4.1 ฉีกทุกกฎเกณฑ์

2321 Words
4 ฉีกทุกกฎเกณฑ์  แขนเรียวยาวผุดผ่องดุจกิ่งหลิวหยก ความงามโดดเด่นประณีตและเนียนนุ่มไม่มีเค้าของเด็กยากจนซึ่งถูกเก็บมาเลี้ยงดูเลยแม้แต่น้อย ตงฟางฉีเงยหน้ามองใบหน้างดงามที่ฉายแววล่มเมือง มุมปากพลันยกยิ้มน้อยๆ ทว่าแววตานั้นยากที่จะคาดเดาความคิด ลี่หยวนอยู่บนเก้าอี้ตรงกันข้าม พาดแขนลงบนโต๊ะด้านหน้าพร้อมขมวดคิ้วนิดๆ แต่สีหน้าแววตายังคงอยู่ภายใต้ความสงบ ต่อหน้าท่านเสนาบดี และฮูหยินใหญ่ แม้นางจะอายุน้อยก็สามารถวางตัวได้อย่างดีเยี่ยม ยิ่งท่านอ๋องน้อยได้ใช้เวลาอยู่กับนางมากเท่าไหร่ ความรู้สึกสนใจก็เพิ่มพูนมากขึ้น ในงานเลี้ยงวันเกิด เลือดไก่ที่ลี่หยวนกลืนลงคอไปก่อนจะกระอักออกมามิใช่สิ่งที่สตรีทั่วไปคิดจะทำก็ยอมทำได้ การกลืนเลือดสดๆ นั้นว่ายากแล้ว ทว่าการอาเจียนเพียงเลือดโดยไม่มีอาหารเจือนปนเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า การจะทำได้นั้นย่อมต้องผ่านการฝึกฝนทักษะดังกล่าวมาเป็นระยะเวลานาน หากจะบอกว่าจวนเสนาบดี มีการฝึกฝนบุตรสาวบุญธรรมเรื่องนี้ ก็อาจมีความเป็นไปได้ ด้วยตำแหน่งบุตรสาวบุญธรรมที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีค่าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานเท่านั้น ทว่าดูเหมือนการที่นางปั้นเรื่องหลอกว่าตนเองป่วยจะมิได้เกิดจากความเห็นชอบของตระกูลลี่... ฮึ! เขาเองก็อยากจะรู้นักว่า สตรีที่กล้าสร้างเรื่องเสียใหญ่โตจะไปได้สักกี่น้ำ “ขออนุญาตคุณหนู” สิ้นเสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มวัยสิบแปด มือที่ใหญ่กว่าก็เคลื่อนเข้าไปวัดชีพจรของนาง ตึกตักๆ จังหวะการเต้นของหัวใจที่มั่นคงและแข็งแรงดูน่าเบื่อในทีแรก จนกระทั่ง... นัยน์ตาสีน้ำหมึกของตงฟางฉีต่างไปจากเดิมเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ชีพจรดังกล่าวกลับอ่อนแรงลงอย่างกะทันหัน! ลี่หยวนพลันหน้าซีด ริมฝีปากเม้มเข้าหากันพร้อมกับเริ่มงอตัวอย่างทรมาน “ปวดท้อง...” อาการที่ทรุดหนักลง ส่งผลให้ชิงช่ายที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งถึงกับหน้าถอดสี “คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ” นางถลาเข้ามาหาผู้เป็นนายที่นั่งกุมท้อง “ข้าปวดท้อง...” “หยวนเอ๋อร์!” ลี่ชิวหม่าเด้งกายยืนขึ้นพร้อมกับซ่งหรู่ฮวา “ท่านอ๋องน้อย หยวนเอ๋อร์เป็นอะไรไป” แม้กระทั่งลี่เตาเองยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตงฟางฉีจ้องหน้าเด็กสาวที่กำลังกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั้งมวล