาวันนี้ได้ไหมจ๊ะ” เธอเริ่มเข้าเรื่องอย่างมีความหวัง
“จำได้ครับ” เด็กชายนึกถึงคุณยายหน้าตาบึ้งตึงที่พาเขาไปดูปลาคาร์ฟในบ่อ
“เขาชื่อยายหวังจ้ะ ยายหวังเป็นคนที่ทำของอร่อย ๆ ได้หลายอย่างมาก อร่อยกว่าที่พี่หนึ่งทำอีก ถ้าลูกไปอยู่ที่บ้านนั้นลูกจะได้กินแต่ของอร่อย ๆ ทุกวัน ลูกชอบไหม”
“ชอบครับ” เด็กชายพยักหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มยินดีก่อนจะหุบลง และทำหน้าสงสัยแทน “แล้วเขาจะให้อีริคอยู่เหรอครับ” เด็กชายวัยเกือบห้าขวบสงสัย
“ให้สิจ๊ะ พรุ่งนี้ลูกจะได้เข้าไปอยู่ในบ้านนั้นแน่จ้ะ แต่ลูกต้องจำเรื่องที่แม่จะบอกให้ดีนะ”
“ครับ” เด็กน้อยรับคำและรอฟังอย่างตั้งใจ
มีนาคลี่ยิ้มกว้าง ดึงลูกชายตัวน้อยมากอดแนบอกแล้วหอมแก้มด้วยความรัก เธอรักลูกของเธอไม่ต่างไปจากแม่คนอื่น เพียงแต่เธอก็รักการพนันเหมือนลูกอีกคนหนึ่งเช่นกัน จึงทำให้เธอไม่มีเวลาเอาใจใส่ลูกชายคนนี้เท่าที่ควร
“ลูกต้องรักคุณอาให้มาก ๆ เหมือนที่รักคุณพ่อรู้ไหม”
“ครับ”
“แล้วลูกก็ต้องพูดถึงแม่บ่อย ๆ เหมือนตอนที่อยู่กับคุณพ่อด้วยนะ”
“ทำไมล่ะครับ” เด็กน้อยเริ่มสงสัยตามประสาเด็ก
“ถ้าลูกพูดถึงแม่บ่อย ๆ คิดถึงแม่บ่อย ๆ คุณอาจะรักลูกมากขึ้นไงจ๊ะ แล้วแม่ก็จะได้มาอยู่กับลูกตลอดไป จะไม่ไปไหนอีกแล้ว” เธอรู้ตัวดีว่าการตัดสินใจของวิโมกข์ในวันพรุ่งนี้ จะไม่มีเธอร่วมอยู่ด้วยในบ้านหลังนั้นแน่นอน เธอจึงใช้ลูกเป็นเครื่องมือเพื่อพาตัวเองกลับไปในอนาคตอันใกล้
“จริง ๆ นะครับ คุณแม่ไม่โกหกอีริคใช่ไหมครับ” เด็กน้อยไม่แน่ใจกับคำพูดของมารดา เพราะท่านเคยพูดแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายก็ทิ้งให้เขาอยู่กับบิดาเสมอ
“จริงสิจ๊ะ แต่ลูกต้องทำอย่างที่แม่บอกนะ แล้วแม่จะกลับไปอยู่กับลูกแน่นอน”...