“ที่บริษัทผมในกรุงเทพฯ มีกฎเหล็กว่า ใครขโมยโทษสถานเดียวคือส่งตำรวจแล้วไล่ออกซะ ผมจะเอามาใช้กับที่สวนนี้นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป แต่สำหรับวันนี้ผมจะลงโทษสถานเบาสำหรับสองคนนี้คือ ตัดเงินเดือนครึ่งหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งเดือนมีผลบังคับใช้เดี๋ยวนี้ ลุงเติมกับป้ายอดที่ดูแลทุกอย่างโดยตรงรวมทั้งหลานๆ ด้วย ก็จะถูกหักเงินครึ่งเดือนเป็นเวลาหนึ่งเดือนเหมือนกัน”
คนงานต่างหันไปมองหน้ากันด้วยความกังขาในโทษที่เจ้านายคนก่อนไม่เคยเอามาใช้ อย่างมากก็หักเงินคนทำผิดเท่านั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา นอกจากหันไปจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังเคร่งขรึมดุดันต่อ
“ส่วนคนอื่นๆ โทษฐานที่ไม่ยอมเป็นหูเป็นตา หรือเห็นพฤติกรรมอันผิดปกติของสองคนนี้แล้วไม่มาบอกผู้จัดการ ผมจะหักเงินเดือนยี่สิบเปอร์เซ็นต์เป็นเวลาหนึ่งเดือนเหมือนกัน และผมจะทำแบบเดียวกันนี้กับทุกคนที่ริหัดเป็นขโมย เพราะผมเกลียดที่สุดคือเรื่องนี้ ถ้าใครไม่เชื่อจะลองก็ได้ มีใครสงสัยหรือจะถามอะไรมั้ยครับ”
แม้จะเสี่ยงต่อการที่คนงานลุกฮือขึ้นมาลาออกหรือประท้วงอยู่บ้าง แต่สิงหรัฐไม่แคร์เพราะอยากรักษาและทำให้กฎข้อนี้ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ต้นเอาไว้ก่อน บวกกับค่าจ้างที่เขาให้แพงกว่าสวนอื่นครึ่งหนึ่งเพื่อกันปัญหาการขาดคน
เขาจึงมั่นใจว่าไม่มีใครคิดจะทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นแน่ หรือถ้ามีเขาก็ไม่แคร์ เพราะรับสมัครคนไว้ตลอดอยู่แล้ว ใครออกเขาสามารถหาคนมาแทนได้เลยด้วยค่าจ้างที่ดึงดูดใจ ที่พักดีๆ อาหารอร่อยๆ ใครไม่เอาก็โง่เต็มทีในความคิด
“ไม่มีครับ/ค่ะ”
เสียงชายหญิงเกินครึ่งของทั้งหมดตอบรับพร้อมกัน แม้จะไม่เต็มใจในโทษนักแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น หรือถ้ามีก็ยังไม่ดีเท่าที่เจ้านายคนนี้ให้
“งั้นผมรบกวนทุกคนแค่นี้ ขอบคุณครับ”
ทุกคนต่างเดินหน้าห้อยกลับไปตามๆ กัน จะมีก็เพียงสาวน้อยปากมากเท่านั้นที่ดวงตามีแววอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดได้ และแทนการกลับไปหางาน เก่งกลับเดินเลาะไปทางสวนยางหาสองหนุ่มที่หน้าจ๋อยเพราะถูกหักเงิน
“มึงแน่ใจเหรอวะอีเก่ง ว่าอีนั่นเอาไปฟ้องไอ้เจ้านายบ้าอำนาจน่ะ”
เที่ยงให้ฉุนแม่คนใช้ใหม่ที่ชอบแส่หาเรื่องตามคำบอกเล่าของสาวผมม้า และทั้งฉุนพ่อเจ้านายที่ทำโทษหนักเกินเหตุ แถมกวาดทุกคนให้เดือดร้อนไปด้วย และนั่นทำให้เที่ยงถูกมองด้วยสายตาชิงชังไม่อยากคบหาไปโดยปริยาย
“อ้าว! มึงเห็นกูเคยเอาเรื่องไร้สาระมาบอกมึงหรือไงวะ มึงไม่เชื่อก็ตามใจสิ แต่กูบอกได้คำเดียวว่าได้ยินกับหูตอนอีนั่นมันฟ้องคุณเนย์”
“แล้วมันจะฟ้องทำไมวะ ข้าสองคนไม่ได้ไปทำอะไรให้มันสักหน่อย มึงเห็นมึงยังไม่เอาไปบอกใครเลย”
“ก็เพราะว่ามันอยากจะให้คุณเนย์ชอบมันไงล่ะ ใครทำอะไรไม่ดีอีนั่นเอาไปฟ้องแหลกเลย กูกับพวกป้าๆ ต้องระวังตัวแจ และคอยประจบประแจงมันจะตาย ดูป้าผินสิ เวลาเรียกมันนะต้อง คุณหญิงอย่างนั้นคุณหญิงอย่างนี้ คุณหญิงบ้าอะไรมาเป็นขี้ข้าให้เขาจิกหัวใช้อยู่ได้”
