บทที่ 3.2
ตัดขาดวาสนาด้ายแดง
ผ่านมาสามวันแล้วที่หวังเฟยเฟิ่งพาร่างของหลี่เหิงเย่วหนีออกจากจวนตระกูลหลี่ การใช้ชีวิตในสำนักชีแห่งยวีซวงไม่นับว่าลำบากมากนัก นั่นอาจเป็นเพราะนางมาอยู่ที่นี่ในฐานะคนติดตามของจิ้นกุ้ยเฟย ทว่าเพราะไม่มีรายชื่อในทะเบียน จึงไม่ได้รับผิดชอบงานใดๆ แต่ละวันนอกจากไหว้พระสวดมนต์ เวลาที่เหลือก็หลบมาเอนตัวนอนกลางวันบนต้นไม้หลังสำนักชีให้เวลาผ่านพ้นไปเท่านั้น ช่างเป็นการใช้ชีวิตที่แสนผ่อนคลายจริงๆ
“หลี่เหิงเยว่!”
ความคิดในใจของนางสะดุดลงในทันที เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นหูดังก้องมาจากทางด้านล่าง
เสนาบดีหลี่!!
ดวงตาหวานเบิกกว้างพลิกตัวอย่างหลงลืมทำให้เสียสมดุลร่างกาย ร่างเพรียวหมุนเคว้งลอยละลิ่วจากกิ่งไม้ใหญ่ หากแต่เพราะเห็นว่าอาสุ่นกำลังทะยานกายมาช่วย ความหวาดกลัวในใจของนางจึงเบาบางลง ทิ้งตัวลงสู่พื้นอย่างสบายใจ
ตุ้บ!
เสียงของหนักกระทบพื้น พร้อมกับความจุกแน่นที่แล่นไปทั้งตัวของหวังเฟยเฟิ่ง ดวงตากลมค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก มองเห็นบ่าวชายคนสนิทนั่งรอรับนางอยู่ที่ด้านข้างห่างเพียงสามชุนเท่านั้น
“อาสุ่นเจ้า!”
“คุณหนูข้าผิดไปแล้ว ข้า...”
อาสุ่นเอ่ยเสียงอ่อนอย่างสำนึกผิด เพราะเขาคาดเดาระยะผิดพลาดจึงเข้ามารับร่างคุณหนูไม่ทัน
หวังเฟยเฟิ่งตวัดสายตามองค้อนเขาก่อนที่จะส่งมือให้ชุนหรงลี่เข้ามาประคองตนเองลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบาก สาวใช้คนสนิทช่วยปัดเศษฝุ่นและใบไม้ออกจากเนื้อตัวคุณหนูห้าหลี่ ขณะที่หวังเฟยเฟิ่งพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดตามเนื้อตัว ฉีกยิ้มกว้างส่งสายตาออดอ้อนบิดา พร้อมเรียกขานเสียงอ่อนหวาน
“ท่านพ่อ ข้าคิดถึง...”
“ไม่ต้องมาใช้เสียงเช่นนี้กับพ่อ เย่วเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป! เจ้าทำให้...”
“โอ๊ย! ข้าเวียนหัว เวียนหัวจังเลย จะเป็นลมแล้ว เป็นลมแล้ว!”
หวังเฟยเฟิ่งไม่รอให้ผู้เป็นบิดาของหลี่เหิงเย่วได้เอ่ยปากตำหนิจบก็แสร้งไม่สบายกะทันหัน เอนตัวล้มลงในอกของสาวใช้ชุนหรงลี่
หลี่เจ๋อคุนเห็นบุตรสาวเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาก็ตื่นตระหนก รีบเรียกคนให้มานำตัวของลูกสาวคนโปรดกลับตระกูลหลี่ในทันที
เพียงแม้แต่หวังเฟยเฟิ่งจะรอดจากการถูกบิดาดุด่า แต่นางกลับถูกสั่งกักบริเวณถึงหนึ่งเดือน ใบหน้าหวานงอง้ำ หากแต่เมื่อเทียบกับโทษอย่างอื่นแล้วสำหรับหวังเฟยเฟิ่งโทษกักบริเวณนี้นับว่าเป็นการลงโทษที่เบาที่สุด
“ลี่ลี่ เหตุใดท่านพ่อจึงตามไปจับตัวข้าได้เร็วนัก”
“คุณหนูลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ ว่านายท่านน่ะเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายขวาเชียวนะเจ้าคะ เส้นสายของท่านมากมาย แค่คนคนเดียวใช้เวลาตามหาถึงสามวันยังนับว่านานไปด้วยซ้ำเจ้าค่ะ”
หวังเฟยเฟิ่งถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะเผยสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“อืม...ท่านพ่อของข้ายิ่งใหญ่ขนาดนี้นี่เอง มิน่าเล่ารัชทายาทถึงอยากเกี่ยวดองด้วย”
หวังเฟยเฟิ่งคิดพลางส่ายหน้าไปมา ทั้งที่มีรูปโฉมงดงาม มีอำนาจตระกูลยิ่งใหญ่ หลี่เหิงเย่วกลับทำราวกับตนเองเป็นสตรีไร้ค่าที่โง่งม มอบใจให้บุรุษตาบอดไร้เมตตาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
“อาการบาดเจ็บของอาสุ่นเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อคิดถึงอาการบาดเจ็บของบ่าวชายแล้ว หวังเฟยเฟิ่งก็นึกโล่งใจที่วันนี้เขาเข้ามารับร่างนางจากการพลัดตกต้นไม้ไม่ทัน ไม่เช่นนั้นเกรงว่าบาดแผลของเขาคงฉีกขาดเพิ่มแน่ๆ
“บาดแผลปิดสนิทแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ฝึกกระบี่อยู่ที่ท้ายจวน”
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็สบายใจ ลี่ลี่ เจ้าไปซื้อหนังสือนิยายมาให้ข้าสักสิบเล่ม อ่า...ยี่สิบเลยแล้วกัน”
“คุณหนูในหีบนั่นท่านยังอ่านไม่หมดเลยนะเจ้าคะ”
“ในหีบก็ส่วนในหีบ ซื้อเพิ่มก็ส่วนซื้อเพิ่มเหมือนกันที่ไหน”
“แต่...”
“เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าเถียงข้าแล้วหรือ”
หวังเฟยเฟิ่งแสร้งปรับโทนเสียงเป็นดุดัน ชุนหรงลี่ได้ยินแบบนี้ก็ทรุดตัวลงคุกเข่า หวาดกลัวว่าคุณหนูของนางจะกลับมาเป็นสตรีร้ายกาจเช่นเดิม
“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูอย่าโมโหเลยนะเจ้าคะ”
“ในเมื่อรู้ว่าผิด คราวหน้าก็อย่าขัดใจข้า รีบไปรีบมา อ้อ...แวะซื้อถังหูลู่มาให้ข้าด้วย”
“เจ้าค่ะ”
หวังเฟยเฟิ่งมองตามแผ่นหลังของสาวใช้แล้วยิ้มขบขัน ก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือนิยายในหีบมาเอนตัวนอนอ่าน หนึ่งเดือนนี้ก็ถือเสียว่านางกักตัวพักผ่อน นอนอ่านนิยายก็แล้วกัน
.................................................
ย่างเข้าสู่วสันตฤดู ประตูเรือนของคุณหนูห้าก็เปิดออก หวังเฟยเฟิ่งก้าวเท้าออกจากเรือนด้วยรอยยิ้ม เมื่อนับดูแล้ววันนี้ถือว่าครบกำหนดกักบริเวณของนางแล้ว
“ยินดีกับคุณหนูห้า!”
เสียงของบ่าวไพร่โน้มตัวเอ่ยแสดงความยินดีกับนางที่พ้นโทษกักบริเวณของบิดาแล้ว ใบหน้าหวานยิ้มกว้างพยักหน้ารับอย่างยินดี ความอิสระนี้ช่างดียิ่งนัก...
“วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ เอาละๆ พวกเจ้าไปแจ้งโรงครัว พวกเราจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับอิสระของข้า กินดื่มด้วยกันฟ้าไม่สว่างไม่เลิก”
“ขอบคุณคุณหนูห้า”
เสียงขานรับนับสิบชีวิตเอ่ยด้วยความยินดี หนึ่งในนั้นวิ่งไปแจ้งโรงครัวอย่างเร่งรีบ หวังเฟยเฟิ่งมองดูท่าทางของบรรดาบ่าวชายและสาวใช้ที่มีต่อตนแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างมากขึ้น ดูเหมือนสองสามเดือนมานี้นางจะละลายความกลัวของคนในเรือนที่มีต่อนางได้แล้วจริงๆ
“คุณหนู! คุณหนู!”
เสียงหวานของชุนหรงลี่ดังมาก่อนตัว หวังเฟยเฟิ่งยกแขนขึ้นกอดอกมองสาวใช้คนสนิท ที่ตอนนี้สนิทจนไม่เหลือความกลัวต่อนางแล้วด้วยความขบขัน
“มู่มู่ เอาน้ำให้น้องเจ้ากินหน่อย ดูเอาเถิดเหนื่อยจนลืมกลัวข้าไปแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
ชุนหรงมู่ย่อตัวรับคำสั่งแล้วหันไปรินน้ำชาส่งให้น้องสาวที่หยุดยืนอยู่กลางลานด้วยอาการเหนื่อยหอบ
“อาลี่ อยู่ต่อหน้าคุณหนูสงวนกิริยาให้มากหน่อย อย่าทำให้คุณหนูโมโห”
ชุนหรงลี่ถูกพี่สาวเตือนก็สูดลมหายใจเข้า และผ่อนออกเพื่อขับไล่ความเหนื่อยของตน ก่อนจะยืดอกเก็บกิริยาที่ไม่สำรวมของตนทันที
“ไม่เป็นไรวันนี้ข้าอารมณ์ดีเรื่องใดๆ ก็ไม่ถือสา ลี่ลี่ เจ้ารีบร้อนเช่นนี้มีเรื่องด่วนอะไรกัน”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี สายตาสดใสมองรอบเรือนอย่างร่าเริง นางได้ก้าวออกมานอกเรือนในรอบหนึ่งเดือน จะไม่ให้อารมณ์ดีได้อย่างไรกัน เพียงแต่ทันทีที่ได้ยินประโยคต่อมาของสาวใช้คนสนิท ใบหน้าที่มีรอยยิ้มกว้างก็พลันแข็งค้าง ดวงตาที่สดใสก็พลันแห้งแล้งขึ้นมา
“มีราชโองการประทานสมรสให้คุณหนูกับแม่ทัพเกาเฉิงหนานในอีกหกเดือนเจ้าค่ะ”
สิ้นคำรายงานของชุนหรงลี่ หวังเฟยเฟิ่งก็รู้สึกคล้ายทัศนียภาพเบื้องหน้าพร่ามัวเลือนราง ร่างกายแข็งค้างราวกับว่าสติหลุดลอย ก่อนที่ทุกสิ่งเบื้องหน้าจะดับวูบพร้อมกับร่างของนางที่สิ้นสติในทันที
สวรรค์ ท่านยังรังแกข้าไม่พอใช่หรือไม่!
.................................................