นี่นางถึงกับลงทุนกินอาหารเสียเข้าไปอย่างนั้นหรือ! “เป็นเพราะนางกินอาหารเสียเข้าไปจึงมีอาหารปวดท้อง หลังจากนี้อาจมีการอาเจียนหรือท้องร่วง ร้ายกว่านั้นคือมีไข้ขึ้นสูงและหมดสติ” “เป็นไปได้อย่างไรกัน!” เป็นซ่งหรูฮวาที่โมโหจนหน้าแดง นางผินใบหน้าไปมองบ่าวรับใช้คนสนิทของลี่หยวน “เจ้าเอาอะไรให้หยวนเอ๋อร์กินกันแน่!” ชิงช่ายสะดุ้งตัวรีบถอยห่าง นางคุกเข่าพร้อมกับโขกศีรษะกับพื้น “ฮูหยินใหญ่ ที่บ่าวพูดไปเป็นความจริงเจ้าค่ะ! สิ่งที่คุณหนูกินตั้งแต่เมื่อวานมีเพียงอาหาร ยาบำรุงที่ถูกส่งมาจากฮูหยินใหญ่ด้วยกันทั้งสิ้น!” “เจ้า...” ฮูหยินใหญ่แห่งจวนเสนาบดีมือสั่นเทา “เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าให้อาหารเสียแก่หยวนเอ๋อร์หรืออย่างไร!” “บ่าว...” ชิงช่ายอ้าปากคล้ายอยากจะพูดต่อ ทว่าลี่หยวนซึ่งใบหน้าขาวซีดราวกับไก่ต้มกลับยกมือห้าม “ท่านแม่ใหญ่ เป็นเพราะข้าอบรมบบ่าวไพร่ไม่ดีนางจึงได้ก้าวร้าว ท่านแม่ใหญ่โปรดให้อภัยนางด้วย” “หยวนเอ๋อร์ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้ารีบไปนอนพักเถิด” ลี่ชิวหม่าถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนจะแผ่รังสีอำมหิตจนผู้คนรู้สึกหนาวยะเยือก “พวกเจ้าทั้งหมดไปตามคนในโรงครัวมา อย่าให้ขาดแม้แต่คนเดียว!” บ่าวไพร่ทั้งหลายต่างอกสั่นขวัญแขวนกันถ้วนหน้า “ขอรับ!/เจ้าค่ะ!” บรรยากาศเช่นนี้มิใช่ว่าจะเกิดขึ้นบ่อยๆ หากเป็นเพราะว่าครานี้มีท่านอ๋องน้อยซึ่งเป็นแขกร่วมเป็นสักขีพยานด้วย หากจวนเสนาบดีไม่สามารถจัดการปัญหาอย่างสะอาดหมดจด เกรงว่าคงเป็นขี้ปากชาวบ้านให้พวกเขาหัวเราะเยาะใส่ ลี่เตามองภาพที่เกิดขึ้นก็ได้แต่ส่ายหน้า นานแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาบ้าน นึกไม่ถึงว่าตระกูลลี่จะกลายเป็นครอบครัวที่มีแต่ปัญหาและความวุ่นวายไปเสียได้ แล้วนี่อย่างไร ทั้งบุตรชายและลูกสะใภ้ของเขาคิดจะใช้สตรีบอบบางเยี่ยงลี่หยวนเป็นหมากเพื่อขวนขวายอำนาจในวังหลวงมากกว่านี้น่ะหรือ ฝันไปเถิด! ตราบใดที่คนแก่หนังเหนียวเยี่ยงเขามีชีวิตอยู่ เขาจะไม่มีวันยอมให้นางแต่งเข้าวังหลวงเป็นอันขาด! อดีตของเด็กสาวผู้นี้ แม้กระทั่งองค์ชายสี่ซึ่งช่วยชีวิตนางมาก็ยังไม่รู้ และเป็นเขาเองที่เป็นคนเอ่ยปากรับตัวลี่หยวนเข้ามาชุบเลี้ยง แค่อดีตของมารดานางก็นับว่าน่าสงสารมากพอแล้ว เกรงก็แต่ลี่หยวนจะปักใจรักมั่นแก่องค์ชายสี่ สุดท้ายก็อาจพร้อมที่จะกระโดดเข้ากองไฟเพื่ออีกฝ่าย นำความเดือดร้อนมาสู่ตนเอง “ท่านอ๋องน้อย...” ผู้อาวุโสที่สุดในที่นี้เบนสายตาไปยังตงฟางฉี ชายหนุ่มกำลังมองชิงช่ายที่ประคองลี่หยวนออกไปจากห้องรับรอง ครั้นตงฟางฉีหมุนกายไปยังลี่เตา เพียงแค่มองตาก็รู้ว่าผู้อาวุโสกำลังคิดอะไรอยู่ “ท่านอาจารย์ลี่อย่าได้เกรงใจเลย ที่ข้ามาที่นี่ เดิมมีจุดประสงค์ต้องการรักษานาง เช่นนั้นข้าขอตัวไปเตรียมยารักษาก่อน” ลี่เตาประสานมือทำความเคารพผู้มีศักดิ์เหนือกว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องน้อย” ลี่หยวนหมดสติไปสองชั่วยาม[1] จึงตื่นขึ้นมา ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ‘คนร้าย’ ยอมสารภาพความจริงออกมาพอดี “ไหวไหมเจ้าคะ คุณหนู” ชิงช่ายยื่นถ้วยน้ำให้ผู้เป็นนายบ้วนปาก ลี่หยวนเพิ่งอาเจียนเสร็จไปหมาดๆ สีหน้ายังดูอิดโรย แม้จะกินอาหารเสียไปไม่มากแต่ดูเหมือนร่างกายของนางจะได้รับผลกระทบมากเลยทีเดียว “อืม” เด็กสาวไม่อยากเชื่อว่าแค่อาหารเป็นพิษจะทำให้ร่างกายของลี่หยวนอ่อนแอถึงเพียงนี้ ในช่วงที่นางเป็นไข้สลบไสล มีหลายครั้งที่ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันแต่ก็ฟังไม่ได้ศัพท์ หากนางก็มั่นใจว่าน่าจะเป็นเสียงของท่านอ๋องน้อยตงฟางฉี ...เขายังคงอยู่ที่จวนเสนาบดี ลี่หยวนคิดพลางถอนหายใจ ต่อให้ใจจริงจะไม่อยากให้เขาอยู่ แต่ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยเหตุการณ์ในครั้งนี้นางก็สามารถใช้ประโยชน์จากเขาได้ “จับตัวคนร้าย... ได้หรือยัง” “ได้แล้วเจ้าค่ะ” ชิงช่ายพยักหน้าก่อนจะก้มลงกระซิบ “เป็นคุณชายใหญ่อย่างที่พวกเราคิดเอาไว้จริงๆ เจ้าค่ะ” คืนก่อน อาหารที่บ่าวจากโรงครัวยกมาให้มีกลิ่นแปลกๆ เมื่อตรวจสอบดูแล้วจึงมั่นใจว่ามันคืออาหารเน่าบูด ความจริงหากจะโยนอาหารพวกนี้ทิ้งไปเลยก็ได้ แต่มันก็ไม่อาจช่วยแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้ คนร้ายที่หวังทำร้ายนางยังคงลอยนวย และถ้าหากอีกฝ่ายเห็นว่าวิธีการนี้ใช้กับนางไม่ได้ผล วิธีการต่อไปก็อาจจะร้ายกาจและรุนแรงมากจนนางคาดไม่ถึง ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม สู้นางยอมเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจัดการปัญหานี้ให้จบย่อมคุ้มค่ากว่า “หากพี่รองอยู่ที่นี่ด้วยก็คงจะดีไม่น้อย” ลี่หยวนถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย “ตั้งแต่เด็กยันโต มีเพียงพี่รองเท่านั้นที่ปกป้องข้าจากพี่ใหญ่” “คุณหนูคิดถึงคุณชายรองหรือเจ้าคะ” เด็กสาวพยักหน้า ต่างจากลี่เผิงที่ชอบทำตัวเป็นเด็กไม่เอาถ่าน ลี่ชิว พี่รองของนางซึ่งเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ของจวนกลับชอบเรียนวรยุทธ์และอ่านตำราพิชัยสงคราม ท่านอาฟางอวี้เห็นแววของเขาจึงได้พูดคุยกับท่านพ่อเพื่อฝากฝังเขาเข้าไปในกรมทหาร บัดนี้ยังคงเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในค่ายยังไม่กลับมาเยี่ยมบ้าน นี่เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าบัดนี้จวนเสนาบดี กลายเป็นสถานที่ที่หมอปีศาจมาเดินเล่นเพ่นพ่านได้ราวกับเป็นสวนหลังตำหนักของตนเอง! ครั้นพูดถึงโจโฉ... โจโฉก็มา ลี่หยวนเชิดใบหน้าเมื่อได้ยินเสียงบ่าวรับใช้ด้านหน้าตำหนัก “คารวะท่านอ๋องน้อย” “คุณหนูตื่นแล้วหรือยัง” “พะ...พวกบ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ” คำตอบของสาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกส่งผลให้เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างชั่งใจ ณ เวลานี้นางควรจะแสร้งนอนต่อหรือตื่นเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายดีเล่า? “คุณหนูเจ้าคะ” ชิงช่ายเองก็ดูเหมือนจะรอการตัดสินใจของนางเช่นเดียวกัน “บัดนี้คุณชายใหญ่ของจวนเสนาบดี ถูกบิดาจับขังไว้ในเรือนและให้อดข้าวอดน้ำตั้งแต่เมื่อคืน” ตงฟางฉีเดินถือถาดไม้ซึ่งมีถ้วยยา ส่งกลิ่นขมหื่นลอยโชยเข้ามาถึงด้านใน “คงทำให้คุณหนูพอใจได้แล้วใช่หรือไม่” “ท่านอ๋องน้อยทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว ลี่หยวนจะพอใจได้อย่างไร” นางลุกขึ้นจากเตียงโดยมีชิงช่ายช่วยประคอง “เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด ลี่หยวนจะไปคุยกับท่านพ่อ ขอร้องให้ลดโทษให้แก่พี่ใหญ่” ลี่หยวนสั่งให้เปิดประตู เมื่อพบหน้าตงฟางฉีก็ถอนสายบัว เสร็จก็เตรียมจะเดินผ่านอีกฝ่ายเพื่อก้าวออกจากห้อง นึกไม่ถึงว่าในจังหวะนั้นชายหนุ่มผู้มีใบหน้าดุจเทพบุตรจะส่งเสียงขึ้นมาอีก “คุณหนูไม่อยากรู้รึว่า ข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลอันใด? ” เสียงทุ้มของเขาสามารถทำให้นางหยุดเดิน ครั้นเสี้ยวหน้างามผินกลับมาพร้อมกับใช้นัยน์ตาหวานสบมอง ตงฟางฉีก็พลันเกิดความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นในอก เขาไม่เคยรู้สึกสนุกกับการพูดคุยกับสตรีคนใดได้มากเท่ากับคุณหนูแห่งจวนเสนาบดีผู้นี้ “ลี่หยวนรู้อยู่แล้วเพคะ” นางหลุบตามองต่ำ มุมปากจะยกยิ้มน้อยๆ เมื่อรู้ว่าเขากำลังรอคอยคำตอบของนางอย่างตั้งใจ “ท่านอ๋องน้อยเมตตาอยากรักษาอาการป่วยของลี่หยวน...มิใช่หรือ” ลี่หยวนตั้งใจเน้นประโยคคำถามสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่เข้มกว่าเดิม ค่อยๆ แหงนหน้าสบตาของบุรุษร่างสูงโปร่ง ทว่าผู้ที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในทีแรกก็ถึงกับผงะ ...