บทที่ 4.1
พรหมจรรย์ของผู้อื่นไยข้าต้องใส่ใจ
หวังเฟยเฟิ่งวางถ้วยชาในมือลง สายตากวาดมองตัวเลขในสมุดบัญชีของหอบุปผาแล้วส่ายหน้าไปมา
“ขาดทุนมาสามปีแล้ว กิจการนี้ของท่านคงประคองได้อีกไม่นาน”
“คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องแล้ว สามปีมานี้หอเทียนเหอมีสาวงามมาเพิ่มทุกเดือน พวกบุรุษที่กระเป๋าหนักต่างก็พากันไปที่นั่นหมด หอบุปผาเล็กๆ อย่างพวกเราก็เลยลำบาก”
“เกรงว่าเรื่องนี้น่าจะไม่เกี่ยวกับหอเทียนเหอ”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกพลางมองการแต่งกายของหญิงงาม ตลอดจนการแต่งหน้าที่หนาราวกับโบกปูนซีเมนต์แล้วส่ายหน้าอีกครั้ง ทั้งเชย ทั้งไร้รสนิยม อย่าว่าแต่บุรุษเลย นางที่เป็นสตรีด้วยกันยังยากจะรับได้
ความจริงแล้วเรื่องการมาร่วมลงทุนเหล่านี้เป็นเพียงแค่ข้ออ้างที่หวังเฟยเฟิ่งใช้บังหน้าเพื่อจะได้เข้ามาซ่อนตัวในหอบุปผาเท่านั้น ทว่ายามที่ได้เห็นผลประกอบกิจการของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกอนาถใจไม่น้อย
“ร้อยตำลึงทอง หุ้นส่วนห้าในสิบส่วนตกลงก็ลงนาม ไม่ตกลงก็แยกย้าย”
จินเลี่ยง ได้ยินส่วนแบ่งที่อีกฝ่ายเสนอก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก ทว่าเวลานี้หอบุปผาของนางใกล้ล้มละลายเต็มที หากไม่ได้เงินก้อนนี้มาหมุนคาดว่าแม้แต่ส่วนเดียวนางก็คงไม่เหลือแล้ว
“คุณหนู สักสี่ส่วนได้หรือไม่”
“อาสุ่นกลับ!”
“อั๊ยหยา!...ตกลงๆ ห้าส่วนๆ”
หลังจากตกลงร่วมลงทุนแล้ว หวังเฟยเฟิ่งก็ให้อีกฝ่ายจัดห้องให้นางที่ชั้นสาม ซึ่งชั้นนี้ปกติแล้วจะเป็นห้องส่วนตัวของยอดหญิงงามสามอันดับของหอบุปผา
“นายหญิง พวกนางมาแล้ว”
จินเลี่ยงเอ่ยบอกแก่หวังเฟยเฟิ่งที่กำลังนั่งร่างแบบชุดให้เหล่าหญิงงาม แม้เป้าหมายที่แท้จริงของนางคือการหาที่หลบภัยหนีงานแต่ง ทว่าในเมื่อลงทุนร่วมกิจการไปแล้วจะไม่ใส่ใจเลยได้อย่างไร
“เจ้ามานี่”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกกับหญิงงามคนแรก ก่อนจะให้นางนั่งลงที่ตรงหน้า มือเรียวเปิดหีบเครื่องประทินโฉมใบใหญ่แล้วลงมือแต่งหน้าให้อีกฝ่ายอย่างชำนาญ ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อหญิงสาวหน้าขาวตรงหน้าก็กลายเป็นเด็กสาวแรกแย้ม พวงแก้มแดงระเรื่อบางๆ ทว่าดวงตากลับเย้ายวน งดงามราวกับคนละคน
“อาชุ่ย! เจ้างดงามมาก”
นับจากนั้นหวังเฟยเฟิ่งก็กลายเป็นช่างแต่งหน้าให้เหล่าหญิงงามประจำหอบุปผา ภายในเจ็ดวันชื่อเสียงของหอบุปผาก็ดังกระฉ่อน
บุรุษมากหน้าต่างเดินทางมาชื่นชมความงามของหญิงงาม จินเลี่ยงนับเงินเข้าหีบด้วยใบหน้าที่เบิกบาน
“อาสุ่น ทางจวนเป็นอย่างไรบ้าง”
“นายท่านยังระดมกำลังตามหาคุณหนูไม่หยุดเลยขอรับ”
หวังเฟยเฟิ่งถอนหายใจยาว อีกเพียงเจ็ดวันก็ถึงวันที่นางต้องขึ้นเกี้ยวเดินทางไปหัวเมืองเหรือเพื่อแต่งเข้าจวนพยัคฆ์ นางเพียงอดทนให้ถึงวันนั้นก็พอ
เพียงแต่สิ่งที่หวังเฟยเฟิ่งรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผลก็คือหลี่เจ๋อคุนบิดาของหลี่เหิงเย่วผู้นี้ ปกติแล้วมีนิสัยที่ตามใจบุตรีในทุกเรื่อง และครั้งนี้นางก็เขียนจดหมายทิ้งเอาไว้ว่าตนเองไม่ปรารถนามีสามี หากผู้เป็นบิดายกเลิกสมรสพระราชทานเมื่อไหร่นางก็จะกลับเรือนเมื่อนั้น ด้วยนิสัยทั้งรักทั้งห่วงบุตรีหลี่เจ๋อคุนควรต้องคล้อยตามนาง รีบไปขอยกเลิกสมรสพระราชทานมิใช่หรือไร ทว่าเขากลับไม่ยินยอมทำเช่นนั้น
สามเดือนมานี้จวนตระกูลหลี่แม้ไม่ติดประกาศตามหาแต่ก็ระดมคนตระเวนตามหานางไปทั่ว แม้รู้ว่านี่คือเส้นเรื่องนิยาย ทว่าช่างเป็นตรรกะที่นักเขียนสร้างขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“เอาเถิด อีกเจ็ดวันก็ถึงวันสมรสพระราชทาน ไม่มีเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวอย่างไรงานสมรสนี่ก็ต้องเป็นโมฆะ”
“คุณหนู ขัดราชโองการมีโทษประหารนะขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าอยากให้ข้าแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ชอบหรือไร”
“เช่นนั้นท่าน...”
แต่งกับข้า คำพูดนี้อาสุ่นได้แต่เอ่ยในใจ ด้วยสถานะเช่นเขาจะกล้าอาจเอื้อมได้อย่างไร มือหนากำกระบี่ในมือแน่น ดวงตาคมมองดอกเหมยบนรองเท้าของผู้เป็นนายด้วยความรักและเทิดทูน
คุณหนู แม้ข้าจะไม่เหมาะสมเคียงคู่กับท่าน แต่ข้าสาบานชั่วชีวิตจะอยู่เคียงข้างท่าน ปกป้องท่านจากทุกสิ่ง
“เอาเถิดอาสุ่น เจ็ดวันนี้เจ้าก็ไม่ต้องมาพบข้า เดี๋ยวจะเผยพิรุธให้ท่านพ่อจับได้เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ”
อาสุ่นขานรับแล้วจากไปในทันที แม้ในใจจะกังวลในความปลอดภัยของคุณหนูห้าหลี่ แต่เขาก็ไม่เคยคิดขัดความต้องการของอีกฝ่าย
ขอเพียงคุณหนูต้องการ แม้แต่ชีวิตอาสุ่นก็ยินดีมอบให้
เมื่อคล้อยหลังคนสนิทหวังเฟยเฟิ่งก็หยิบแบบร่างชุดที่แสนวาบหวิวของตนใส่ไว้ในหีบด้วยความภาคภูมิใจ ชุดพวกนี้นางล้วนจดจำมาจากชุดที่ทางกองละครให้นางสวมใส่ยามรับบทเป็นนางร้ายในละครย้อนยุค ทั้งงดงามและเย้ายวน หากตัดเย็บเสร็จต่อให้เป็นหญิงงามจากหอเทียนเหอก็ไม่อาจเทียบได้
“นายหญิง ช่างตัดเย็บนำชุดที่ท่านสั่งคราวก่อนมาส่งเจ้าค่ะ”
หญิงงามนางหนึ่งเดินเข้ามารายงานด้วยท่าทางนอบน้อม เพราะนับจากนายหญิงหวังเข้ามาช่วยดูแลกิจการหอบุปผา หนึ่งเดือนแรกหอบุปผาก็กลับมาคึกคัก พวกนางที่เปลี่ยนวิธีแต่งหน้าใหม่ก็งดงาม ยิ่งได้ใส่ชุดที่นายหญิงออกแบบให้ยิ่งขับเน้นให้พวกนางโดดเด่น ทุกวันนี้กล่าวได้ว่าพวกนางรับแขกกันแทบไม่หวาดไม่ไหว บางคนยังต้องตาขุนนางใหญ่ถูกรับไปเป็นอนุที่เรือนก็มี
“วางเอาไว้ แล้วนำแบบร่างพวกนี้ส่งไปให้ช่างตัดเย็บนำไปตัดเย็บเพิ่ม”
“เจ้าค่ะ เอ่อ...นายหญิงเจ้าคะ มีคุณชายท่านหนึ่งมาขอพบนายหญิง ไม่ทราบว่าท่าน...”
“ไม่พบ! คราวหน้าหากเจ้ากล้ารับสินบนคนนอก ข้าจะให้นายแม่ขายเจ้าไปหออื่น”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกเสียงเรียบ หากแต่ในแววตากลับเยือกเย็นเด็ดขาด จนอีกฝ่ายหวาดกลัวทรุดตัวคุกเข่าขานรับอย่างตื่นตระหนก
“ขะ...ข้าน้อยผิดไปแล้ว ขอนายหญิงโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”
นายหญิงหวังผู้นี้แม้หน้าตางดงาม รูปร่างบอบบาง ทว่ากลับมีอำนาจบางอย่างในดวงตาที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้เพียงสบตา และทั้งที่นางไม่ชื่นชอบการปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน แต่ชื่อเสียงความงามของนางก็หลุดออกไปจากหอบุปผาจนมีบุรุษมากมายมาขอพบนาง
“ออกไป!”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อหญิงงามตรงหน้าออกไปแล้วหวังเฟยเฟิ่งก็หยิบชุดสีแดงบางเบาตรงหน้าออกมาดู ก่อนจะผลัดเปลี่ยนเพื่อตรวจความเรียบร้อย
“นายหญิงแย่แล้วเจ้าค่ะ!”
เสียงของหญิงงามอีกนางวิ่งเข้ามาในห้องของหวังเฟยเฟิ่งด้วยท่าทางร้อนรน คิ้วเล็กพลันขมวดแน่นส่งสายตาเป็นคำถาม
“นายหญิง คุณชายซิ่วอาละวาดอยู่ที่ด้านล่างเจ้าค่ะ”
............................................