Rainy 1

1137 Words
Rainy 1 ไม่รู้ว่าคนอื่นเริ่มทำงานแบบจริงจังตั้งแต่เมื่อไหร่ หากถามถึง ข้าวตัง ฉันคนนี้เริ่มทำงานตั้งแต่อายุสิบเก้าปี โดยเริ่มจากการออกแบบเสื้อผ้าให้กับที่บ้านควบคู่ไปกับการเรียนมหาลัย แม้จะไม่ได้เปิดเผยตัวว่าเป็นผู้ออกแบบแต่ก็ยังมีชื่อแฝงของตัวเองอยู่บนผลงานของแบรนด์เสื้อผ้าอยู่หลายคอลเลกชั่น ฉันโชคดีที่ได้รับโอกาสจากครอบครัว รวมถึงครอบครัวที่คอยสนับสนุนให้ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ และนั่นจึงทำให้ฉันเลือกเรียนบริหารจัดการเพื่อที่หลังจากเรียนจบออกมาฉันจะได้ช่วยงานพี่ชายรวมถึงพ่อกับแม่ที่บริษัท ทันทีที่เรียนจบก็เริ่มเข้ามาทำงานแบบเต็มตัวในฐานะรองผู้บริหาร และพ่วงตำแหน่งทีมออกแบบทีมซีของบริษัท ภายในทีมจะมีพนักงานทั้งหมดห้าคน และทีมออกแบบเสื้อผ้าของบริษัทจะมีทั้งหมดห้าทีมรวมทีมซีของฉันไปด้วย นั่นจึงทำให้ตอนนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยและเพลียมาก ๆ กับการทำงานสองหน้าที่ “ไหวไหม?” คนเป็นพี่ชายเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาถึงกับต้องเอ่ยถามเสียงเครียด ยามเห็นว่าฉันเอนหลังพิงเก้าอี้ทำงานอย่างอ่อนแรง “ไหวค่ะ” ตอบกลับพี่ชายเสียงแผ่วพร้อมกับขยับลุกขึ้นนั่ง แต่เหมือนคนที่เพิ่งเดินเข้ามาจะไม่ได้เชื่อในสิ่งที่ฉันเพิ่งเอ่ยบอกไปเลยสักนิดเพราะพี่ชายยังคงมองฉันด้วยแววตาเป็นห่วงอยู่ดังเดิม "ไปพักสักหน่อยดีไหม เดี๋ยวพี่หาที่พักให้” “แล้วงานล่ะคะ?” เพราะยังมีงานที่ต้องทำฉันเป็นห่วงงาน หากฉันไม่อยู่กลัวว่างานที่รับผิดชอบจะเทไปยังพี่ชายมากกว่าเดิม แค่นี้พี่ชายฉันก็ทำงานหนักมากแล้วนะ “พี่ดูแทนให้ได้ เวลามีประชุมก็โทรคอนเฟอร์เร้น” พี่ชายฉันเสนออีกครั้ง “ไปพักเถอะ ตั้งแต่จบมาเราหยุดพักถึงสิบวันไหม พี่ดีใจที่เรามาช่วยงานพี่นะ แต่ไม่มีความสุขเลยที่น้องสาวของพี่ทำงานหนักแบบนี้” พี่นรินทร์พี่ชายเพียงคนเดียวของฉันเอ่ยเตือนพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ทั้งยังมองด้วยแววตาที่ติดจะห่วงใย “ถือโอกาสไปพักด้วย หาแรงบันดาลใจออกแบบงานชิ้นใหม่ไง” พี่นรินทร์ยังโน้มน้าวฉันได้อย่างมืออาชีพ ท้ายที่สุดฉันคนนี้ก็ต้องยอมพยักหน้าตกลงข้อเสนอของคนเป็นพี่ชาย ที่แนะนำด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “ตกลงค่ะ หนูจะไปพัก” “คนเก่ง เดี๋ยวพี่ถามแม่ให้ เพื่อนสนิทของแม่มีที่พักที่น่าน เอาไว้หนูไปพักที่นั่นก็ได้ช่วงนี้ฤดูฝนพอดี สีเขียวของต้นไม้คงจะช่วยให้คนเก่งของพี่ได้ผ่อนคลายบ้างไม่มากก็น้อย” “ค่ะพี่ แล้วเที่ยงนี้พี่มีคุยงานข้างนอกไหม?” เมื่อพี่ชายอาสาจะหาที่พักให้ ฉันเองก็วางใจไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไร และเปลี่ยนเรื่องถามพี่ชายเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหน้าปัดนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่ เป็นของขวัญวันเกิดที่แม่ซื้อให้ฉันเมื่อปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังใช้งานอย่างดีแม้จะมีนาฬิกาเรือนอื่น ๆ อยู่มากมายก็ตาม “ไม่มีครับ จะเข้ามาชวนไปกินข้าวไปไหม?” พี่นรินทร์เอ่ยชวน “ไปค่ะ อยากกินอาหารญี่ปุ่น ได้ไหมคะ?” “ได้ครับ งั้นก็ไปกันพี่หิวแล้ว” “ค่ะพี่” บันทึกงานบนคอมพิวเตอร์เสร็จก็หยิบกระเป๋าสตางค์ตัวเองติดมือมาด้วย ถึงแม้จะมั่นใจว่าการออกไปกินข้าวมื้อนี้พี่ชายจะไม่ยอมให้ฉันได้จ่ายเงินเองก็ตาม แต่เอามาด้วยน่าจะสบายใจกว่านะคะ “พี่ฟ้าหนูออกไปกินข้าวข้างนอกนะคะ” เดินออกมายังหน้าห้องทำงานก็รีบเอ่ยบอกเลขาเสียงเบา เลขาที่สอนงานและช่วยจัดการตารางงานต่าง ๆ ให้ฉันตั้งแต่ที่เริ่มเข้ามาทำงาน ตอนนี้เราทำงานด้วยกันมาเกือบหกปีแล้วล่ะ เรียกได้ว่าเป็นเลขาคู่ใจก็ไม่ผิดสักเท่าไหร่นัก “ได้ค่ะคุณข้าว” พี่เลขาขานรับด้วยรอยยิ้มมุมปากบาง ๆ ฉันพยักหน้าอย่างขอบคุณก่อนจะเดินเคียงข้างพี่ชายเข้าไปภายในลิฟต์ เราสองพี่น้องขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยพี่นรินทร์ทำหน้าที่ขับรถ ส่วนฉันรัดเข็มขัดนิรภัยเสร็จก็ปรับเบาะเอนไปด้านหลังแล้วเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อย “พี่ริน” “หือ? ว่าไง หิวแล้วเหรอ?” เมื่อถูกเรียกด้วยชื่อพี่ชายก็รีบถามกลับมาอย่างใส่ใจทันที “นิดหน่อยค่ะ แต่อยากกินชาเย็นสักแก้ว” บอกพี่ชายอย่างตรงไปตรงมา พี่นรินทร์เป็นคนที่เรียกได้ว่าฉันกล้าที่จะพูดทุกเรื่องด้วยโดยที่ไม่มีอะไรปิดบัง เพราะพี่ชายของฉันคนนี้เป็นทั้งพี่ชาย เป็นทั้งเพื่อนให้กับฉันตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วล่ะเพราะพ่อกับแม่ทำงานหนักเราสองพี่น้องเลยอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นผลทำให้เราทั้งสองคนสนิทกันมาก ๆ ถึงแม้จะสนิทสักเท่าไหร่แต่เราทั้งสองคนก็ไม่เคยพูดกันหยาบคายกันเลยสักครั้งเลยนะ “เดี๋ยวรอไปดูที่ห้างฯ ดีไหม” “ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูซื้อขนมกลับเข้าไปให้พี่ฟ้าแล้วก็ทีมด้วย” “ได้ครับ เอาไว้ค่อยแวะซื้อหลังกินข้าวเสร็จแล้วกัน” พี่นรินทร์บอกอย่างเข้าใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่ชายเลี้ยวรถเข้าไปยังลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าใกล้กับที่ทำงาน เราสองพี่น้องเดินเลือกร้านอาหารอยู่ด้วยกันสักพักใหญ่ก็เลือกเข้าไปที่ร้านอาหารไทยแทนร้านอาอาหารญี่ปุ่น เหตุคงเป็นเพราะคนที่ร้านอาหารญี่ปุ่นคนเยอะมากเราเลยไม่อยากรอแค่นั้นแหละ “สั่งเลยนะ” “ค่ะพี่” ขานรับคำบอกของพี่ชาย จากนั้นก็เริ่มสั่งอาหารมาสามสี่อย่างพร้อมกับข้าวสวยสองจานและน้ำเปล่า ระหว่างที่นั่งรออาหารมาเสิร์ฟพี่นรินทร์ก็โทรหาแม่ เพื่อพูดคุยเรื่องที่พักในช่วงพักร้อนของฉัน แอบได้ยินเสียงแม่ร้องกรี๊ดดีใจใหญ่เลยที่ฉันยอมไปพักต่างจังหวัดบ้าง หรือว่าที่ฉันจริงจังกับงานมากเกินไปจะทำให้แม่เป็นห่วงนะ ควรจะหาเวลาพักให้ตัวเองมากกว่านี้แล้วสิ แม่จะได้เป็นห่วงฉันน้อยลงกว่านี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD