ราเมศวร์แค่ยิ้มเฉย ทำเป็นไม่รู้ทันสาวสวย มือนุ่มๆถูกบีบกระชับตามมารยาทการทักทายแบบสากล แล้วปล่อย
ลัลลิตาเสียอีก ยังอ้อยอิ่งที่จะให้เขาสัมผัสเช่นนั้นต่อ
ราเมศวร์ วัศธร...เขาช่างเป็นต้นแบบชายในฝันของหญิงสาวทั้งหลายอย่างแท้จริง
ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม ไหล่กว้าง ต้นขายาวซ่อนมัดกล้ามไว้ในกางเกงพอดีตัวนั้นอีก แค่นึกไปว่าหากร่างแกร่งน่าชื่นชมนี้แนบลงมาขณะที่ไร้พันธนาการใดๆห่อหุ้มกาย จิตใจของหล่อนก็หวามไหวเสียแล้ว
ยิ่งพิศ เขาก็ยิ่งน่าปรารถนา ทำให้ความรู้สึกของหล่อนร้อนเร่าขึ้นมาได้ในพริบตา
ถ้าหล่อนได้อยู่กับเขาในที่รโหฐานสักครั้งแม้เพียงในฐานะคู่นอนคงสำลักความสุข เพียงเรือนร่างแกร่งทรงพลังในความเป็นบุรุษเพศของเขาถ่ายเทไออุ่นสู่เรือนกายหล่อน แบบ...ไม่มีกักมีเก็บ
ชื่อเสียงของเขา หล่อนรู้มานานเกี่ยวกับเพศตรงข้าม แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขามั่วไม่เลือก ชนิดว่าใครทอดสะพานให้เป็นเดินไปหา ไม่ใช่ราเมศวร์ เขาใช้ความพึงพอใจส่วนตัวเป็นหลัก
ดูเหมือนว่าคุณสมบัติของผู้หญิงที่เขามีความสัมพันธ์ด้วย ประการแรกต้องสวย ไม่ใช่สวยธรรมดาแต่สวยชนิดหยาดฟ้ามาดิน
ลัลลิตามัวแต่ชื่นชมโฉมชายหนุ่มที่หล่อนพึงใจ ปรารถนาในตัวเขา ไม่ว่าความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปจะสั้นหรือยาวหล่อนไม่เกี่ยง จึงไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆเดินลงมาจากบันใด
ราเมศวร์ได้ยิน และยังมองเห็นอีกด้วยเพราะหันหน้าไปทางนั้นอยู่แล้ว จึงขยับร่างกายสูงออกห่างหญิงสาวที่ดูเหมือนจะขยับเข้ามาหาเกือบชิดตัวเขาอย่างลืมตัว
ลัลลิตามองอย่างตัดพ้อที่ร่างสูงถอยห่าง เพราะยังไม่รู้ว่าน้องสาวต่างมารดาเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหลังห่างออกไปไม่กี่ก้าว หารู้ไม่ว่าในใจชายหนุ่มออกจะขันในการทอดสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กน้ำพี้ของหล่อน ถ้าเขาจะยังข้องใจก็แน่ใจก็ตอนนี้เองเกี่ยวกับกิตติศัพท์ความเจ้าชู้ และไม่ถือตัวของบุตรสาวคนโตของดำรง
“สวัสดีค่ะ”
ปูริดาทักทายชายหนุ่มเสียงเฉย ทันเห็นไหล่พี่สาวเกร็งขึ้น
นี่เป็นครั้งที่สองที่หล่อนได้พบผู้ชายที่กำลังจะริดรอนอิสรภาพของหล่อน หลังจากพบกันหนแรกอย่างไม่มีความหมายอะไร
ครั้งแรกนั้นเขามาหาบิดาของหล่อน แต่ครั้งนี้เขาเจาะจงมาหาหล่อนโดยเฉพาะ หลังจากโทรมานัดหมายหลายวันก่อน
“จะไปกันเลยมั้ยคะ”
ปูริดาไม่คิดจะเชิญให้เขานั่งคุยกันก่อน ทำให้ลัลลิตาค้อนน้องสาวที่ช่างไม่รู้จักมารยาทสังคมหลายขวับ
“ครับ ลาละครับ คุณลัลลิตา วันหน้าคงได้พบกันอีก”
“แน่นอนค่ะ”
ลัลลิตายังส่งสายตาหยาดเยิ้มตามไป แม้จะรู้ว่าราเมศวร์ไม่เห็น
ความมาดหมายในใจนั้นคงยากที่จะมีใครหยั่งถึง ซึ่งความจริงมีอยู่ว่าไม่มีใครคิดว่าลัลลิตาจะคิดอะไรเช่นนั้น
“มีเรื่องอะไรกับพี่สาวงั้นหรือ”
ราเมศวร์ถามขึ้นทันทีที่รถวิ่งพ้นประตู น้ำเสียงของเขาคล้ายผู้ใหญ่ใช้กับเด็ก ผิดกันลิบยามอยู่ต่อหน้าลัลลิตาในความรู้สึกของปูริดา
“มีอะไรคะ”
“ฉันถามเธอนะ ไม่ใช่ให้เธอย้อนถาม”
“ก็ดิฉันไม่เข้าใจคำถามของคุณ”
ปูริดาพูดหน้าเฉย มองตรงไปข้างหน้า
“คำถามง่ายๆไม่น่ายากที่จะเข้าใจ”
“ดิฉันไม่ค่อยฉลาดนักหรอกค่ะ ฉะนั้นถ้าจะกรุณาล่ะก็ ถามคำถามง่ายสำหรับการตอบมากกว่านี้หน่อยก็จะดี”
ดวงตาคมภายใต้สันคิ้วเข้มชำเลืองมองซ้ายแวบหนึ่งก่อนดึงกลับไปมองถนนที่รถราค่อนข้างจะคับคั่ง ซึ่งถือเป็นปกติไปแล้วสำหรับการจราจรในเมืองหลวง
“ฉันถามใหม่ก็ได้...เธอจะว่ายังไงถ้าหากงานแต่งระหว่างเราจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่จัดงานใหญ่โตหรูหราเชิญแขกเป็นพัน”
หญิงสาวอึ้งไป เพราะคำถามใหม่นี้คนละเรื่องกันเลยกับเมื่อสักครู่ แต่ในที่สุดก็สามารถตอบออกไปได้ด้วยเสียงเรียบสนิทไม่บ่งบอกอารมณ์
“ตามใจสิคะ ดิฉันยังไงก็ได้อยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีพิธีอะไรเลยก็ยังได้”
“ปูริดา ฉัน...”
เป็นครั้งแรกที่ราเมศวร์แสดงความไม่มั่นใจออกมาทั้งทางสีหน้าและน้ำเสียงต่อหน้าสตรี แถมยังเป็นสตรีที่อายุเยาว์กว่าเขากว่าสิบปี
“คือ...ถ้าเธออยากจัดงานเลี้ยงใหญ่โต เชิญแขกมาเป็นสักขีพยานทั้งกรุงก็ได้นะ ฉันตามใจทุกอย่าง”
“ไม่ดีหรอกค่ะ”
“อะไรไม่ดี?”
“ก็ที่คุณจะมาตามใจดิฉันตั้งแต่ยังไม่ทันรับตำแหน่งภรรยาของคุณนะสิคะ ไม่กลัวหรือว่าจะทำให้ดิฉันได้ใจ ขี่คอคุณเข้าสักวัน”
“ปูริดา”
เสียงเรียกค่อนข้างจะห้วนจนเกือบจะเป็นเย็นชา
หล่อนหันมองเขา ทันสบตากันแวบหนึ่ง ไม่มีท่าทีหวั่นเกรงสายตาคมเข้มเป็นประกายวับกว่าปกติ ซึ่งคนรู้จักราเมศวร์ดีจะรู้นั่นคือสัญญาณเตือนภัย แต่ปูริดายังทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ แม้จะสำเหนียกอยู่ละในกังวานเสียงเข้มขึ้นของชายหนุ่ม
“ฉันขอเตือนเธอในฐานะเป็นผู้ใหญ่กว่า มีประสบการณ์มากกว่า”
“เตือนอะไรคะ”
คิ้วโค้งเรียวสวยขนานไปกับกรอบตาคมโตโก่งสูงข้างหนึ่งประกอบคำถาม
“ถ้าไม่แน่จริงอย่าริลองดีกับฉัน” ราเมศวร์ตอบ เสียงหนักราวจะเตือนอยู่ในที
ใบหน้าเรียวออกจะงอๆ เพราะไม่ชอบที่ชายหนุ่มทำน้ำเสียงฟังเหมือนขู่ เขาคิดว่าหล่อนเด็กสักแค่ไหนกัน ถึงได้พูดจาเหมือนจะตัดไม้ข่มนามให้กลัวเขาในทีตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง