ปภังกรขับรถมารับเธอที่ร้านตอนหกโมงเย็น จอมแก้วไม่มีรถใช้ส่วนตัวเขาเคยเสนอให้แล้วแต่หญิงสาวไม่รับไว้เองเพราะเธอเห็นว่าไม่มีความจำเป็น ไปไหนมาไหนโดยรถสาธารณะก็สะดวกสบาย ไม่ต้องหาที่จอดรถให้ยุ่งยาก แต่ถึงเธอจะคิดแบบนั้นทว่าตั้งแต่อยู่กับเขามา น้อยครั้งมากที่เธอจะได้ใช้บริการรถสาธารณะเพราะชายหนุ่มจะส่งคนขับรถมารับหรือไม่เขาก็ขับมารับส่งเธอเอง
หนุ่มสาวไปนั่งดินเนอร์อยู่ที่ร้านอาหารบนรูฟท็อปของโรงแรมห้าดาวที่มองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนให้ลูกค้าได้ดื่มด่ำกับอาหารและบรรยากาศ แต่ดูเหมือนคนทั้งคู่จะไม่ได้สนใจบรรยากาศอย่างที่ควร ต่างคนต่างเงียบ จมอยู่ในภวังค์ของตัวเองเหมือนมีเรื่องให้ต้องคิดหนัก จนกระทั่งกลับมาถึงเพนต์เฮาส์หญิงสาวจึงตัดสินใจจะพูดกับเขา เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลา
เห็นสีหน้าแววตาของจอมแก้วที่มองมา ปภังกรก็รู้ว่าเธอต้องการพูดบางอย่างกับเขา แต่ที่ยังไม่พูดตอนดินเนอร์เพราะไม่อยากพูดในที่สาธารณะ เกรงจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่หากเรื่องนั้นมันกระทบกระเทือนจิตใจ
“มีอะไรจะพูดกับฉันงั้นเหรอ”
“มี”
“อืม พูดมาสิ”
เขาทำหน้าสบายอารมณ์ ส่วนจอมแก้วยืดอกพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วจึงเอ่ยออกมา
“เฮียกั้งจะแต่งงานแล้วไม่ใช่เหรอ จะแต่งแล้วก็เลิกกันได้แล้วเนอะ”
คิ้วเข้มพลันขมวดเข้ามาชิดติดกัน ก่อนจะแสยะริมฝีปากยิ้ม
“อะไรเข้าสิง ทำไมพูดเรื่องนี้ขึ้นมาตอนนี้”
“หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ความลับไม่มีในโลกหรอกเฮีย จะปิดไปถึงเมื่อไร”
อ้อ เรื่องที่ไอ้เพื่อนในก๊วนหนุ่มโฉดพูดกับเขาเมื่อคืนก่อน มีเด็กในร้านได้ยินด้วยนี่นา และวันนี้จอมแก้วเข้าไปดูบัญชีก็ไม่แปลกที่เธอจะได้ยิน
“มันไม่ใช่ตอนนี้ หรือเร็ว ๆ นี้หรอก อย่าคิดมาก”
“ไม่ได้คิดมาก แต่จอมต้องการความชัดเจน เฮียบอกเอง ว่าให้จอมอยู่จนเจ้าสาวตัวจริงของเฮียกลับมา คราวนี้ก็ให้อิสระกับจอมได้แล้ว”
“อยากได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ้อิสระน่ะ อยู่กับฉันมันไม่อิสระตรงไหน”
“เหอะ ถามมาได้”
จอมแก้วเบือนหน้าหนี
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ได้มั้ย ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่เร็ว ๆ นี้หรอก”
เขาพยายามง้อ แตะต้นแขนขาวเนียนแต่คราวนี้หญิงสาวสะบัดตัวออกท่าทางเหมือนรังเกียจสัมผัสของเขา
“แต่งก็ส่วนแต่งนี่ อยู่ก็ส่วนอยู่ ไม่เกี่ยวกันตรงไหน เขาก็อยู่ส่วนเขา เธอก็อยู่ส่วนเธอ ไม่เห็นเป็นไรเลย”
คำพูดเหมือนคนเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ทำให้หญิงสาวต้องหันกลับมามอง เหยียดยิ้มเยาะ
“คือยังไง เป็นเมียน้อยน่ะเหรอ”
“ก็ไม่ใช่เมียน้อย ก็เป็นเมียอีกคนไม่เห็นเป็นไรเลย”
“เมียอีกคน? เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้สุด ๆ ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะรับแบบนั้นได้ พ่อกับแม่จอมมีผัวเดียวเมียเดียว ไม่ใช่เป็นเพราะยากจนพ่อเลยไม่มีเล็กมีน้อย จำได้ว่าพ่อมีผู้หญิงมาชอบเยอะ แต่พ่อก็มีแม่คนเดียว มีหลายสิ่งที่เราไม่ควรใช้ร่วมกับใครและหนึ่งในนั้นก็คือสามีหรือภรรยา เฮียคงต้องปรับความคิดเสียใหม่นะ หมดสมัยผัวเดียวหลายเมียเพื่อแสดงถึงฐานะ หน้าตาในสังคม หรือคานอำนาจทางการเมืองแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อนน่ะใช่แต่สมัยนี้เขาเรียกว่ามักมากไม่รู้จักพอ ถ้ามีในบ้านไม่พอไปหาข้างนอกเขาเรียกสำส่อนน่ะเฮีย จอมไม่ใช่สลิปเปอร์ที่ไว้ใส่เฉพาะตอนอยู่ในห้องนอน”
ขณะที่ปภังกรกำลังอึ้ง จอมแก้วหยุดพูดไปนิดหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ
“จบกันวันไหนเลือกมาดีกว่า จะวันที่สิบห้าเดือนหน้า วันที่สามสิบเดือนนู้นก็ว่ามา อย่ายืดออกไปเรื่อย ๆ”
พอได้ยินคำว่าจบ ชายหนุ่มก็ได้สติ
“ก็บอกแล้วไง มันไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ นี่อยากได้มั้ยกระเป๋า ถ้าอยากได้พรุ่งนี้ให้งบอีกใบ จะเอาใบละกี่แสนจะพาไปเลือกเลย แต่อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กันอีก มันทำให้เสียอารมณ์”
เขายื่นมือมาแตะต้นแขน เผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มไม่ได้มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจซึ่งต่างกับเธอในตอนนี้โดยสิ้นเชิง เขาเป็นผู้ชายไม่มีอะไรให้เสีย มีแต่ได้กับได้ การจะมีสักกี่เมียในความคิดของเขาคงเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งร่ำรวยเงินทองด้วยแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิอันชอบธรรม
หญิงสาวสะบัดตัวออก เดินหน้ามุ่ยเข้าไปในห้องนอนขอไปอาบน้ำอุ่นให้สมองโล่งสักหน่อย เอาเถอะ เขาจะคิดอย่างไรก็ช่าง แต่ระยะสามปีกว่าที่อยู่ด้วยกันจอมแก้วหาช่องทางไปให้ตัวเองไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว
เธอไม่อยู่เป็นเมียเล็กเมียน้อยใครแน่ ถึงเธอจะพาตัวเองเข้าหาเขา แต่ถ้าไม่เข้าตาจนจริง ๆ เธอไม่มีวันทำแบบนั้น เธอก็มีศักดิ์ศรีของเธอถึงแม้ว่ามันจะเหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็ตาม
^
^
^
***เฮียกั้งคิดอะไรหรอคะ โปรดติดตามตอนไปด้วยน้า