บทที่ 3.1
ตัดขาดวาสนาด้ายแดง
ยามตะวันทอแสง ชาวเมืองเริ่มทยอยเปิดประตูเรือน หวังเฟยเฟิ่งก็เร่งก้าวเท้าออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อไปยังจุดนัดพบ หลังจากกึ่งเดินกึ่งวิ่งราวหนึ่งเค่อก็เห็นศาลากลางเมืองอยู่เบื้องหน้า ดวงตาหวานก็เปล่งประกายยินดีเร่งสาวเท้าไปหลบยังต้นไม้ใหญ่ริมน้ำ จัดแจงเสื้อผ้าชุดคนงานที่อาสุ่นมอบให้ หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยเข้าที่ รั้งรออยู่ไม่นานนักขบวนเสด็จของจิ้นกุ้ยเฟยก็มาหยุดพักที่ศาลา ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินมาหานางแล้วเอ่ยเสียงเบา
“วันนี้ฟ้าช่างปลอดโปร่งยิ่ง”
“อากาศดีนกกระเรียนห้าตัวจึงลงมากินน้ำ”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยตอบเป็นรหัสลับ เมื่อแน่ใจว่านางคือคนที่ถูกไหว้วานฝากให้พาออกนอกเมืองด้วย หัวหน้าคนงานก็เดินนำทางนางกลับเข้าไปในขบวนเสด็จของจิ้นกุ้ยเฟย
หวังเฟยเฟิ่งผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก คาดว่าวันนี้เทพโชคชะตาคงจะเข้าข้างนางแล้วทุกสิ่งจึงราบรื่นเช่นนี้
หลังจากหยุดพักราวสองเค่อจิ้นกุ้ยเฟยก็กลับขึ้นไปบนรถม้า ขันทีคนสนิทขานบอกนำทาง บรรดาทหาร นางกำนัล และคนงานติดตามร่วมสองร้อยชีวิตก็ค่อยๆ ออกเดินทางต่อ หวังเฟยเฟิ่งที่เดินตามอยู่ท้ายขบวนก้มหน้าลอบอมยิ้มอย่างมีความสุข
ในที่สุดข้าก็หนีรัชทายาทคลั่งรักผู้นั้นพ้นสักที
ผ่านไปราวๆ สองชั่วยามขบวนเสด็จของจิ้นกุ้ยเฟยก็เดินทางมาถึงสำนักชีแห่งเขายวีซวน หวังเฟยเฟิ่งแทบจะกู่ร้องด้วยความยินดี เพราะตั้งแต่เมื่อคืนนับรวมก็สามชั่วยามแล้วที่นางทั้งเดินทั้งวิ่ง จนเวลานี้สองขาของนางทั้งปวดร้าวและชาหนึบจนคล้ายกับนางเป็นคนไร้ขาไปแล้ว
เมื่อมาถึงสำนักชี ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน ขณะที่หวังเฟยเฟิ่งผู้เป็นเพียงบุคคลแอบแฝงค่อยๆ ลอบออกไปที่ด้านหลังสำนักชี อาศัยร่มไม้ใหญ่หามุมสงบเอนตัวพักผ่อนคลายความเมื่อยล้า จวบจนอัมพรเปลี่ยนผันจากความสว่างไสวกลายเป็นมืดมิด ดวงดาราประกายระยิบระยับเคียงคู่กับจันทรา หวังเฟยเฟิ่งก็ค่อยๆ ปรือตาตื่นเพราะอากาศหนาวเย็น ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยขบตามตัว
หากแต่ในจังหวะที่หวังเฟยเฟิ่งกำลังจะลุกขึ้นเพื่อเดินกลับเข้าไปยังเรือนพักที่สำนักชีจัดเตรียมไว้ เสียงสนทนาของบุรุษปริศนาก็ดังขึ้น จนนางต้องหยุดชะงักนั่งนิ่งตัวเกร็งสะท้าน
“อาหยุนเป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณชายเฉินปลอดภัยดีพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่พวกเราทำเช่นนี้หากข่าวรั่วออกไป เราจะไม่ติดร่างแหกลายเป็นกบฏหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ปิดปากทุกคนให้หมด”
ปิดปาก ประโยคนี้ย่อมไม่ใช่เอามือปิดปากห้ามคนพูดเรื่องไม่ควรพูด แต่เป็นเอากระบี่ปิดลมหายใจคนที่คิดว่าจะพูดเรื่องที่พวกเขาไม่อยากให้พูด ดังคำที่ว่าคนตายแล้วย่อมพูดไม่ได้ หลี่เหิงเย่วนั่งนิ่งตัวเกร็งราวกับร่างที่ไร้วิญญาณอยู่ครึ่งคืน เมื่ออยู่ดีๆ ตนเองก็กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่บุคคลปริศนาคิดปิดปาก จนกระทั่งแน่ใจว่ารอบกายไร้ผู้คนจึงค่อยๆ คลานไปตามพุ่มไม้เพื่อกลับเข้าห้องพัก
ให้ตายเถอะ ถ้าจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้ นางขอแต่งเข้าตำหนักบูรพาดื่มสุรามงคลพิษนั่นตายไปเสียดีกว่า
สวรรค์เป็นท่านไร้ตาหรือว่าชะตาข้าอาภัพกันแน่ แค่หนีจากงานแต่งรัชทายาทคลั่งรักนั่นก็ยากลำบากพอแล้ว มาหลบถึงสำนักชีโชคชะตาก็ยังพานางมารู้เรื่องที่ไม่ควรรู้เข้าไปอีก
กล่าวถึงคุณชายเฉิน นักโทษกบฏ แม้หวังเฟยเฟิ่งจะอ่านนิยายเรื่องนี้ยังไม่จบ ทว่าตัวร้ายอันดับหนึ่งในเรื่องอย่าง เฉินเจ๋อหยุน หวังเฟยเฟิ่งก็จดจำได้ดี เพียงแต่ในนิยายคนผู้นี้ตายไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดบุคคลปริศนาเมื่อครู่จึงกล่าวว่าเขาปลอดภัยดีเล่า
ช่างเถิด ตัวร้ายอย่างเฉินเจ๋อหยุนจะเป็นจะตายนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ...นางจะให้ใครรู้ไม่ได้ว่านางรู้ความลับนี้เข้าแล้ว
หวังเฟยเฟิ่งค่อยๆ ก้าวเดินในท่านั่งจนมั่นใจว่าออกมาไกลจากจุดอันตรายแล้ว จึงค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืนโดยใช้แผ่นหลังเอนพิงกับก้อนหินใหญ่ สองมือสาวขึ้นช้าๆ ด้วยสีหน้ายับย่น สองขาทั้งปวด ทั้งตึง ร่างกายหมดเรี่ยวแรง จนแทบจะไม่มีกำลังหายใจ
อ่า...ร่างกายนี้ช่างบอบบางนัก นั่งเดินไม่ไกลก็ปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลยทีเดียว หรือนี่เป็นโทษจากสวรรค์ที่ข้าตัดขาดวาสนาด้ายแดงของหลี่เหิงเย่วกับรัชทายาทกัน
“นี่ชิงชิง เมื่อเช้าข้าลงไปซื้อของที่ตลาด ได้ยินว่าบุตรีลำดับที่ห้าของเสนาบดีหลี่หนีการอภิเษกสมรสกับองค์รัชทายาทไปแล้ว ยามนี้คุณหนูหวังจึงขึ้นเกี้ยวอภิเษกสมรสแทน”
ในขณะที่หวังเฟยเฟิ่งกำลังกล่าวโทษสวรรค์เสียงสนทนาของคนงานหญิงติดตามจิ้นกุ้ยเฟยก็ดังขึ้น เรียกความสนใจของนางจนหลงลืมความปวดเมื่อยที่ขาของตนไปหมดสิ้น ขยับเท้าแนบตัวเกาะก้อนหินใหญ่ราวกับจิ้งจกตัวโต แล้วเอียงหูเพื่อลอบฟังบทสนทนาของคนด้านหลังก้อนหิน
“เป็นเรื่องจริงหรือ คุณหนูหลี่น่ะหรือจะหนีงานแต่ง คราวก่อนนางยังอาละวาดไล่ตีคุณหนูซิ่วที่มาเกาะแกะองค์รัชทายาทอยู่เลย แม้แต่คุณหนูเหรินญาติผู้พี่ของนางแท้ๆ ข้าก็ยังได้ยินมาว่านางให้บุรุษไปดักฉุดถึงสองครั้ง โชคดีที่มีคนมาช่วยทัน ไม่อย่างนั้นคุณหนูเหรินคงได้ผูกคอตายหนีอายแล้ว”
เหอะ! เหรินหยวนเย่วน่ะหรือจะผูกคอตายหนีอาย สตรีแซ่เหรินผู้นี้นับเป็นนางร้ายอันดับสองคู่ปรับตัวฉกาจของหลี่เหิงเย่วเชียวนะ
หวังเฟยเฟิ่งนึกแค่นยิ้ม ถึงแม้หลี่เหิงเย่วจะร้าย ก็ร้ายเพราะรักคนผิด แต่สำหรับเหรินหยวนเย่วนั้น นางทำทุกสิ่งเพื่ออำนาจ บางทีเรื่องที่นางถูกหลี่เหิงเย่วส่งคนไปทำร้ายนี่ ก็อาจเป็นเพียงข่าวโคมลอยที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น เพื่อทำลายชื่อเสียงของญาติผู้น้องแซ่หลี่คนนี้ก็ได้
“ชาวบ้านว่ากันมาเช่นนี้ ข้าเองก็มิอาจรู้ได้ว่าจริงเท็จอย่างไร แต่ที่แน่ๆ นี่นับเป็นสวรรค์ไม่ทอดทิ้งคนดี องค์รัชทายาทจึงไม่ต้องแต่งสตรีร้ายกาจเช่นคุณหนูหลี่เป็นพระชายา”
หวังเฟยเฟิ่งในฟังเช่นนั้นก็เบ้ปากมองบน ในนิยายกล่าวว่าวันอภิเษกสมรสองค์รัชทายาทฟ่งเฟยเทียนแต่งพระชายาเอกและพระชายารองโดยพร้อมเพรียงกัน นับจากที่หลี่เหิงเย่วสิ้นชีพไปได้เพียงหนึ่งเดือนก็ยกให้หวังอวี้หลันขึ้นเป็นชายาเอก เพียงแต่ใครแต่งใครตายนางไม่สนใจ เวลานี้สิ่งสำคัญคือนางต้องหลีกหนีตัวละครทั้งดีร้ายในเรื่องนี้ให้หมด จะได้ไม่นำเภทภัยมาให้ลมหายใจนางสั้นลง
........................................................