หมอปีศาจผู้นี้กำลังยิ้ม! เขายิ้มทำไม! “แน่นอนว่าเจตนาแรกย่อมเป็นดังที่คุณหนูกล่าว” ตงฟางฉีเอ่ยพลางสาวเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้น และถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีกลิ่นอายคุกคาม ทว่าชิงช่ายที่ช่วยประคองผู้เป็นนายกลับเผลอบีบมือแน่นขึ้นตามสัญชาตญาณ ผู้เกิดเป็นบ่าวย่อมมีสัญชาตญาณเตือนภัยชั้นยอด เพราะต้องเรียนรู้และเอาตัวรอดจากผู้มีอำนาจบารมีเหนือตนมาตั้งแต่จำความได้ ลี่หยวนเองก็รู้สึกไม่ไว้ใจหากต้องเข้าใกล้ท่านอ๋องน้อยภายในห้องมิดชิดโดยมีบ่าวเพียงแค่คนเดียว ดังนั้นจึงก้าวถอยหลังในจังหวะที่เขาเดินเข้าหา ปากก็เอ่ยถาม “ท่านอ๋องน้อยทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ ลี่หยวนไม่เข้าใจ” ตงฟางฉีอมยิ้มนิดๆ หมุนกายวางถาดยาลงบนโต๊ะกลมข้างตัว “เดิมทีข้าตั้งใจศึกษาเรื่องยาและโอสถก็เพราะเห็นว่ามันซับซ้อนและน่าสนใจ ทว่าพอศึกษาอยู่นานเข้าจนแตกฉาน ข้ากลับไม่หลงเหลือความกระตือรือร้นที่จะค้นคว้าไปมากกว่านี้ ดังนั้น...” ลี่หยวนลอบกลืนน้ำลาย ยกมือบีบกระชับมือของชิงช่ายที่กุมลำแขนของตน “คงถึงเวลาแล้วที่ข้าคิดว่า ข้าควรเปลี่ยนงานอดิเรกในยามว่าง” ชายหนุ่มกล่าวจบก็หยิบถ้วยยาออกจากถาดไม้แล้วยื่นส่งให้เด็กสาวผู้มีใบหน้าซีดเซียว ลี่หยวนยื่นมือที่สั่นเล็กน้อยไปรับถ้วยยา ในสมองปรากฎภาพของตงฟางฉีในเสื้อกาว์นของแพทย์สมัยใหม่กำลังลับมีดเตรียมชำแหละร่างของนางซึ่งถูกจับขึงอยู่บนเตียง ให้ตายสิ! มันชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว! คุณหนูแห่งจวนเสนาบดี คิดพลางก้มลงมองภาพสะท้อนของตนเองบนน้ำสีข้นที่กระเพื่อมไหวในถ้วยยา ตั้งสติให้ดีลี่หยวน คนประเภทนี้ยิ่งได้เห็นคนแสดงความอ่อนแอออกมาก็จะยิ่งข่มเหงรังแก ดังนั้นจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้! ท่านอ๋องน้อยเพียงต้องการทดสอบนางเท่านั้น ต่อให้เขาจะมีประวัติฆ่าคนก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใจกล้าถึงขั้นวางยาพิษนางในฐานะแขกของท่านปู่ ลี่หยวนผละกายออกจากชิงช่าย ดื่มยาลงไปรวดเดียวจนหมด รสชาติของมันทั้งเฝื่อนทั้งขม ชวนให้รู้สึกไม่อยากอาหารเลยทีเดียว “ขอบพระทัยท่านอ๋องน้อยสำหรับยาเพคะ” นางตัดสินใจไม่พูดถึงเรื่องงานอดิเรกใหม่ที่อีกฝ่ายเปรยขึ้นมาอีก ไม่ว่าอย่างไรนางก็อยากผลักไสเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาให้ห่างตัวไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ [1] 1 ชั่วยาม มีค่าเท่ากับ 2 ชั่วโมง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD