หลังจากชอปปิงจนพอใจ ปภังกรก็บอกกับจอมแก้วว่าเย็นนี้เขามีนัดกับอาจอง และศาสตรา เพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนของคลับซึ่งหญิงสาวก็รู้จักดี ชายหนุ่มชวนเธอไปนั่งคุยด้วย แต่ถึงเธอไม่ไปเขาก็พร้อมจะลากเธอไปอยู่ดี จอมแก้วอยากจะหาเรื่องกลับเพนต์เฮาส์เพราะไม่อยากเจอหน้าพนักงานบางคนในร้านที่ชอบมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยแววตาเหยียดหยามเพราะเธอเป็นเด็กของเจ้าของร้านแต่พอปภังกรมีท่าทีเอาจริงขึ้นมา จอมแก้วก็ไม่สามารถทำตัวเป็นยัยจอมแก้งลอยนวลกลับก่อนได้อย่างที่อยากจะทำ
อาจองและศาสตรามาถึงตอนสองทุ่มเศษ ทั้งสามหนุ่มรวมถึงจอมแก้วนั่งคุยกันในโซนที่เปิดเป็นร้านอาหารมีดนตรีคลอเบา ๆ ส่วนอีกโซนด้านในเป็นโซนให้นักท่องราตรีได้ขยับร่างกายเต็มที่
จอมแก้วทักทายเพื่อนของปภังกรตามปกติ ทั้งสี่คนนั่งคุยกันเรื่องร้านเป็นหลัก สัปดาห์หน้าจะมีการจ้างนักร้องดังที่เป็นกระแสมาเล่นคอนเสิร์ตในโซนด้านใน มีการประชาสัมพันธ์ผ่านทางเพจของร้านเพื่อให้ลูกค้ารวมถึงแฟนคลับของศิลปินได้จับจองบัตร ผ่านไปสักพักจอมแก้วก็ขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ คราวนี้ที่โต๊ะก็เหลือแต่หนุ่ม ๆ สามคน ศาสตราที่รู้เรื่องจากอาจองว่าเจ้าสาวตัวจริงของเพื่อนรักอีกคนกลับมาแล้วก็ไม่วายแซว
“ไอ้กั้งมึงบอกกับเมียมึงหรือยังว่ามึงจะมีเมียเพิ่ม”
ตอนที่ไม่มีใครอยู่ด้วย เพื่อนทั้งสองจะใช้สรรพนามเรียกจอมแก้วยามพูดถึงเธอกับปภากรว่า ‘เมียมึง’ ซึ่งเขาไม่เคยแก้ต่าง มันก็แค่คำเรียกที่เพื่อนแหย่เล่นเพราะพวกมันเห็นว่าตั้งแต่มีจอมแก้วเขาก็ไม่เคยเก็บตกสาวที่ไหนทั้งที่มีหญิงวิ่งเข้าใส่ไม่ว่างเว้น นานเข้าก็ชิน แต่เขาก็ไม่เคยใช้คำแทนจอมแก้วว่า ‘เมียกู’
“อืม รู้แล้ว สงสัยจะได้ยินคนแถวนี้เอาไปพูดให้ฟัง”
ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบเรื่อย ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนใด ๆ
“แล้วมึงจะทำไงวะ จะเก็บเธอไว้ทั้งสองคนหรือจะเลิก”
คนถูกถามเว้นช่วงคำตอบไปนาน อาจองที่เห็นอากัปกิริยาเหมือนคนกำลังคิดหนักก็หรี่ตากระดกยิ้มมุมปาก เอ่ยขึ้นว่า
“สงสัยมันจะตัดใจจาก ‘เมียแลก’ ไม่ได้ว่ะ ถึงได้ทำหน้าเป็นตูดแบบนี้ แล้วเมียมึงรู้แล้วว่าไงวะ ยอมให้มึงมีเมียเพิ่มหรือเปล่า”
‘เมียแลก’ ในความหมายของเพื่อนคือ เมียที่แลกมา เพราะจอมแก้วยอมเป็นผู้หญิงของปภังกรแลกกับการที่เขาคุ้มครองเธอจากเจ้าหนี้นอกระบบที่ตามรังควาญเธอ และจัดการกับตัวต้นเหตุของเรื่องอย่างเดชชัย
“ยอมห่าไรล่ะ” ทีนี้หันมาตอบเพื่อนเสียเร็ว
ศาสตราเอ่ยขึ้นมา “แหงล่ะ ผู้หญิงที่ไหนจะไปยอม แล้วมึงจะทำไง เลิกกับเมียแลกแล้วไปแต่งกับเมียธุรกิจแทนใช่มั้ย”
ยังไม่ทันที่ปภังกรจะตอบอาจองก็แทรกขึ้น
“มุงก็เห็นว่ามันไม่ได้อยากเลิกกับเมียคนนี้ มันอยากมีเมียเพิ่มต่างหาก ฮ่า ฮ่า”
คนถูกพาดพิงหันมาจ้องเพื่อนที่กำลังหัวเราะด้วยแววตาขวางขุ่น จอมแก้วเดินกลับมาที่โต๊ะพอดีทั้งสองหนุ่มจึงยังไม่ได้คำตอบจากปากเพื่อนรักที่กำลังมีปัญหาเรื่องเมีย ๆ หญิงสาวสบตาอาจองและศาสตราเมื่อเห็นพวกเขากำลังอมยิ้มเหมือนว่าระหว่างที่เธอไม่อยู่มีเรื่องตลกขบขันมาเล่าสู่กันฟังจึงเอ่ยปากถาม
“มีอะไรสนุก ๆ เหรอคะ คุณอาจกับคุณศาสตร์ถึงได้ยิ้มอารมณ์ดีแบบนี้”
“ไม่มีครับ” ทั้งสองคนตอบพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายแถมยังหันมองหน้ากันอีก นั่นหมายถึงพิรุธกองโต
ศาสตราจึงรีบพูดขึ้นก่อนว่า “ไม่มีอะไรหรอก พวกเราแค่คุยเรื่องสมัยตอนเรียนมัธยมกันน่ะ”
“เออ ใช่ พูดถึงตอนเรียนมัธยม”
“แล้วมีอะไรเกิดขึ้นตอนนั้นเหรอคะ ถึงได้หัวเราะกันน่าสนุกเชียว”
จะแต่งเรื่องโกหกกะทันหันให้เนียนมันต้องทักษะชั้นเซียนซึ่งทั้งอาจองและศาสตรายังห่างไกลขั้นนั้นอยู่หลายปีแสง สีหน้าทั้งคู่จึงเลิ่กลั่กก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมกันอีก
“เรื่องโดดเรียน / เรื่องเตะบอล”
เมื่อได้ยินว่าพูดกันคนละเรื่องก็หันมองหน้ากันอีก คราวนี้มีแต่คำว่าพังกับพัง ปภังกรอยากจะลุกขึ้นใช้สองขาถีบทั้งสองคนให้หงายตกเก้าอี้ มองจากดาวเคราะห์แคระพลูโตยังรู้เลยว่าโกหก เขาหันมองหน้าจอมแก้วที่กำลังแกล้งหัวเราะตามสองคนนั้น
“กลับกันเถอะ”
ว่าแล้วก็ฉุดข้อมือของเธอลุกออกไปเลย
“อ้าว ยังไม่ได้ฟังเรื่องที่คุณอาจกับคุณศาสตร์เล่าเลย ทำไมต้องรีบกลับด้วยอะ”
“เธอก็รู้แล้วนี่ว่ามันสองคนโกหก ยังจะไปอยากรู้ทำไม”
“ก็ถ้าคุณสองคนนั่นพูดโกหก งั้นเรื่องจริงมันคืออะไรล่ะคะ”
ปภังกรหันมามองหน้าคนที่เดินตามหลัง เมื่อเขาหยุดหญิงสาวก็หมุนข้อมือให้หลุดจากอุ้งมือใหญ่ และยังขยับก้าวออกห่าง
“หมู่นี้ทำท่ารังเกียจกันจังนะ”
อยู่ดี ๆ ก็ค่อนแคะเธอขึ้นมาเสียอย่างนั้น จะว่าเมาก็ไม่ใช่ เพราะตลอดเวลาที่นั่งในร้านพวกเขายังไม่ได้สั่งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมเลย เธอเลยไม่รู้ว่าเขากำลังเมาอะไรถึงได้ออกอาการพาล
“อะไรของเฮียกั้ง อยู่ดี ๆ ก็พูดเหมือนจะหาเรื่องจอม”
“ฉันไม่ได้หาเรื่อง แต่ดูเธอทำตัวเข้าสิ”
“จอมทำอะไร ตอนไหน”
“ก็ทำตัวเหมือนเมื่อกี้ไง”
หญิงสาวนิ่วหน้า ไอ้ที่เธอบิดข้อมือออกไม่ให้เขาจูงน่ะเหรอ
“เรื่องแค่นี้เฮียก็เอามาทะเลาะได้เนอะ แต่จอมไม่อยากมายืนทะเลาะอะไรกับเฮียตรงนี้ให้ปวดประสาทหรอก จอมจะกลับบ้านแล้ว”
พูดจบหญิงสาวก็เดินผ่านร่างสูงที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นไม่ยอมขยับ เมื่อเห็นว่าเขาไม่เดินตามมาที่รถ เธอจึงเดินกลับไปบอกว่า
“จอมกลับแท็กซี่เองนะ ถ้าเฮียยังไม่อยากกลับ”
พูดจบก็หมุนตัวจะเดินไปเรียกแท็กซี่ มือใหญ่ก็ตามมาคว้าข้อมือเล็กไว้อีกครั้ง ก่อนจะพาเดินไปยังรถคันหรูที่จอดอยู่ ขับพาเธอกลับเพนต์เฮาส์โดยไม่พูดไม่จา
จะทำตัวดี ๆ ให้น่าคิดถึงหน่อยก็ไม่ได้
^
^
^
***โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