“เอ่อ! ท่าจะจริงว่ะไอ้เที่ยง กูเห็นอย่างที่อีเก่งมันว่าจริงๆ” เทืองผู้เป็นน้องชายสนับสนุนความคิดนี้
“เหรอ! ถ้ามันขี้ฟ้องขนาดนั้นเดี๋ยวมันได้เจอกูแน่ อย่าเผลอเชียวพ่อจะเล่นให้หนักเลยล่ะ”
“น้ำหน้าอย่างแกจะกล้าไปทำอะไรอีนั่นวะ กูอยากจะรู้” เก่งยิ้มอย่างสมใจ
“มึงก็คอยดูสิ เจอเมื่อไหร่กูเล่นไม่ยั้งแน่” เที่ยงไม่ยอมเสียเหลี่ยมให้ใครมาลูบคมได้ง่ายๆ
“เอ้อ! กูจะคอยดู ว่ามึงสองคนจะแน่สักแค่ไหน”
“มีอะไรมึงส่งข่าวก็ด้วยก็แล้วกัน เจอมันเมื่อไหร่ก็เล่นแน่”
“ผมจะไม่อยู่บ้านสามวัน กลางคืนจะให้ป้าๆ มานอนเป็นเพื่อนเหมือนเดิม ไชยจะมารับตอนตีสามไปกรีดยาง อย่าตื่นสายจนเขาต้องเอาน้ำมาสาดใส่ล่ะ และอย่าลืมลั่นดานห้องให้เรียบร้อยก่อนนอนด้วย ถ้าใครมาเคาะอย่าเปิดประตูจนกว่าจะได้ยินว่าเป็นเสียงคนที่คุณรู้จัก ถ้าเป็นผมจะโทรเข้ามือถือคุณก่อน เงินสำหรับอาทิตย์นี้”
เขาสั่งยาวยืดและด้วยใบหน้าเรียบขรึม เงินหนึ่งหมื่นบาทสำหรับค่าใช้จ่ายในบ้านประจำอาทิตย์ในมือถูกวางไว้โต๊ะตามเคย ก่อนจะลงบันไดไปหาแลนด์โรเวอร์ที่ครั้งก่อนเอาเมอร์เซเดส–เบนซ์ไปเปลี่ยนแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
เชลยสาวให้โล่งใจเป็นที่สุดเมื่อไม่มีเขา จะได้อยู่แบบไม่มีใครคอยสั่งการ อาหารเที่ยงที่ทำท่าจะอิ่มเมื่อกี้เลยถูกกินใหม่ งานบ้านก็ถูกทำในแบบสบายๆ ไม่รีบร้อน
“ป้าตักจากครัวใหญ่มาให้ก็ได้ค่ะคุณหญิง ไม่ต้องทำหรอกจะได้รีบเข้านอน อีกหน่อยป้าจงกับป้าจาดจะมานอนเป็นเพื่อนเหมือนเดิมค่ะ คุณเนย์สั่งไว้หลายรอบแล้ว”
ผินอาสาอย่างมีน้ำใจ
‘คงกลัวเชลยคนนี้จะหนีมากกว่า ถึงได้ส่งให้คนมาเฝ้าไม่น้อยกว่าสองในทุกครั้งที่ไม่อยู่’
เป็นประโยคที่หญิงสาวแย้งอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากตอบรับความมีน้ำใจของผินไว้อย่างยินดีปรีดา พอตกเย็นหลังจากกล่าวลาสองป้าแล้วก็เข้านอนแต่หัวค่ำ โทรคุยกับเพื่อนกับพี่สาวคนละสิบกว่านาทีก่อนจะหลับไป ตีสามก็ตื่นด้วยมือถือที่ปลุกเรียก
“สวัสดีตอนเช้าครับคุณหญิง”
ทรงไชยทักทายพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้ ‘เมียนาย’ ในความเข้าใจของเขา แม้คนไม่รู้ว่าเป็นเมียนายจะไม่อยากให้เขาเรียกสรรพนามแบบนั้น แต่เขาก็ให้เหตุผลแบบเดียวกับผิน เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยไป
และจากตอนแรกที่เข้าใจว่าเขาจะพูดไม่เก่ง เพราะเห็นทีไรจะเงียบและรอรับคำสั่งเจ้านายหนุ่มเท่านั้น แม้แต่ไปกินมื้อเย็นที่บ้านเขาก็จะนั่งฟังคนอื่นมากกว่าพูด
“อ้าว! เร็วๆ เข้านะครับทุกคนกรีดให้ได้ยางเยอะๆ แล้วผมจะของบจากคุณเนย์มาเลี้ยงใหญ่ให้อิ่มจนอ้วกกันทั้งสวนเลย”
แต่ดูเหมือนจะคิดผิดถนัด เพราะเขาพูดเก่ง ยิ้มง่าย และเป็นกันเองกับทุกคน ทำให้คนงานต่างกล้าพูดกล้าคุยกล้าหัวเราะออกมา ผิดกับตอนมีเจ้านายใหญ่ที่ใครต่อใครต่างเงียบกริบไปตามๆ กัน นั่นทำให้อยากให้เขาไปอยู่ที่อื่นแล้วไม่กลับมาเลยด้วยซ้ำ