บทที่3.1 นางเอกบัวขาว
เมื่อกลับถึงเรือนคุนหมิง เจียงจูถิงไม่ทันผลัดเปลี่ยนผ้าก็ตรงเข้าไปยังครัวเล็กของเรือนก่อไฟต้มยา
“เจ้าไปเปลี่ยนผ้าก่อนเปียกทั้งตัวขนาดนี้เดี๋ยวจะล้มป่วยเอา ยาต้มนี่เดี๋ยวข้าเฝ้าเอง”
หากกล่าวว่าตัวละครในเรื่อง “ห้วงรัตติกาล” ผู้ใดที่ภักดีต่อเฉินเจ๋อหยุนที่สุด คำตอบย่อมเป็นซ่งหลี่ เจียงจูถิงยังจดจำตอนจบของนิยายเรื่องนี้ได้ดี ยามที่เนื้อเรื่องเดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย เฉินเจ๋อหยุนกำลังจะถูกลู่จ้านหยางสังหาร ผู้ที่มารับคมดาบแทนเขาก็คือคนสนิทผู้นี้ของเขา ดังนั้นยามที่ซ่งหลี่อาสาต้มยาให้พ่อตัวร้าย เจียงจูถิงจึงวางใจและเร่งไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะออกมาดูพ่อตัวร้ายของเรื่อง
ดวงตาเรียวมองคนบนเตียงที่ยามนี้ใบหน้าดูซีดเซียวกว่าเดิมไปหลายส่วนแล้วถอนหายใจยาว เฉินเจ๋อหยุนเป็นบุรุษปากหนัก อีกทั้งยังเด็ดขาดเหี้ยมโหด หากเขาไม่เอ่ยอนุญาตเรือนนอนหลักของเขานี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเท้าเข้ามา เป็นเช่นนั้นเกรงว่าหากวันนี้ไม่มีนาง เขาก็คงนอนหมดสติอยู่ในเรือนนอนเพียงลำพัง รอจนถึงวันงานจึงลากสังขารไปให้แม่นางเอกเหรินหยวนเย่วรักษา
“วันนี้ข้าช่วยท่านแล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปพึ่งพิงผู้หญิงใจร้ายคนนั้นอีกเข้าใจหรือไม่”
ผู้หญิงใจร้ายคนนั้น นางกำลังหมายถึงผู้ใดกัน แม้ร่างกายอ่อนเพลียจวนสิ้นสติ แต่เพราะที่ผ่านมาทุกลมหายใจของเขาล้วนมีผู้คนหมายเอาชีวิต ไม่ว่ายามใดก็ไม่อาจปล่อยสติให้หลุดลอย
เจียงจูถิงถือโอกาสที่อีกฝ่ายไม่ได้สติ เอ่ยบอกเขาเสียงดุ ก่อนจะแกะผ้าพันแผลที่อกเขาแล้วดูแลทายาให้ใหม่อย่างใส่ใจ ยามที่ผูกปมผ้าพันแผลเสร็จก็เอ่ยดุอีกหนึ่งประโยค
“ผู้หญิงคนนั้นมีแต่จะทำให้ท่านเสียใจ หากต่อไปข้าไม่อยู่ก็ห้ามไปหลงรักนางเข้าใจไหมเจ้าคะ”
นางไม่อยู่ หมายความว่าอย่างไร เมื่อได้ยินว่าสาวใช้ข้างห้องจะจากไปร่างกายของเขาก็พลันเกร็งสะท้าน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น ในใจก็เกิดความไม่ยินยอมจนคล้ายร่างกายจะมอดไหม้ด้วยแรงโทสะ นางกล้าคิดจะทอดทิ้งเขาหรือ
เจียงจูถิงเห็นคนบนเตียงตัวสั่นสะท้านก็เข้าใจว่าตนเองลงมือทำแผลหนักไป เร่งเอ่ยขอโทษเขาน้ำเสียงร้อนรน
“ขออภัยด้วยท่านเจ็บมากหรือไม่ เช่นนั้นท่านนอนพักก่อน คืนนี้ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว”
เสียงเอ่ยบอกอ่อนโยน ก่อนที่เจียงจูถิงจะขยับตัวลุกจากเตียงคนเจ็บ ทว่ายังไม่ทันก้าวเท้าเดินจากไป ข้อมือเล็กก็โดนฉุดรั้งเอาไว้เสียก่อน
“อย่าไป”
เสียงแหบแห้งแผ่วเบาไร้สุ้มเสียงของคนบนเตียง ทำให้เจียงจูถิงไม่เข้าใจความต้องการของเขา มือเล็กจึงลงบนมือหนา ส่ายหน้าไปมาแล้วค่อยๆ แกะออก เพียงแต่ยิ่งนางพยายามแกะมือเขาออก อีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรงบีบรัดเพิ่มมากขึ้น คิ้วเรียวเริ่มขมวดมุ่นด้วยความเจ็บปวด หากเขาเพิ่มแรงอีกนิดนางมั่นใจได้เลยว่าข้อมือของนางจะต้องหักคามือเขาแน่นอน
“คุณชาย บ่าวเจ็บเจ้าค่ะ”
เจียงจูถิงเอ่ยบอกเสียงสั่นเครือ แรงบีบที่ข้อมือเล็กจึงลดลง ทว่ากลับไปยอมปล่อยมือ เป็นเช่นนี้เจียงจูถิงก็ได้แต่ถอดใจทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงเขาอีกครั้ง
“อาถิงยามาแล้ว”
เสียงของซ่งหลี่เอ่ยไม่ดังนัก เจียงจูถิงจึงหันมาเอ่ยบอกคนบนเตียงเสียงอ่อนโยน
“คุณชายข้าจะป้อนยาให้ท่าน ปล่อยมือข้าก่อนเจ้าค่ะ”
“ไม่!”
เสียงแผ่วเบาฟังไม่ได้ศัพท์ของคนบนเตียงทำให้เจียงจูถิงได้แต่ถอนหายใจยาว เพียงแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรมือหนาของพ่อตัวร้ายก็ไม่ยอมคลายออก สุดท้ายนางจึงทำได้เพียงหันไปสบตาซ่งหลี่เท่านั้น
“เช่นนั้นข้าถือถ้วยยาให้เจ้าก็แล้วกัน”
ซ่งหลี่เอ่ยบอกพร้อมส่งรอยยิ้มแห้ง เขาเป็นบุรุษมือไม้เก้กังเรื่องใช้แรงอาจถนัด แต่เรื่องปรนนิบัติผู้อื่นเช่นนี้เขาล้วนไม่ช่ำชอง เมื่อเป็นเช่นนี้เจียงจูถิงจึงจำใจยื่นมือไปตักยา หลังจากเบาให้คลายความร้อนแล้วก็ค่อยๆ ป้อนคนเจ็บช้าๆ
“ยานี่ท่านหมอบอกว่าสามเทียบแรกต้องกินทุกสองชั่วยาม”
“ข้าจะจัดการต้มให้ เจ้าคอยนอนเฝ้าคุณชายก็พอ”
ซ่งหลี่อาสาในทันที ชีวิตนี้ของเขาได้คุณชายใหญ่ช่วยเหลือ แน่นอนว่าแม้แต่ลมหายใจเขาก็ยินดีมอบให้อีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล นับประสาอะไรกับการนั่งต้มยาทุกสองชั่วยาม
“เจ้าต้องคอยเฝ้าระวังความปลอดภัยให้คุณชายก็นับว่าเหนื่อยมากพอแล้ว เรื่องยาของคุณชายยกให้ข้าดูแลเถิด”
น้ำเสียงอ่อนโยนของนางทำให้ใบหน้าที่มักราบเรียบของซ่งหลี่มีรอยยิ้มบางเบา สตรีนางนี้แม้มีใบหน้า รูปร่างสามัญ แต่ยามได้ใกล้ชิดกลับมีบางสิ่งชวนให้ลุ่มหลงได้โดยง่าย มิแปลกใจที่คุณชายใหญ่ไม่ยินยอมปล่อยมือจากนางโดยง่าย
หางตาของเขามองมือของผู้เป็นนายที่ค่อยๆ ปล่อยข้อมือเล็กออกโดยไม่รู้ตัว นี้คงเพราะฤทธิ์ยาที่เจียงจูถิงป้อนเขาไปเมื่อครู่เป็นแน่
................................................
พ่อตัวร้ายเฉินเจ๋อหยุนนั้นมีร่างกายที่แข็งแรงนัก เขาสลบไปคืนเดียวตอนเช้าก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ที่สำคัญยังทำตัวเช่นยามปกติราวกับบาดแผลบนกายเป็นเพียงรอยแมวข่วนเท่านั้น
“คุณชาย วันนี้ท่านหยุดพักอยู่ที่เรือนดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ยามสงคราม หากไม่ตายก็ไม่อาจหยุดพัก”
เจียงจูถิงได้ฟังคำตอบของเขาแล้วเม้มริมฝีปากบาง แล้วตอนนี้เป็นยามสงครามหรืออย่างไร เพียงแต่แม้ในใจนึกโต้แย้งทว่าก็ไม่ได้เอ่ยโต้เถียงเขาออกมา อีกทั้งยังปลอกไข่วางในถ้วยเล็ก ข้างชามโจ๊กให้เขา
"คืนนี้ข้าต้องไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบห้าสิบปีขององค์ฮ่องเต้ เตรียมชุดไว้ให้ข้าด้วย"
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยบอกก่อนที่จะก้าวออกจากเรือนไป เจียงจูถิงได้แต่มองแผ่นหลังกว้างด้วยความรู้สึกกังวลใจกับเรื่องราวในอนาคตของเขา
อาจเพราะเฉินเจ๋อหยุนมีหน้าที่สำคัญคือการฝึกฝนทหาร ดังนั้นแม้จะเป็นเลขาธิการกองทัพ แต่กลับมีหัวใจห้าวหาญและความรับผิดชอบสูงส่งดุจแม่ทัพใหญ่
ได้ยินว่าทหารภายใต้สังกัดการดูแลของเขาแม้ยามนี้ที่ไม่มีสงครามก็ยังต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวด กองกำลังที่เขาดูแลจึงได้รับคำชื่นชมจากองค์ฮ่องเต้อยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่าเมื่อเป็นที่ต้องพระทัยขององค์ฮ่องเต้ บรรดาลาภยศเงินทองก็ย่อมไหลมาไม่ขาดสาย จนบางครั้งก็ไปเหยียบเท้าผู้อื่นอย่างไม่ตั้งใจ
ต้นยามอิ่วพ่อตัวร้ายก็กลับเข้าจวน เดิมทีเขาตั้งใจว่าวันนี้จะกลับมาเร็วสักหน่อยเพื่อเตรียมตัวไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบห้าสิบปีขององค์ฮ่องเต้ แต่เป็นเพราะต้องฝึกทหารชุดใหม่จึงทำให้ล่าช้า
"เจ้าเร่งมือหน่อย"
น้ำเสียงขุ่นเคืองเร่งรีบของเขาทำให้เจียงจูถิงเร่งมือ เพียงแต่ยามที่จะช่วยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้มือหนาก็กำข้อมือเล้กเอาไว้ ยามที่ผิวมือหยาบกร้านของเขาสัมผัสข้อมือเล็กใจของเจียงจูถิงพลันสั่นระรัวโดยไร้เหตุผล
"กลับมาค่อยเปลี่ยน"
เขาเอ่ยเสียงราบเรียบ ในแววตาไร้ความรู้สึกอื่น เจียงจูถิงสูดลมหายใจเข้าแล้วรับคำอีกฝ่ายก่อนจะสวมชุดใหม่ให้เขา เพียงแต่เรื่องราวในคืนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความเลวร้ายในอนาคตของพ่อตัวร้ายหากไม่เอ่ยเตือนสักประโยคก็ดูจะแล้งน้ำใจไปหน่อย
“คุณชาย ท่านหมอกล่าวว่าช่วงนี้ท่านไม่ควรดื่มสุรานะเจ้าคะ”
เจียงจูถิงเอ่ยบอกไม่เต็มเสียงนัก ก่อนจะรวมผมสวมกว้านเงินให้เขา ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่ท่านหมอที่เอ่ยบอก แต่เพราะนางจำได้ว่าในวันแรกที่พ่อตัวร้ายได้พบเจอนางเอกนั้น เขาจะถูกคนลอบวางยาพิษไส้บิดในสุรา จนทำให้ปวดท้องอย่างรุนแรงในภายหลัง
“อืม”
เฉินเจ๋อหยุนเอ่ยขานรับในลำคอ ก่อนจะหมุนตัวจากไป เจียงจูถิงถอนหายใจยาว ดูเหมือนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเส้นเรื่องที่นักเขียนวางไว้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้วนางควรเตรียมยาแก้ปวดท้องไว้ให้เฉินเจ๋อหยุนสักหน่อยดีหรือไม่
................................................