ถึงเวลาเลือก
“แม่แดง!”
คุณมณีรินเอ่ยเรียกแม่บ้านวัยชราที่บังเอิญเดินผ่านมาให้หยุดก่อนจะสั่งให้อีกฝ่ายไปตามปภาวรินทร์ให้มาพบที่ที่โดยไม่ต้องหันไปสอบถามความเห็นสามีที่เอาแต่นั่งเงียบเลยสักคำ
ไม่นานคนที่รออยู่ก็ปรากฏตัวขึ้น ปภาวรินทร์ทรุดกายนั่งลงที่พื้นเมื่อมาถึง หญิงสาวเงยหน้าจ้อมองผู้เป็นพ่อและแม่เลี้ยงเพื่อรอฟังสิ่งที่ทั้งสองต้องการจะพูดกับเธอท่ามกลางความรู้สึกที่ค่อนข้างหวาดหวั่นในใจไม่น้อยทีเดียว ซึ่งทุกสิ่งมันก็เป็นจริงดั่งที่แอบนึกกลัว
“คุณมานพเขาอยากได้แกไปเป็นเมียลูกชายเขา!” เมื่อจู่ๆ แม่เลี้ยงก็เอ่ยขึ้น ซึ่งมันเป็นคำบอกเล่าที่ทำให้เธอตกใจจนแทบสิ้นสติ
“คุณท่านว่ายังไงนะคะ” เธอทวนถามอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ! ตอนนี้กิจการของฉันกับคุณพี่ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่ แกเองก็คงรู้ว่าบ้านเราตอนนี้มันมีแต่หนี้สินเต็มไปหมด คุณนพเขาเป็นเจ้าของเหมืองแร่ชื่อดังที่เชียงราย เขาอยากจะได้แกไปเป็นเมียลูกชายเขา ถ้าแกตกลงเขายินดีที่จะช่วยพวกเราเรื่องเงิน ซึ่งแกต้องไป!” นั่นไม่ใช่คำบอกเล่าหรือคำขอร้อง หากแต่เป็นคำสั่ง คำสั่งที่มันทำให้ปภาวรินทร์ต้องหันไปมองบิดาในทันที เธออยากจะรู้ว่าท่านรู้สึกเช่นไรต่อเรื่องนี้ ซึ่งไม่นานเสียงเข้มดุดันก็เอ่ยขึ้น หลังจากใช้เวลาขบคิดจนได้คำตอบที่ตัวเองนั้นต้องการเสียที
“ขอผมคุยกับเธอเอง” คุณทรงพลเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกยืนเดินนำลูกสาวคนเล็กออกมาที่สวนดอกไม้บริเวณหน้าบ้าน ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบลุกขึ้นเดินตามหลังบิดามาติดๆ ด้วยไม่อยากทำให้ท่านไม่พอใจตน ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เธอจะมีโอกาสได้อยู่กับท่านตามลำพังเช่นนี้
แต่มันคงจะดีกว่านี้มากหากไม่ได้อยู่ด้วยกันในสถานการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี
“ตั้งแต่เธอเกิดมาไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ฉันจะขออะไรเธอ แต่วันนี้ฉันคงต้องขอ…ขอให้ฐานะพ่อที่ให้เธอเกิดมา ถึงฉันจะไม่ใช่พ่อที่ดีเท่าไหร่ แต่เธอคงไม่คิดว่าฉันไม่มีบุญคุณกับเธอหรอกจริงไหม…” คำถามนั้นกรีดใจคนฟังจนน้ำตานองหน้า
มันเจ็บเสียยิ่งกว่าตอนที่สัมผัสด้วยตัวเองว่าพ่อแท้ๆ ไม่เคยรักเธอเลยสักครั้งตั้งแต่เกิดมาเสียอีก เจ็บมากกว่าครั้งไหนๆ ที่พ่อแท้ๆ กำลังไล่ต้อนให้เธอจนมุมด้วยการหยิบเอาคำว่าบุญคุณมาอ้าง
“อยู่ที่เธอแล้วปภาวรินทร์ว่าจะยอมทำเพื่อฉัน…หรือไม่ทำ!” คนที่ไม่เคยต้องอ้อนวอนขอร้องใครทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะหมุนตัวเตรียมจะเดินหนีบุตรสาวคนเล็กที่เขาไม่เคยเหลียวแลออกไปไกล ปล่อยให้อีกฝ่ายได้คิดตัดสินใจเอาเองว่าจะช่วยเขากับทุกคนหรือไม่
“คุณพ่อคะ” แต่เดินออกไปเพียงแค่ไม่กี่ก้าวชายชรากลับต้องหยุดชะงักเมื่อได้คำว่า ‘พ่อ’ หลุดออกมาจากปากของอีกคนเข้า
คำที่เขาเคยสั่งห้ามไม่ให้เธอเอ่ยมันออกมาเลยสักครั้งเดียว!
“รินจะทำค่ะ! เพราะฉะนั้นคุณพ่ออภัยให้รินสักครั้งได้ไหมคะ…ฮึก! รินขอโทษที่เกิดมาทำให้คุณพ่อต้องแปดเปื้อน ขอโทษที่บังอาจเรียกคุณว่าพ่อ…แต่ถ้ารินไม่เรียกวันนี้ ก็คงไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เรียกพ่ออีกรึเปล่า พ่อไม่ต้องรักรินก็ได้ รินขอแค่พ่อไม่เกลียดรินก็พอ…” เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ที่ทรงพลอยากจะหมุนตัวกลับไปคว้าตัวลูกสาวเข้ามากอด แต่แค่เพียงหมุนตัวกลับไปเขาก็ต้องพบเจอกับความผิดหวังอย่างหนักหน่วงเมื่อปภาวรินทร์พาตัวเองเดินจากไปแล้วไกลเกินว่าที่ประโยคนี้ของเขาจะดังไปถึงเธอ…
“พ่อขอโทษริน…พ่อขอโทษลูก”
ภาพคุณหนูคนเล็กของบ้านซึ่งกำลังเก็บเสื้อผ้าที่มีเพียงไม่กี่ชุดใส่กระเป๋าเดินทางใบย่อมนั้นทำเอานางแดงถึงกลับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เดือดร้อนปภาวรินทร์ที่ต้องหยุดมือก่อนจะขยับเข้ามาปลอบโยนแม่นม ที่เป็นคนเลี้ยงดูเธอมานับตั้งแต่วันแรกที่เธอเกิด
“ไม่ร้องไห้สิคะป้าแดง รินทำเพื่อทุกๆ คนนะคะ อีกอย่างแค่เชียงรายเอง เอาไว้รินจะหาเวลากลับมาเยี่ยมป้ากับทุกคนบ่อยๆ นะคะ” หญิงสาวพยายามพูดให้อีกคนรู้สึกดีขึ้นทั้งๆ ที่ตัวเธอเองก็บอบช้ำอย่างหนักที่จู่ๆ ต้องเดินทางไกลจากบ้านที่ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อบอุ่นราวกับบ้านในฝันที่เคยคาดหวังแต่มันก็คือที่ที่เธออยู่มาตลอด
“โถคุณหนูของป้า…” นางแดงเอ่ยเพียงเท่านั้นจึงค่อยๆ ปาดน้ำตา ไม่อยากทำให้คุณหนูตัวน้อยของนางต้องพลอยร้องไห้ไปด้วยกัน แม้ว่านางจะไม่เห็นชอบกับสิ่งที่หญิงสาวต้องเสียสละในครั้งนี้สักเท่าไหร่ แต่คนที่มีสถานะเป็นเพียงแม่บ้านแก่ๆ จะไปทำอะไรได้
นอกจากอวยพรให้ปภาวรินทร์เลือกเส้นทางที่ดีกว่าที่เคยเป็น ชีวิตของหญิงสาวต้องเจอเรื่องหนักๆ มามากพอแล้ว นางก็คงได้แต่หวังว่านับจากนี้ต่อไปชีวิตของคุณหนูผู้แสนจะจิตใจดีคนนี้จะดีขึ้นอย่างที่มันควรจะเป็น อย่างน้อยขอแค่ให้เธอได้เจอคู่ชีวิตที่ดีก็พอ