บทที่ 3.3 ตัดขาดวาสนาด้ายแดง

1192 Words
บทที่ 3.3 ตัดขาดวาสนาด้ายแดง หวังเฟยเฟิ่งค่อยๆ ปรือตาตื่น ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าพลันผุดเข้ามาในความคิด ร่างเพรียวบางดีดตัวลุกจากที่นอนด้วยอาการตื่นตระหนก ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาว ที่แท้เมื่อครู่นางก็แค่ฝันไปนี่เอง เมื่อนึกถึงแม่ทัพเกาเฉิงหนานและกุนซือเมิ่งซืออิง คล้ายว่าในนิยายได้เอ่ยถึงสองคนนี้ไว้เล็กน้อยว่า พวกเขามีสถานะเป็นบุตรชายของแม่นมในองค์รัชทายาท ทว่าเพราะชีวิตอยู่ในสนามรบตั้งแต่อายุสิบสามปี นิสัยของสองจอมทัพนี้จึงป่าเถื่อนดุดัน ชื่นชอบการฆ่าฟัน ก่อนหน้านี้มีขุนนางมากมายหมายมั่นผูกวาสนาบุตรสาวตนเองกับพวกเขา เพียงแต่พบเจอเพียงครั้งเดียวแม่สื่อไม่ทันเข้าไปเจรจา บรรดาบุตรสาวขุนนางเหล่านั้นก็หวาดกลัวแม่ทัพเกาและกุนซือเมิ่งจนตัวสั่น ยอมตายไม่ยอมแต่งเข้าจวนพยัคฆ์ บุรุษเช่นนี้หากนางแต่งให้ คาดว่าไม่ทันดื่มสุรามงคลก็คงถูกเขาสังหารตายก่อนแน่นอน คิดถึงตรงนี้แล้วหวังเฟยเฟิ่งก็ถอนหายใจยาว ยกมือขึ้นตบอกยิ้มกว้างอย่างผ่อนคลายที่ทุกสิ่งเป็นเพียงความฝัน “เย่วเอ๋อร์! เย่วเอ๋อร์ลูกพ่อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงของเสนาบดีหลี่ดังมาก่อนตัว ไม่นานร่างอ้วนท้วมก็วิ่งเข้ามาหาหวังเฟยเฟิ่งด้วยลักษณะคล้ายคนที่กำลังจะร่ำไห้ หวังเฟยเฟิ่งยกมือขึ้นกุมขมับ แม้จะรู้ว่านักเขียนกำหนดให้หลี่เจ๋อคุนผู้นี้ทั้งรักทั้งห่วงบุตรีคนเล็กผู้นี้มาก แต่เช่นนี้ออกจะมากไปหรือไม่ มีบิดาตามใจเยี่ยงนี้ มิน่าเล่าหลี่เหิงเย่วจึงกล้ากระทำเรื่องเลวร้ายมากมาย “อ่า...สวรรค์เมตตาลูกสาวของข้าแล้ว เย่วเอ๋อร์เจ้าฟื้นแล้ว” หลี่เจ๋อคุนนั่งลงบนเตียง จับมือบุตรสาวมากอบกุมพร้อมกับเอ่ยปลอบโยนด้วยความรักและห่วงใย “เย่วเอ๋อร์ เรื่องสมรสพระราชทานครั้งนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป แม่ทัพเกาผู้นั้นแม้จะร่างสูงใหญ่กำยำ แต่หน้าตาของเขานับว่าโดดเด่นไม่แพ้องค์รัชทายาทเลย” หวังเฟยเฟิ่งได้ยินเช่นนี้ในใจก็พลันตื่นตระหนก นี่หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเรื่องสมรสพระราชทานกับแม่ทัพเกาจะไม่ใช่ความฝัน ใบหน้าที่สดใสเมื่อครู่พลันซีดเซียว คำพูดติดขัดอยู่ในลำคอ “ทะ...ท่านพ่อ นี่หมายความว่า...” “เย่วเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องเขินอาย เรื่องเช่นนี้พ่อเคยผ่านมาก่อน แม่ทัพเกาผู้นี้แข็งแรงมาก ย่อมทำให้เจ้ามีความสุขมากกว่าองค์รัชทายาทแน่นอน” หวังเฟยเฟิ่งได้ยินวาจาของผู้เป็นพ่อก็แทบจะเป็นลมอีกรอบ หากแต่เวลานี้ถ้านางโวยวายว่าไม่ยินยอม บิดาผู้นี้ของหลี่เหิงเย่วคงจับนางมัดมือมัดเท้าขังในเรือน รอวันแต่งงานค่อยโยนนางขึ้นเกี้ยวอย่างแน่นอน ดังนั้นเวลานี้หวังเฟยเฟิ่งจึงได้แต่ตั้งสติฉีกยิ้มให้คนตรงหน้าเท่านั้น หลี่เจ๋อคุนเห็นบุตรีว่านอนสอนง่ายไม่โวยวาย ในใจก็ยินดีจนความสุขแทบล้นออกจากอก ส่งเสียงหัวเราะเอ่ยชมความกตัญญูของบุตรีลั่นเรือนก่อนจากไป เมื่อไร้ร่างของเสนาบดีหลี่แล้วหวังเฟยเฟิ่งก็มานั่งกุมขมับอีกรอบ นางไม่กลัวโทษขัดราชโองการ เพราะรู้ดีว่าบิดาของตนเป็นสหายสนิทองค์ฮ่องเต้ อีกทั้งมีบุญคุณต่อแผ่นดิน นิสัยซื่อตรงไม่เคยทุจริตยกยอผู้ใด ดังนั้นความผิดใดๆ ของเขา ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็มักแสร้งปิดหูปิดตาอยู่เสมอ “ลี่ลี่ ไปตามอาสุ่นมาพบข้า” หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยเสียงตึงเครียด หกเดือนไม่นับว่าเร็วแต่ก็ไม่ช้านัก นางต้องเร่งวางแผนการรับมือ และหนีการแต่งงานครั้งนี้ให้ได้ แน่นอนว่าสถานที่หลบภัยคงเป็นสำนักนางชีบนเขายวี่ซวนไม่ได้ เพราะหากนางหายไปที่นั่นคงเป็นสถานที่แรกที่คนในตระกูลหลี่จะพุ่งตรงไป ทว่าสถานที่ใดกันที่คนในตระกูลหลี่จะคิดว่านางไม่มีทางไป สถานที่ที่คุณหนูห้าหลี่อย่างนางจนตายก็ไม่มีทางก้าวเท้าเข้าไป เห็นทีจะมีเพียงที่เดียวแล้ว ................................................. “คุณชาย ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ” “คุณชาย เหตุใดหายหน้าไปนานนักเจ้าคะ” เสียงหวานใสออดอ้อนของสตรีหน้าหอนางโลมแห่งหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ร่างอวบอิ่มจะบดเบียดแนบชิดชายหนุ่มเจ้าสำราญ ดึงรั้งยั่วยวนล่อลวงจนพวกเขาต่างพากันเดินเข้าไปด้านใน หวังเฟยเฟิ่งยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างระอาใจ บุรุษก็เป็นเช่นนี้ จะให้กี่ยุคกี่สมัยยามพบเจอหญิงงามก็ยากจะต้านทาน ดวงตาหวานมองหอนางโลมขนาดเล็กตรงหน้า แล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์ หากนางจะใช้ที่นี่เป็นสถานที่หลบซ่อนตัวสักหนึ่งเดือนย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน “คุณหนู ท่านคิดดีแล้วหรือขอรับ” “อืม...เจ้าเข้าไปแจ้งขอพบเจ้าของหอนางโลม แล้วเจรจาเช่นที่ข้าบอก” อาสุ่นถอนหายใจยาวในความบ้าบิ่นของผู้เป็นนาย หากแต่สุดท้ายก็ไม่อาจขัดใจอีกฝ่าย ขยับตัวเดินไปที่หอนางโลมตรงหน้า บรรดาหญิงงามน้อยนักจะได้พบชายหนุ่มกำยำที่หน้าตาดีงามมาเที่ยวหาความสำราญ ต่างก็กรูกันเข้ามาหาอาสุ่น เขาขบกรามแน่นเมื่อเห็นมือเรียวของพวกนางเอื้อมมาหมายวางบนตัวเขา สองเท้าพลันขยับตัวถอยหนี “ขออภัยแม่นางทั้งหลาย ข้ามาขอพบเจ้าของหอเพื่อสนทนาเรื่องการร่วมทุน” หลายเดือนก่อนคุณหนูหลี่ให้เขามาสืบหาหอนางโลมที่กำลังมีปัญหาเรื่องการเงิน อาสุ่นใช้เวลาถึงสามเดือนจึงพบหอนางโลมเล็กๆ แห่งนี้ “ท่านแม่กำลังแต่งตัว เช่นนั้นระหว่างรอท่านแม่ เจ้ามาเล่นสนุกกับพวกเราสักรอบสองรอบก่อนดีหรือไม่” หญิงงามนางหนึ่งเอ่ยเสียงยั่วยวน ก่อนที่สตรีรอบๆ จะเอ่ยสนับสนุนสาวเท้าเข้าหาเขา คิ้วเข้มของอาสุ่นขมวดเข้าหากันแน่น ดวงตาดุตวัดสายตาขุ่นมองอย่างไม่พอใจ ยกกระบี่ขึ้นขวางกั้นมิให้หญิงใดได้แตะต้องตัวของเขา “ไม่รบกวนเวลางานของแม่นางทั้งหลาย หากเจ้าของหอไม่สะดวกพบเช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวน” “เอ๋! เดี๋ยวสิ พวกเราบอกว่าท่านแม่แต่งตัวอยู่ ไม่ได้บอกว่าพบไม่ได้เสียหน่อย” หญิงงามที่ดูอาวุโสที่สุดในกลุ่มเอ่ยทัดทาน แม้พวกนางจะเป็นเพียงหญิงงาม ทว่าเรื่องที่การเงินภายในหอบุปผานี้ติดขัดพวกนางล้วนรู้ดี เมื่อมีคนกระเป๋าหนักยื่นมือมาช่วยพยุงกิจการ พวกนางจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร .................................................
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD