วันต่อมาเป็นวันหยุดปภังกรไม่ได้ออกไปทำงานที่บริษัทแต่ตอนเย็นนัดเพื่อนอีกสองคนไปเจอกันที่ร้านเนื่องจากเป็นคืนวันเสาร์ นักท่องเที่ยวที่มาจะเยอะกว่าวันธรรมดาจึงอยากเข้าไปดูความเรียบร้อย ส่วนจอมแก้วก็ต้องไปกับเขาด้วย ทั้งที่เมื่อคืนทั้งคู่มีเรื่องโต้เถียงกัน ทว่าตื่นขึ้นมาพบหน้ากันในตอนเช้าจอมแก้วกลับทำตัวปกติ สบตากันเธอก็ยิ้มให้เขาเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนเข้าห้องน้ำเธอก็บีบยาสีฟันไว้ให้ เมื่อเขาเดินออกมาด้านนอกเธอก็เตรียมอาหารไว้รอ
เขามองข้าวต้มกุ้งส่งกลิ่นหอมอบอวลตรงหน้า หยิบช้อนขึ้นมาคนแล้วตักเข้าปาก อุ่นกำลังพอดีไม่ต้องเป่า แต่กินไปได้ไม่หมดชามเขาก็วางช้อนเพราะนึกอยากกินอย่างอื่นมากกว่าที่ไม่ใช่ข้าวต้ม จอมแก้วที่นั่งกินอยู่ฝั่งตรงข้ามมองอยู่ก็ถามขึ้น
“คุณกั้งอิ่มแล้วเหรอคะ”
“อืม เดี๋ยวใกล้เที่ยงออกไปกินอาหารจีนกัน อยากกิน แล้วก็เลยไปที่ร้าน”
เขาบอกเสียงเรียบพร้อมสบดวงตาคู่หวานที่มองมา จอมแก้วได้ยินคำบอกก็พยักหน้า
“ค่ะ”
ไม่ใช่ว่าข้าวต้มกุ้งของเธอวันนี้ไม่อร่อย รสชาติมันก็ดีเหมือนเคย แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ วันนี้จึงนึกอยากกินอาหารจีนมากเป็นพิเศษ อยากไปแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
กระทั่งสิบเอ็ดโมงทั้งสองคนก็นั่งรถออกไปยังภัตตาคารอาหารจีนชื่อดังร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียงยาวนาน ซึ่งร้านนี้จอมแก้วเพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก ด้านในตบแต่งหรูหรา ยังไม่เที่ยงแขกก็เข้ามานั่งกันเกือบเต็มแล้ว โต๊ะที่ยังว่างก็เห็นมีป้ายจองตั้งไว้ เจ้าของร้านนี้รู้จักกับเจ้าสัวแสงชัยบิดาของปภังกร ชายหนุ่มจึงเคยเข้ามาที่ร้านนี้หลายครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาพาผู้หญิงมาด้วย
พนักงานแต่งชุดกี่เพ้าสีแดงเดินเข้ามาต้อนรับ พนมมือไหว้พร้อมกับก้มศีรษะอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ คุณลูกค้าได้จองโต๊ะไว้หรือเปล่าคะ”
“เปล่า” เขาตอบเสียงนิ่ง พนักงานถามต่อ
“มากี่ท่านคะ”
“สอง”
“เชิญทางนี้ค่ะ”
พนักงานต้อนรับเชิญลูกค้าไปยังโต๊ะสำหรับแขกสองที่ ทว่าระหว่างทางเดินไปสายตาของปภังกรก็ปะทะเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่หันมาสบมองกัน ทันทีนั้นเหมือนมีกระแสไฟวิ่งอยู่ในอากาศระหว่างคนทั้งสอง นี่ถ้าเขาเห็นตาแก่คนนั้นนั่งอยู่ก่อนเขาจะหลบไปในทันทีไม่อยากเจอกันที่นี่ แต่ตาแก่คนนั้นก็ช่างตาไว และเหมือนจะไวกว่าเขาด้วยซ้ำเพราะเมื่อเขาหันมาสายตาก็ปะทะกันแล้วชนิดที่เหยี่ยวยังเรียกป๊า
เพราะมีตาแก่ที่ผมมีสีเทาแซมแต่ยังดกหนาจนคนหนุ่มบางคนต้องอิจฉากำลังจ้องมองมาที่เขา แก่ขนาดนั้นสายตายังดีอยู่เหรอ ออกมาข้างนอกไม่ใส่แว่นด้วย เหอะ
ปภังกรค่อนขอด ‘พ่อ’ ตนเองในใจ ก่อนจะบอกกับพนักงานว่า
“ไม่ต้อง ผมมีโต๊ะแล้ว”
พูดจบเขาก็หันไปพยักหน้าให้กับจอมแก้วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับจับมือเธอเดินตรงไปยังชายแก่ที่ยังจ้องการกระทำของลูกชายทุกฝีก้าวกระทั่งลูกจูงมือผู้หญิงคนนั้นมาถึงที่โต๊ะ ตาแก่จึงเบือนสายตาหนีแวบหนึ่ง คิดกับตัวเองเหมือนกันว่า
‘ว่าแล้วเชียววันนี้ทำไมหนังตากระตุกตั้งแต่เช้า เกิดอยากกินอาหารจีนร้านนี้ ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจให้อยากออกมา อยู่ดี ๆ ก็นึกอยากกิน อยากมาเห็นบรรยากาศเดิม ๆ ที่เคยออกมากับลูกกับเมีย’
ลูกเมียที่ท่านเจ้าสัวแสงชัยหมายถึงคือปภินดา เมียคนแรกซึ่งเป็นแม่ของปภังกร ส่วนลูกชายที่ว่าก็ยืนหัวโด่พร้อมกับผู้หญิงอยู่ตรงหน้านี่ไง
เมื่อเดินมาถึงโต๊ะปภังกรก็ขยับเก้าอี้ให้จอมแก้วนั่งเป็นการกระทำธรรมดาไม่ได้พิเศษ ก่อนเขาจะนั่งลง สบตากับบิดาแล้วแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน
“ป๊าครับนี่จอม จอมนี่ป๊านะ”
เป็นการแนะนำด้วยประโยคง่าย ๆ ไม่พิธีรีตอง เจ้าสัวแสงชัยเพียงมองหญิงสาวที่นั่งข้างลูกชายคนโตนิ่ง ๆ ส่วนจอมแก้วซึ่งเป็นผู้น้อยพนมมือไหว้ เธอเพิ่งเคยพบกับบิดาของเขาเป็นครั้งแรก
“สวัสดีค่ะป๊า”
หญิงสาวเอ่ยออกมา ยิ้มบาง ๆ อย่างสุภาพ เขาแนะนำว่าป๊าหญิงสาวจึงเรียกตาม แต่กลับถูกคนที่เธอเพิ่งเรียกป๊ามองหน้าด้วยสายตาเอาเรื่อง พร้อมกับเอ่ยว่า
“จำได้ว่าฉันมีลูกสาวคนเดียวนะ แล้วตอนนี้อยู่อเมริกา”
ใจความของประโยคนั้นบอกให้รู้แน่ชัดแล้วว่าบิดาของเขาไม่ชอบเธออย่างแรง ขณะที่หญิงสาวกำลังอยู่ในอาการหน้าเสีย ก้มหน้าไปต่อไม่ถูก ลูกชายที่ได้ยินก็รู้สึกไม่พอใจบิดาเขาด้วย ทำไมต้องมาหักหน้าผู้หญิงของเขาขนาดนี้ ป๊าก็น่าจะรู้ว่าเธอคนนี้ก็คือเมียอีกคนของเขานะ
“อ๋อ เอ่อ ขอโทษค่ะ สวัสดีค่ะ ท่านเจ้าสัว”
