บทที่ 3.2 ตัดขาดวาสนาด้ายแดง

1278 Words
บทที่ 3.2 ตัดขาดวาสนาด้ายแดง ผ่านมาสามวันแล้วที่หวังเฟยเฟิ่งพาร่างของหลี่เหิงเย่วหนีออกจากจวนตระกูลหลี่ การใช้ชีวิตในสำนักชีแห่งยวีซวงไม่นับว่าลำบากมากนัก นั่นอาจเป็นเพราะนางมาอยู่ที่นี่ในฐานะคนติดตามของจิ้นกุ้ยเฟย ทว่าเพราะไม่มีรายชื่อในทะเบียน จึงไม่ได้รับผิดชอบงานใดๆ แต่ละวันนอกจากไหว้พระสวดมนต์ เวลาที่เหลือก็หลบมาเอนตัวนอนกลางวันบนต้นไม้หลังสำนักชีให้เวลาผ่านพ้นไปเท่านั้น ช่างเป็นการใช้ชีวิตที่แสนผ่อนคลายจริงๆ “หลี่เหิงเยว่!” ความคิดในใจของนางสะดุดลงในทันที เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นหูดังก้องมาจากทางด้านล่าง เสนาบดีหลี่!! ดวงตาหวานเบิกกว้างพลิกตัวอย่างหลงลืมทำให้เสียสมดุลร่างกาย ร่างเพรียวหมุนเคว้งลอยละลิ่วจากกิ่งไม้ใหญ่ หากแต่เพราะเห็นว่าอาสุ่นกำลังทะยานกายมาช่วย ความหวาดกลัวในใจของนางจึงเบาบางลง ทิ้งตัวลงสู่พื้นอย่างสบายใจ ตุ้บ! เสียงของหนักกระทบพื้น พร้อมกับความจุกแน่นที่แล่นไปทั้งตัวของหวังเฟยเฟิ่ง ดวงตากลมค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างยากลำบาก มองเห็นบ่าวชายคนสนิทนั่งรอรับนางอยู่ที่ด้านข้างห่างเพียงสามชุนเท่านั้น “อาสุ่นเจ้า!” “คุณหนูข้าผิดไปแล้ว ข้า...” อาสุ่นเอ่ยเสียงอ่อนอย่างสำนึกผิด เพราะเขาคาดเดาระยะผิดพลาดจึงเข้ามารับร่างคุณหนูไม่ทัน หวังเฟยเฟิ่งตวัดสายตามองค้อนเขาก่อนที่จะส่งมือให้ชุนหรงลี่เข้ามาประคองตนเองลุกขึ้นจากพื้นด้วยความยากลำบาก สาวใช้คนสนิทช่วยปัดเศษฝุ่นและใบไม้ออกจากเนื้อตัวคุณหนูห้าหลี่ ขณะที่หวังเฟยเฟิ่งพยายามข่มกลั้นความเจ็บปวดตามเนื้อตัว ฉีกยิ้มกว้างส่งสายตาออดอ้อนบิดา พร้อมเรียกขานเสียงอ่อนหวาน “ท่านพ่อ ข้าคิดถึง...” “ไม่ต้องมาใช้เสียงเช่นนี้กับพ่อ เย่วเอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป! เจ้าทำให้...” “โอ๊ย! ข้าเวียนหัว เวียนหัวจังเลย จะเป็นลมแล้ว เป็นลมแล้ว!” หวังเฟยเฟิ่งไม่รอให้ผู้เป็นบิดาของหลี่เหิงเย่วได้เอ่ยปากตำหนิจบก็แสร้งไม่สบายกะทันหัน เอนตัวล้มลงในอกของสาวใช้ชุนหรงลี่ หลี่เจ๋อคุนเห็นบุตรสาวเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาก็ตื่นตระหนก รีบเรียกคนให้มานำตัวของลูกสาวคนโปรดกลับตระกูลหลี่ในทันที เพียงแม้แต่หวังเฟยเฟิ่งจะรอดจากการถูกบิดาดุด่า แต่นางกลับถูกสั่งกักบริเวณถึงหนึ่งเดือน ใบหน้าหวานงอง้ำ หากแต่เมื่อเทียบกับโทษอย่างอื่นแล้วสำหรับหวังเฟยเฟิ่งโทษกักบริเวณนี้นับว่าเป็นการลงโทษที่เบาที่สุด “ลี่ลี่ เหตุใดท่านพ่อจึงตามไปจับตัวข้าได้เร็วนัก” “คุณหนูลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ ว่านายท่านน่ะเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายขวาเชียวนะเจ้าคะ เส้นสายของท่านมากมาย แค่คนคนเดียวใช้เวลาตามหาถึงสามวันยังนับว่านานไปด้วยซ้ำเจ้าค่ะ” หวังเฟยเฟิ่งถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะเผยสีหน้าเหนื่อยหน่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด “อืม...ท่านพ่อของข้ายิ่งใหญ่ขนาดนี้นี่เอง มิน่าเล่ารัชทายาทถึงอยากเกี่ยวดองด้วย” หวังเฟยเฟิ่งคิดพลางส่ายหน้าไปมา ทั้งที่มีรูปโฉมงดงาม มีอำนาจตระกูลยิ่งใหญ่ หลี่เหิงเย่วกลับทำราวกับตนเองเป็นสตรีไร้ค่าที่โง่งม มอบใจให้บุรุษตาบอดไร้เมตตาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน “อาการบาดเจ็บของอาสุ่นเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อคิดถึงอาการบาดเจ็บของบ่าวชายแล้ว หวังเฟยเฟิ่งก็นึกโล่งใจที่วันนี้เขาเข้ามารับร่างนางจากการพลัดตกต้นไม้ไม่ทัน ไม่เช่นนั้นเกรงว่าบาดแผลของเขาคงฉีกขาดเพิ่มแน่ๆ “บาดแผลปิดสนิทแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ฝึกกระบี่อยู่ที่ท้ายจวน” “หากเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็สบายใจ ลี่ลี่ เจ้าไปซื้อหนังสือนิยายมาให้ข้าสักสิบเล่ม อ่า...ยี่สิบเลยแล้วกัน” “คุณหนูในหีบนั่นท่านยังอ่านไม่หมดเลยนะเจ้าคะ” “ในหีบก็ส่วนในหีบ ซื้อเพิ่มก็ส่วนซื้อเพิ่มเหมือนกันที่ไหน” “แต่...” “เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าเถียงข้าแล้วหรือ” หวังเฟยเฟิ่งแสร้งปรับโทนเสียงเป็นดุดัน ชุนหรงลี่ได้ยินแบบนี้ก็ทรุดตัวลงคุกเข่า หวาดกลัวว่าคุณหนูของนางจะกลับมาเป็นสตรีร้ายกาจเช่นเดิม “บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูอย่าโมโหเลยนะเจ้าคะ” “ในเมื่อรู้ว่าผิด คราวหน้าก็อย่าขัดใจข้า รีบไปรีบมา อ้อ...แวะซื้อถังหูลู่มาให้ข้าด้วย” “เจ้าค่ะ” หวังเฟยเฟิ่งมองตามแผ่นหลังของสาวใช้แล้วยิ้มขบขัน ก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือนิยายในหีบมาเอนตัวนอนอ่าน หนึ่งเดือนนี้ก็ถือเสียว่านางกักตัวพักผ่อน นอนอ่านนิยายก็แล้วกัน ................................................. ย่างเข้าสู่วสันตฤดู ประตูเรือนของคุณหนูห้าก็เปิดออก หวังเฟยเฟิ่งก้าวเท้าออกจากเรือนด้วยรอยยิ้ม เมื่อนับดูแล้ววันนี้ถือว่าครบกำหนดกักบริเวณของนางแล้ว “ยินดีกับคุณหนูห้า!” เสียงของบ่าวไพร่โน้มตัวเอ่ยแสดงความยินดีกับนางที่พ้นโทษกักบริเวณของบิดาแล้ว ใบหน้าหวานยิ้มกว้างพยักหน้ารับอย่างยินดี ความอิสระนี้ช่างดียิ่งนัก... “วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ เอาละๆ พวกเจ้าไปแจ้งโรงครัว พวกเราจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับอิสระของข้า กินดื่มด้วยกันฟ้าไม่สว่างไม่เลิก” “ขอบคุณคุณหนูห้า” เสียงขานรับนับสิบชีวิตเอ่ยด้วยความยินดี หนึ่งในนั้นวิ่งไปแจ้งโรงครัวอย่างเร่งรีบ หวังเฟยเฟิ่งมองดูท่าทางของบรรดาบ่าวชายและสาวใช้ที่มีต่อตนแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างมากขึ้น ดูเหมือนสองสามเดือนมานี้นางจะละลายความกลัวของคนในเรือนที่มีต่อนางได้แล้วจริงๆ “คุณหนู! คุณหนู!” เสียงหวานของชุนหรงลี่ดังมาก่อนตัว หวังเฟยเฟิ่งยกแขนขึ้นกอดอกมองสาวใช้คนสนิท ที่ตอนนี้สนิทจนไม่เหลือความกลัวต่อนางแล้วด้วยความขบขัน “มู่มู่ เอาน้ำให้น้องเจ้ากินหน่อย ดูเอาเถิดเหนื่อยจนลืมกลัวข้าไปแล้ว” “เจ้าค่ะ” ชุนหรงมู่ย่อตัวรับคำสั่งแล้วหันไปรินน้ำชาส่งให้น้องสาวที่หยุดยืนอยู่กลางลานด้วยอาการเหนื่อยหอบ “อาลี่ อยู่ต่อหน้าคุณหนูสงวนกิริยาให้มากหน่อย อย่าทำให้คุณหนูโมโห” ชุนหรงลี่ถูกพี่สาวเตือนก็สูดลมหายใจเข้า และผ่อนออกเพื่อขับไล่ความเหนื่อยของตน ก่อนจะยืดอกเก็บกิริยาที่ไม่สำรวมของตนทันที “ไม่เป็นไรวันนี้ข้าอารมณ์ดีเรื่องใดๆ ก็ไม่ถือสา ลี่ลี่ เจ้ารีบร้อนเช่นนี้มีเรื่องด่วนอะไรกัน” หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี สายตาสดใสมองรอบเรือนอย่างร่าเริง นางได้ก้าวออกมานอกเรือนในรอบหนึ่งเดือน จะไม่ให้อารมณ์ดีได้อย่างไรกัน เพียงแต่ทันทีที่ได้ยินประโยคต่อมาของสาวใช้คนสนิท ใบหน้าที่มีรอยยิ้มกว้างก็พลันแข็งค้าง ดวงตาที่สดใสก็พลันแห้งแล้งขึ้นมา “มีราชโองการประทานสมรสให้คุณหนูกับแม่ทัพเกาเฉิงหนานในอีกหกเดือนเจ้าค่ะ” สิ้นคำรายงานของชุนหรงลี่ หวังเฟยเฟิ่งก็รู้สึกคล้ายทัศนียภาพเบื้องหน้าพร่ามัวเลือนราง ร่างกายแข็งค้างราวกับว่าสติหลุดลอย ก่อนที่ทุกสิ่งเบื้องหน้าจะดับวูบพร้อมกับร่างของนางที่สิ้นสติในทันที สวรรค์ ท่านยังรังแกข้าไม่พอใช่หรือไม่! .................................................
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD