ความคิดของเด็กสาวสะดุดลงเมื่อมีสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ทางด้านหน้าเดินเข้ามาหา
“คุณหนูเจ้าคะ นายท่านให้มาเรียนคุณหนูว่าท่านกำลังพาแขกมาพบท่านที่นี่”
“แขก? ”
“เจ้าค่ะ”
ลี่หยวนเลิกคิ้ว ลี่ชิวหม่ารู้ดีว่านางล้มป่วยแต่ก็ยังพาแขกมาหา เห็นทีว่าอีกฝ่ายคงมีความสำคัญอยู่มากทีเดียว
“เป็นใครกัน”
ผู้เป็นบ่าวค้อมศีรษะลงต่ำ “เรียนคุณหนู บ่าวเองก็มิทราบเจ้าค่ะ”
การตอบคำถามของนางมิได้ทำให้ลี่หยวนหงุดหงิด แต่คนที่เดือดร้อนแทนคือชิงช่าย นางอ้าปากเตรียมจะตำหนิแทนนาย หากเด็กสาวก็ยกมือห้ามไว้เสียก่อน
“ชิงช่าย เจ้าไปเตรียมน้ำชาเพื่อรับแขกเถิด”
ในเมื่อลี่หยวนไม่ติดใจเอาความ สุดท้ายชิงช่ายจึงต้องยอมปล่อยสาวใช้ผู้นั้นไป
ลี่หยวนมองเงาสะท้อนของตนบนคันฉ่อง บ่าวในเรือนของนาง นอกจากชิงช่ายแล้ว ก็มีทั้งคนของท่านพ่อ ท่านแม่ใหญ่และท่านแม่รอง
ในสายตาของผู้ใหญ่ในบ้าน นางคือคุณหนูผู้หัวอ่อนไม่สู้คน ดังนั้นการจะหาเรื่องบ่าวในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมีแต่จะส่งผลร้ายมากกว่าดี
ลี่หยวนเตรียมตัวเสร็จก็เดินมารอแขกในห้องโถงทางอีกฟากหนึ่งของเรือน บิดาของนางเดินนำเข้ามาเป็นคนแรก ตามมาด้วยบุรุษสองคนที่แต่งตัวเป็นเอกลักษณ์
ทั้งสองเป็นชายหนุ่มใบหน้าสะอาดสะอ้านแต่งกายด้วยชุดขันที เพียงแต่คนหนึ่งอายุมากกว่าและเนื้อผ้าดีกว่า ส่วนอีกคนอายุน้อยและมีท่าทีขลาดกลัวมากกว่าคนแรกอยู่หลายส่วน
ลี่หยวนใช้เวลานึกเล็กน้อยก็จำได้
หากจำไม่ผิด เขาคือคนสนิทขององค์ชายสี่ มีนามว่าเสี่ยวกัว ในนิยายเขาค่อนข้างมีบทบาทอยู่พอสมควรในฐานะข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ น่าเสียดายที่จุดจบของเขาก็เอนจอนาถไม่แพ้ผู้ช่วยวายร้าย
เขาโดนองค์ชายจากอีกเมืองหนึ่งสังหารและโยนศพให้อีแร้งกิน...
