หลีเจียวนึกถึงครั้นยังเยาว์ ไทเฮาทรงหาอาจารย์มากความรู้เข้ามาสอนหนังสือให้ถึงวังหลวง ทว่าเซวียนหยางไม่ชอบอาจารย์หนุ่มท่านนั้น จึงชอบชวนนางโดดเรียนอยู่บ่อยครั้ง เขาพานางปีนข้ามกำแพงสูงเพื่อหนีไปนั่งเล่นในสวนดอกเหมยด้วยกัน แน่นอนว่าย่อมถูกจับได้และถูกลงโทษ โดยเซวียนหยางยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว เขากล่าวอ้างกับไทเฮาว่าขู่เข็ญบังคับให้นางโดดเรียนเป็นเพื่อน
ภาพความสุขในวันวานทำให้หลีเจียวยิ้มได้ทว่าไม่นานนัก เพราะความจริงในปัจจุบันทำให้นางรู้สึกเศร้าขึ้นมา
หลีเจียวค่อยๆ ปีนบันไดขึ้นไป เพราะกำแพงสูงเกือบถึงหลังคา นางหันซ้ายหันขวา คอยระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา
กระทั่งสายตาดันเหลือบไปเห็นเงาร่างชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังคา ทั้งสองประสานตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาสวมชุดสีดำพลางตัวเช่นนาง ชายชุดดำผู้นั้นดูเหมือนจะตกใจที่เห็นนาง เขารีบลุกขึ้น กระโดดหนีหายวับราวล่องหนได้
หลีเจียวตกใจไม่แพ้กัน ชายชุดดำที่เห็นไม่ใช่ภูติผีแต่เป็นคนจริงแท้แน่นอน นางจึงตัดสินล้มเลิกไม่ออกไปพบไทเฮาแล้ว กลัวว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนร้าย กลัวว่าลูกน้อยทั้งสองจะเป็นอันตราย
เสี่ยวม่านเห็นฮองเฮาค่อยๆ ปีนบันไดกลับลงมาก็ถามอย่างแปลกใจ “มีอะไรหรือเพคะ”
“ข้าเห็นคนผู้หนึ่ง...” หลีเจียวจึงเล่าว่าพบเห็นชายปริศนานั่งอยู่หลังคาบนตำหนัก นางกลัวว่าจะเป็นผู้ไม่หวังดี จึงสั่งให้ช่วยกันสอดส่อง สิ่งใดพอเป็นอาวุธได้ก็ให้พกติดตัวไว้
หลีเจียวกลับเข้าห้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้ง นางนอนกอดลูกเอาไว้ทั้งคืน ไม่อาจข่มตาหลับได้ลงแม้สักเค่อ
คืนนี้เสี่ยวม่านเกณฑ์นางกำนัลมานอนเฝ้าหน้าห้องฮองเฮา พวกนางจงรักภักดีถึงขั้นยอมถวายชีวิต
อีกด้านหนึ่ง
ผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นโอรสสวรรค์เดินปัดม่านมุกเข้ามาในห้องเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เฉินกงกงเห็นฝ่าบาททรงกลับมาแล้ว จึงรีบเข้ามาช่วยปรนนิบัติ
เฉินกงกงเอ่ย “ฝ่าบาทไปหาฮองเฮามาอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้พระองค์ทรงระวังหน่อย ในวังยังมีคนของใต้เท้าหลิวปะปนอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนหยางเอ่ยเสียงเรียบ “เรารู้แล้ว”
เซวียนหยางเสด็จมายังตำหนักฮุ่ยหมิ่น เพื่อร่วมฉลองวันคล้ายวันเกิดหลิวกุ้ยเฟย
หลิวกุ้ยเฟยหรือหลิวซือซือ เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของใต้เท้าหลิวอิ้น เสนาบดีฝ่ายซ้าย ซึ่งเป็นขุนนางอาวุโสมากด้วยอำนาจบารมี ผู้ซึ่งกุมอำนาจในราชสำนักที่แท้จริง แม้แต่ฮ่องเต้รัชกาลก่อนยังต้องเกรงพระทัย