จอมแก้วแก้สรรพนามเรียกขานใหม่ เธอไม่ควรจริง ๆ ที่จะเรียกแบบนั้น เพราะเธอไม่คู่ควร ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังจ้องหน้ากัน สายตาของปภังกรตำหนิบิดาอย่างไม่ปิดบังเพราะไม่ให้เกียรติคนของเขา
โดนลูกชายชักสีหน้าใส่ ทำให้เจ้าสัวแสงชัยนึกถึงหน้าภรรยาคนแรกเหมือนกำลังถูกต่อว่าจากคนที่ตายไปแล้วด้วย จึงยอมพูดอะไรขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้ตึงเครียด
“มากินข้าวกันเหรอ เจอกันแล้วก็นั่งด้วยกันเลยสิ”
ปภังกรคลายสีหน้าไม่พอใจลงบ้าง เพราะไม่อยากให้เสียบรรยากาศจนกินอาหารไม่ลง
“แล้วป๊ามานี่ได้ไงวันนี้ มาคนเดียวเหรอ”
ลูกชายเอ่ยถาม จอมแก้วนั่งเงียบ
“ฉันนัดเพื่อนไว้ นานๆ เจอกันที ไม่นัดเจอกันตอนนี้ให้รอไปเจอกันชาติหน้าเดี๋ยวจำกันไม่ได้”
บิดาปดคำโต จริง ๆ แล้วเขาออกมานั่งคิดถึงบรรยากาศเก่า ๆ คนเดียว เพื่อนก็นัด แต่ไม่ได้นัดเจอกันวันนี้
“เอ้า สั่งอาหารกันเลยไม่ต้องรอเพื่อนฉันหรอก”
ปภังกรเรียกพนักงานมารับรายการอาหาร เขาก็ไม่อยากพูดจากวนประสาทกับป๊าบนโต๊ะที่มีคนอื่นอยู่ด้วย รีบกินจะได้รีบแยกย้ายกันไป เจ้าสัวแสงชัยสังเกตว่าลูกชายค่อนข้างแคร์ผู้หญิงคนนี้มาก แม้ขณะสั่งอาหารยังสั่งแต่ของดี ๆ และสั่งเมนูที่ท่านเคยสั่งให้ภรรยากับลูกชาย และยังสั่งให้พ่อครัวปรุงเมนูพิเศษที่ไม่มีในรายการมาให้เหมือนกับที่ท่านเคยทำให้ภรรยาอีกด้วย โดยปกติสมัยไอ้ลูกชายจีบผู้หญิงใหม่ ๆ เจอกันกลางห้างสรรพสินค้าลูกก็จะให้ผู้หญิงเดินไปทางอื่นก่อน แล้วตัวเองก็เดินเข้ามาหาคนเดียว พอคนนี้สบตากันปุ๊บพาเดินเข้ามาหาเลยเหรอ แสดงว่าผู้หญิงคนนี้คงพิเศษ แต่จะพิเศษขนาดไหนก็คงเป็นได้แค่เมียรองจากหยาดพิรุณเท่านั้น
หวังว่าคงไม่ได้รักอะไรคนนี้มากมาย ไม่งั้นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแน่
ระหว่างรออาหารปภังกรมีโทรศัพท์เข้า เขาดูแล้วหน้าจอปรากฎชื่อของหยาดพิรุณจึงขอตัวออกไปรับที่อื่น บนโต๊ะอาหารตอนนี้จึงมีแค่เจ้าสัวแสงชัยผู้มีรัศมีน่าเกรงขามแผ่ออกมา กับจอมแก้วผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ของลูกชาย
แวบแรกที่ได้เห็นใบหน้าของจอมแก้ว ในสายตาของเจ้าสัวก็ดูโหงวเฮ้งเป็นอย่างแรก ใบหน้าเรียว คิ้วเรียงสวยเป็นระเบียบ ปลายคางโค้งมน และหน้าผากกว้างโหนกนูนมนเนียนสวย
‘ไม่มีทุลักษณะบนใบหน้า ถือว่าผู้หญิงคนนี้ลักษณะดีทีเดียว มองแล้วให้ความรู้สึกเป็นมิตร คล่องแคล่ว ดูไม่เงอะงะเวลาเจอผู้ใหญ่ แต่โหงวเฮ้งนางพญายังสู้อาหยกไม่ได้ ตาเรียวเล็ก ปลายตาเชิด มุมปากเชิด นั่นเหมาะจะเป็นเมียเอก สำหรับนังหนูนี่ถ้าจะมาเป็นเมียอีกคนของไอ้ดื้อกั้งก็น่าจะได้อยู่’
ตอนที่ลูกชายไม่อยู่เจ้าสัวจึงถือโอกาสเอ่ยกับผู้หญิงของลูกชายอย่างตรงไปตรงว่า
“รู้แล้วนะว่าอากั้งมีคู่หมายที่ต้องแต่งงานด้วยอยู่แล้ว ถ้าเธอจะเข้ามาเป็นเมียอีกคนก็ไม่มีทะเบียนสมรส เพราะทะเบียนสมรสจดได้แค่คนเดียวคือเมียเอก เข้ามาก็มาช่วยอากั้งทำงาน มีลูกก็มาช่วยกิจการให้เติบโต เรื่องธุรกิจมันเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งสำหรับครอบครัวของฉัน เรื่องอื่นเป็นเรื่องที่พูดคุยตกลงกันได้ ถ้าเธอจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของฉันก็ต้องอยู่กันแบบไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเธอรักลูกชายฉันจริงเรื่องแค่นี้ต้องเข้าใจกันสิ ใช่มั้ย?”
จอมแก้วก้มหน้าฟังเงียบ ๆ ประโยคที่บิดาเขาพูดมาแปลง่าย ๆ ก็คือให้เธอมาเป็นเมียรองของลูกชาย มีลูกออกมาก็ให้ช่วยงานในบริษัท แต่นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว จะย้อนไปสมัยต้าถังรึไง ที่ผู้ชายมีสามภรรยาสี่อนุ
เมื่อโดนยิงคำถาม หญิงสาวก็พยักหน้าในความหมายว่าเข้าใจที่เจ้าสัวพูด แต่ไม่ได้บอกว่าจะยอมรับ ในใจแย้งอย่างเอาเป็นเอาตาย
‘ทราบค่ะ แต่ไม่ได้บอกว่าฉันจะอยู่ ใครจะมายอมเป็นเมียเล็กเมียน้อยวะ ต่อให้อยู่สุขสบายกาย แต่มันไม่สบายใจ ละครก็เอามาจากเรื่องจริงมั้ย เมียใหญ่จะไม่รังแกเมียเล็กที่มีฐานะไม่ต่างจากขี้ข้าหรือไง แล้วมีหรือลูกที่เกิดจากเมียเล็กจะไม่ถูกกดขี่ข่มเหง นิยายน้ำเน่าน่ะมีเค้าจริงทั้งนั้นแหละ’
ตอนเธอเข้ามาในลักษณะนี้ก็ไม่คิดจะมาเป็นเมียคนหนึ่งในหลายคนของเขาอยู่แล้ว มาเพราะข้อแลกเปลี่ยนและตอนนั้นเขาไม่มีใคร ถึงเธอจะอยู่ในฐานะนางบำเรอ หรือไม่มีสถานะเธอก็ยินยอม รับได้ทั้งนั้นขอแค่ตอนนี้เขามีเธอคนเดียวที่บำรุงบำเรอความสุขทางกายให้ แต่ถ้าตอนนี้เขาจะมีใครอีกคนซึ่งก็คงมีแล้วมั้งจากที่เห็นเมื่อวาน แล้วเธอต้องมาเป็นรองจากคนอื่นแบบนี้เธอไม่เอา ถึงโยนเงินให้กี่ล้านก็ไม่เอา ให้ใช้สามีร่วมกับคนอื่นคงไม่ไหว ไม่ได้มีสถานะเป็นเมียไม่ว่า แต่ถ้าให้เป็นหนึ่งในบรรดาเมีย ๆ เธอไม่เอาโว้ย
อีกห้าเดือนก็จะไปอยู่แล้ว ไม่อยู่หรอก
^
^
^
***พ่อกับลูกนิสัยเหมือนกันเด้ะ อิอิ ฝากกดติดตามไว้ด้วยน้าาา