เด็กสาวส่ายหน้าน้อยๆ เพื่อดึงตนเองกลับมายังปัจจุบัน ดวงตาคู่หวานสบตาบิดาเล็กน้อยพลางกล่าว
“มิทราบว่าท่านเสี่ยวกัวมาที่นี่ด้วยตนเองด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
เสี่ยวกัวทำความเคารพเด็กสาวอย่างสุภาพ หันไปพยักหน้าให้แก่ขันทีอีกคนที่ถือถาดบรรจุกล่องไม้หอม อีกฝ่ายรีบกูลีกูจอเดินมาหยุดยืนอยู่ด้านข้างเพื่อให้ลี่หยวนสามารถเห็นของดังกล่าวได้ถนัด
“คุณหนู เป็นเพราะองค์ชายสี่ทรงทราบว่าคุณหนูล้มป่วยจึงเมตตา สั่งให้ข้าน้อยนำโสมพันปีมามอบแก่ท่านเพื่อบำรุงสุขภาพ”
ขันทีผู้น้อยเปิดฝากล่องออก ด้านในคือโสมต้นใหญ่ที่มีสีสวยสดราวกับทองคำ นับว่าเป็นของดีโดยแท้
ท่านเสนาบดีเองก็มีสีหน้าพอใจไม่น้อย
ลี่หยวนยกยิ้มบาง ยกมือส่งสัญญาณให้คนสนิท “ในเมื่อเป็นพระเมตตาขององค์ชายสี่ที่มีต่อลี่หยวน ลี่หยวนก็ขอรับไว้”
ชิงช่ายเดินมารับถาดไม้ดังกล่าวจากขันทีผู้น้อย แววตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่องค์ชายสี่ประทานของขวัญให้แก่ผู้เป็นนายสาว นางคาดเดาว่าภายในใจของลี่หยวนน่าจะกำลังประทับใจอยู่มากเป็นแน่
“ท่านเสี่ยวกัวอุตส่าห์นำของสำคัญมาให้ อากาศช่วงฤดูร้อนอบอ้าวนัก ท่านพักดื่มชาก่อนแล้วค่อยไปเถิด” ลี่หยวนผายมือไปยังโต๊ะที่มีน้ำชารินเตรียมรออยู่ก่อนแล้ว
เสี่ยวกัวมิอาจรั้งอยู่นานจึงปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ขอบคุณคุณหนู ทว่าข้าน้อยยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำต่อ คงต้องขอลา” เขากล่าวกับนางเสร็จก็หันไปหาลี่ชิวหม่า “ผู้น้อยขอลาท่านเสนาบดีลี่”
ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับ จากนั้นก็หันไปสั่งให้คนช่วยนำทางแขกออกไปด้านนอก
เสี่ยวกัวที่ยืนอยู่ใกล้นางหมุนกายหันหลัง จากไปพร้อมกับขันทีผู้น้อยที่หันมามองนางเป็นครั้งสุดท้าย เขาผงกศีรษะน้อยๆ ก่อนจะจากไปด้วยใบหน้าแดงซ่าน
นางไม่แปลกใจนัก เด็กคนนั้นน่าจะเพิ่งเป็นขันทีได้ไม่นานจึงยังมีความรู้สึกของเพศชายหลงเหลืออยู่ในตัว ลี่หยวนเป็นสตรีที่งดงามเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง หากบุรุษมองแล้วไม่เหลียวหลังจึงจะเรียกได้ว่าผิดปกติ
ครั้นสูดหายใจเข้าเสร็จก็ขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็เบนหน้าหนีพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากไอ
“หยวนเอ๋อร์ อาการของเจ้ายังไม่ดีขึ้นอีกหรือ” ลี่ชิวหม่าถามไถ่ด้วยน้ำเสียงห่วงใย
เมื่อครู่ที่นางเผลอปิดปากไอมิใช่เพราะรู้สึกเจ็บป่วย แต่เป็นเพราะนางเผลอได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากตัวของเสี่ยวกัวต่างหาก
นางจำได้อย่างแม่นยำว่ามันเป็นกลิ่นคาวเลือด!
ในระหว่างที่นางล้มป่วยอยู่ที่นี่ วายร้ายในนิยายอย่างองค์ชายสี่ก็ไม่ได้นิ่งเฉย อีกไม่นานคงมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่
ดวงตางามเหลือบมองโสมล้ำค่าที่ชิงช่ายเป็นผู้ถือ ในยุคสมัยนี้มีเพียงคนที่มีฐานะจึงมีโสมอยู่ในครอบครอง และโสมพันปีก็มีเพียงราชนิกุลระดับบนเท่านั้น
องค์ชายสี่ไม่มีทางมีของล้ำค่าเช่นนี้ในครอบครองมากมาย ทว่ากลับทรงประทานมันให้แก่นาง
ลี่หยวนไม่รู้ว่าซุนโม่เฉินต้องการซื้อใจนางกลับคืน หรือเป็นเพียงความปรารถนาดีที่ต้องการมอบให้ด้วยความจริงใจกันแน่
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ” ลี่หยวนตอบ “ท่านพ่อ ลี่หยวนเพิ่งทราบจากบ่าวไพร่ว่าเป็นพี่ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังอาหารเสียในวันนั้น แต่ลี่หยวนคิดว่าไม่มีทางที่จะเป็นพี่ใหญ่ เขาจะต้องถูกผู้อื่นใส่ร้ายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ลี่ชิวหม่าถอนหายใจก่อนจะเดินเข้ามาตบไหล่เด็กสาวเบาๆ “เจ้าเป็นเด็กดี อาเผิงควรจะเรียนรู้จากเจ้าให้มาก ข้าไม่อยู่รบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้าแล้ว”
เด็กสาวพยักหน้า บิดาของนางคงต้องเข้าวังหลวงต่อ “ลี่หยวนลาท่านพ่อ”
ร่างของชายวัยกลางคนเดินจากไป ความเงียบสงัดกลับคืนสู่เรือนของนางอีกครา
ชิงช่ายยังคงถือถาดโสมพันปีไว้ในมือ ยังคงรอคำสั่งจากคุณหนูของตนว่าควรจะจัดการกับมันเช่นไร
นึกไม่ถึงว่าผู้ที่จากไปเมื่อยามบ่ายจะปรากฎตัวในห้องของนางอีกครั้ง
ลี่หยวนที่กำลังจะทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เด้งกายขึ้นมายืนตัวตรงเช่นเดิม มองผู้ที่ขยันมาหานางประหนึ่งว่าเป็นคนว่างงานอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“ลี่หยวนคารวะท่านอ๋องน้อย” นางทำความเคารพเสร็จก็เบี่ยงกายเปิดทางให้อีกฝ่ายทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตามมารยาทของสตรีที่ดี “มิทราบว่าท่านอ๋องน้อยทรงมีเรื่องอันใดจึงมาหาลี่หยวนแต่เช้าตรู่หรือเพคะ”
คงมิใช่ว่าอยากมาเร่งเร้าเอาคำตอบจากนางหรอกนะ ก่อนหน้านี้นางมัวแต่รับแขกจึงมิได้มีเวลาไตร่ตรองข้อเสนอของเขา
แต่หากสังเกตจากสีหน้าของเขาในยามนี้ ลี่หยวนก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเขาคงมิได้มาเพราะเรื่องการเป็นศิษย์อาจารย์
...หากกระนั้น นางก็ยังคงอ่านความคิดของอีกฝ่ายไม่ออกอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่ดี
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าเขามาค้างแรมอยู่ที่นี่เพราะต้องการทำอะไรบางอย่าง แต่นางคงคิดมากไปเองเพราะตงฟางฉีเอาเวลาเกือบทั้งวันมาขลุกอยู่กับนางที่นี่
ถ้านางเป็นปลากัดล่ะก็ ป่านนี้คงท้องไปแล้วกระมัง!
“ข้ามาตรวจร่างกายของเจ้า” ตงฟางฉียกยิ้มน้อยๆ เมื่อรับรู้ถึงความหงุดหงิดที่แผ่ออกมาจากร่างเล็ก ครั้นได้กลิ่นของสมุนไพรก็เบนสายตาไปยังสาวใช้ผู้น้อย “นั่นอะไร”
ลี่หยวนไม่ตอบ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สุดท้ายภาระจึงมาตกมาอยู่ที่ชิงช้าย
“ทูลท่านอ๋องน้อย นี่คือโสมพันปีเพคะ องค์ชายสี่ทรงประทานให้คุณหนู”
“หืม?” ชายหนุ่มเดินไปพิจารณาของขวัญดังกล่าวใกล้ๆ มือใหญ่ขาวสะอาดเอื้อมคว้าโสมต้นใหญ่ขึ้นมาโดยไม่ได้ถามไถ่ผู้เป็นเจ้าของ พลิกดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะ...
แปะ!
ดวงตาหวานเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ลี่หยวนที่ยืนมองอยู่ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
นี่หมอปีศาจผู้นี้เพิ่งจะทิ้งโสมล้ำค่าลงบนพื้นใช่หรือไม่!
ยิ่งได้เห็นสีหน้าเรียบเฉยของเขาก็ยิ่งมั่นใจ ตงฟางฉีเจตนาทำมันชัดๆ!
ต่อให้นางจะไม่ได้มีอารมณ์พิศวาสซุนโม่เฉินเหมือนก่อน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าบุรุษผู้นี้จะมาทิ้งขว้างของของนางเหมือนนักเลงเช่นนี้ได้!
“ขะ...ข้าน้อยสมควรตาย!” ชิงช่ายลนลานรีบคุกเข่าลงบนพื้น
เมื่อเห็นว่าบ่าวขลาดกลัวจนตัวสั่น ลี่หยวนจึงส่งเสียงพูด
“ท่านอ๋องน้อยทรงทำอะไรเพคะ”
“ของมันไม่ดี” ตงฟางฉีมีสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน “เจ้าไม่ต้องกินหรอก ประเดี๋ยวจะยิ่งทำให้ปวดท้องเสียเปล่าๆ ”
ลี่หยวนได้แต่นับหนึ่งถึงร้อยในใจ หากนางแสดงออกว่าโกรธและโวยวายก็มีแต่จะทำให้หมอปีศาจโกรธ บัดนี้นางกับเขายังไม่ทำข้อตกลงกัน หากยังไม่ทันเป็นศิษย์อาจารย์ เขาก็กล้าแสดงท่าทีเอาแต่ใจถึงเพียงนี้
ดีแล้วที่นางตัดสินใจไม่หมั้นหมายกับท่านอ๋องน้อย มิเช่นนั้นนางคงได้โมโหทุกวันจนเส้นเลือดในสมองแตกเป็นแน่
อดีตสตั๊นแมนสาวคิดพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นค่อยเบนสายตาไปยังชิงช่ายที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่กับพื้น
“ชิงช่าย เก็บโสมแล้วนำไปที่โรงครัว สั่งให้คนครัวต้มให้ท่านพ่อและท่านแม่ใหญ่”
คำพูดของเด็กสาวประหนึ่งเสียงสวรรค์ สาวใช้ที่คิดว่าตนคงโดนอาญาเข้าให้แล้วรีบรับคำสั่ง “เจ้าค่ะ คุณหนู”
ตงฟางฉียกยิ้มพลางยกมือไพล่หลัง ดูจากสีหน้าแล้วคงพอใจมากทีเดียว
ลี่หยวนมองแล้วได้แต่เค้นยิ้ม
มีความสุขกับผีน่ะสิ!
“ลี่หยวนเพิ่งทราบว่าท่านอ๋องน้อยทรงมิชอบโสม ขออภัยในความรู้น้อยของลี่หยวนด้วยเพคะ”
ตงฟางฉีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขารู้ว่านางกำลังประชดประชัน แต่มันก็หาได้ระคายเคืองผิวหน้าอันหนาเตอะนี้ไม่
“บัดนี้ข้าเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องสุขภาพของเจ้า” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาหมุนกายกลับมาทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ตามเดิม “สิ่งเน่าเหม็นที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ย่อมต้องกำจัดทิ้ง”
ลี่หยวนชะงัก เห็นชัดว่าท่านอ๋องน้อยมิได้หมายถึงโสม แต่หมายถึงให้ผู้ที่ประทานโสมมาให้ต่างหาก
เป็นไปได้ว่าตงฟางฉีไม่ใช่พวกขององค์ชายสี่ เขาอาจมาที่นี่เพื่อสืบความสัมพันธ์ รวมถึงความลับระหว่างท่านเสนาบดีกับองค์ชายสี่
หมอปีศาจ ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใด แต่ก็ไม่แน่ว่าในใจลึกๆ เขาอาจจะสนับสนุนองค์รัชทายาทก็ได้
ในเมื่อชิงช่ายออกไปด้านนอก บัดนี้จึงเหลือเพียงลี่หยวนกับหมอปีศาจหนุ่มตามลำพัง
บรรยากาศแบบนี้... นางรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
แม้จะคุ้นชินกับการถูกมองในฐานะสตั๊นแมนในชาติที่แล้วและเป็นคุณหนูตระกูลลี่ในชาตินี้ แต่แววตาของท่านอ๋องน้อยที่มองนางให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป
แต่เพราะเป็นเช่นนี้ ลี่หยวนจึงตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับเขาโดยการเดินไปทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ระหว่างทั้งสองมีเพียงโต๊ะน้ำชากั้นอยู่
ในเมื่อนางยังต้องการอาศัยเขา การจะแสดงท่าทางอึดอัดหรือขลาดกลัวให้อีกฝ่ายหมดความสนใจในตนเองเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เป็นอันขาด!
“ลี่หยวนได้ยินมาว่า ที่วังอ๋องน้อยมีเส้นทางที่คดเขี้ยวดุจเขาวงกต ผู้ที่เข้าไปแล้วมักจะไม่ได้กลับออกมา”
นางค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้น เอียงหน้าดุจสตรีผู้ใสซื่อไม่รู้ความ ใช้รูปลักษณ์ของเด็กสาววัยสิบสี่ปีให้เป็นประโยชน์
“เป็นเรื่องจริงหรือไม่เจ้าคะ”