หลิวซือซือยืนรอรับเสด็จอยู่แล้ว ทันทีที่เห็นร่างสูงสง่าเดินเข้ามาก็รีบเอ่ยต้อนรับพร้อมรอยยิ้มหวานหยดย้อย นางยอบกายลง “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันนึกว่าฝ่าบาทจะไม่มาเสียแล้ว”
เซวียนหยางเดินเข้าไปประคองร่างเพรียวบางให้ลุกขึ้น “วันสำคัญของกุ้ยเฟยทั้งที เหตุใดเราจะไม่มา”
หลิวซือซือถือวิสาสะเข้าไปคล้องแขนฮ่องเต้หนุ่ม ริมฝีปากเคลือบชาดแดงยกยิ้มภูมิใจ ลำคอตั้งตรง ปลายคางเชิดขึ้น เวลานี้มีผู้ใดบ้างไม่รู้ว่านางคือที่โปรดปรานของฝ่าบาท เหล่านางสนมปลายแถวที่ถูกเชิญมาร่วมงานด้วยก็ได้แต่ทอดถอนใจด้วยความอิจฉา
เซวียนหยางเหยียดสายตามองแขนข้างที่ถูกกอดรัดอย่างไม่ชอบใจ เขารีบเก็บสายตาคืนโดยไว เมื่อนั่งลงแล้วจึงสั่งให้เฉินกงกงนำของกำนัลเข้ามา
หีบหลายสิบหีบถูกยกเข้ามาในตำหนักฮุ่ยหมิ่น เซวียนหยางหันไปเอ่ยกับหลิวซือซือด้วยรอยยิ้ม “ของกำนัลเหล่านี้เราคัดสรรมาเป็นอย่างดี หวังว่าจะถูกใจกุ้ยเฟย”
หลิวซือซือมองหีบละลานตา “ลำบากฝ่าบาทแล้วเพคะ ที่จริงไม่จำเป็นต้องมอบของมากมายแก่หม่อมฉัน ขอแค่ฝ่าบาทอยู่ร่วมฉลองวันสำคัญ หม่อมฉันก็ถือว่าเป็นของกำนัลที่ล้ำค่าหาที่เปรียบมิได้แล้วเพคะ”
เซวียนหยางจ้องหน้าสตรีข้างกาย มุมปากกดลึก “หากกุ้ยเฟยเกรงใจคิดว่ามากไป เราจะให้เฉินกงกงยกกลับ...”
ทว่ายังไม่ทันจบประโยค หลิวซือซือก็รีบเอ่ยแทรกขึ้น “ยกกลับไปกลับมา ลำบากเฉินกงกงเปล่าๆ ในเมื่อฝ่าบาทตั้งใจมอบให้หม่อมฉัน หม่อมฉันก็ยินดีรับไว้เพคะ”
เซวียนหยางพยักหน้าขึ้นลง ไม่กล่าวอะไรอีก นอกจากยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเงียบๆ
งานเลี้ยงในตำหนักฮุ่ยหมิ่นยังดำเนินต่อไป เซวียนหยางนั่งฟังเสียงกู่เจิงมาครู่ใหญ่จนเริ่มเบื่อแล้ว
ฮ่องเต้หนุ่มจึงลุกขึ้นยืน หลิวซือซือที่นั่งสนทนาอยู่อีกฝั่งกับกลุ่มท่านหญิงสูงศักดิ์เห็นเข้าก็รีบเดินนวยนาดเข้ามา “ฝ่าบาทจะเสด็จกลับแล้วหรือเพคะ”
เซวียนหยางพยักหน้า “ยังมีฎีกาอีกมากที่เราต้องรีบสะสาง เชิญกุ้ยเฟยสนุกต่อเถอะ”
“เช่นนั้นหม่อมฉันเดินไปส่งเพคะ” หลิวซือซือไม่คิดรั้งอีกฝ่ายให้อยู่ต่อ
หลิวซือซือส่งฮ่องเต้กลับไปแล้ว นางเดินกลับเข้าในงาน เจียงหมัวหมัวเห็นก็รีบปรี่เข้ามาหา “กุ้ยเฟย! เหตุใดกุ้ยเฟยไม่รั้งฝ่าบาทให้อยู่ต่อ นี่ยังไม่ยามอู่เลยนะเพคะ"
เจียงหมัวหมัวเป็นคนของบิดา นอกจากมีหน้าที่คอยรายงานเรื่องราวต่างๆ แล้ว ยังมีหน้าที่เคี่ยวเข็ญให้นางเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ให้ได้ และเมื่อเป็นที่โปรดปรานแล้ว ต่อไปก็ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้นางได้ขึ้นเป็นฮองเฮา
หลิวซือซือแอบกลอกตา บางครั้งนางก็รู้สึกรำคาญเจียงหมัวหมัวเสียเหลือเกิน “หมัวหมัว ข้าพยายามรั้งฝ่าบาทแล้วจริงๆ” พูดจบนางก็รีบหันหลังเดินหนีไปอีกทาง ทิ้งให้หญิงวัยกลางคนยืนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ลำพัง
เจียงหมัวหมัวแอบคิดอยู่ในใจ พยายามอย่างไรกัน! นางเห็นกุ้ยเฟยเอ่ยกับฝ่าบาทไม่กี่ประโยคเอง