ร่างสูงใหญ่ของมือปราบจิ้นซินเดินวนไปวนมาอยู่ที่ริมน้ำนานแล้ว แต่คนที่เขารอคอยอยู่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาถึงสักที และศาลาสุดเวิ้งน้ำที่เห็นแสงไฟอยู่ทุกค่ำคืน แต่ในค่ำคืนนี้ก็กลับมืดทึบไม่มีแสงใดๆ ออกมาให้เห็น ความร้อนรนมากมายที่ก่อเกิดในหัวใจทำให้มือปราบจิ้นซินตัดสินใจ
ช่วงขายาวก้าวเร็วไปที่ริมน้ำเพื่อตรงไปยังเรือลำเล็กที่ลอยลำคล้องเชือกอยู่กับคาคบไม้ที่ยื่นลงไปในน้ำ แม้จะดูละลาบละล้วงเพราะไม่รู้ว่าเรือลำนี้เป็นของใคร แต่ความร้อนใจก็ทำให้มือปราบจิ้นซินตัดความไม่ชอบในด้านนี้ออกไปจนสิ้น
ทว่าอีกปัญหาที่จิ้นซินต้องฉุกคิดก่อนจะก้าวเท้าลงเรือไปอย่างระมัดระวังก็เพราะว่าเรือลำนี้มีขนาดที่เล็กมากจนไม่น่าจะพาคนตัวโตอย่างเขาไปให้ถึงสุดเวิ้งน้ำด้านหน้าได้ แต่คงไม่มีสิ่งใดที่จะทัดทานความร้อนรุ่มแห่ง ‘เสน่หา’ ได้ รวมทั้งความห่วงหาในตัวของ ‘นั่วหลิว’ ก็มีอยู่มาก เขาอยากรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดค่ำคืนนี้นั่วหลิวถึงไม่มาตามสัญญา ทั้งที่ทุกค่ำคืน เขากับนางจะพบกันที่ริมน้ำ สถานที่แรกที่ได้พบกัน
มือปราบจิ้นซินหาความสงบในใจตัวเองไม่ได้ มือจับไม้พายจ้วงน้ำให้เรือเร็วรี่ไปด้านหน้า แต่นั่นทำให้เขายิ่งหงุดหงิด เพราะยิ่งพายก็คล้ายว่าเรือจะลอยวนไปวนมาอยู่ไม่พ้นริมน้ำแห่งนี้สักที
แต่ความมุ่งมั่นจากสายตาที่มองตรงไปข้างหน้าก็ทำให้มือปราบไม่ท้อ พยายามพายงัดๆ กะจังหวะเพื่อให้จังหวะเรือลอยไปด้านหน้า แม้จะดูช้าแต่ก็ถึงแน่นอน จิ้นซินคิดอย่างนั้น แต่สิ่งที่ทำอยู่มันไม่ง่ายเหมือนคิดน่ะสิ
“ทำไมมันไม่ไปไหนสักทีนะ โธ่โว้ย! นั่วหลิวจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ไปสิ พาข้าไปหานั่วหลิวที ไปสิเจ้าเรือ”
ยิ่งคิดยิ่งทำก็ดูจะหงุดหงิดมากขึ้น จนเรือเอนไปกระทบอะไรบางอย่างดังกึก มือปราบรูปงามจึงได้สติขึ้นมา ใบหน้าหันหาที่มาของเสียงก่อนจะยิ้มออกมาอย่างโล่งอก รอยยิ้มที่ทำให้ผู้มาใหม่ต้องยิ้มตอบออกมาเช่นกัน
“นั่วหลิว! พี่รอเจ้าตั้งนาน ทำไมวันนี้นั่วหลิวมาช้าเล่า”
มือปราบจิ้นซินเอ่ยถามทั้งสีหน้ายังดูเง้างอนแบบไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร
“พี่จิ้นซินหงุดหงิดหรือเจ้าคะ”
กิริยาป้องปากพลางหัวเราะคิกคักทำให้จิ้นซินอยากดึงนางเข้ามากอดนัก เพราะใบหน้างดงามที่กระจ่างชัดจากแสงจันทร์ด้านบนที่ส่องกระทบผืนน้ำ ยิ่งทำให้นั่วหลิวดูงดงามมากเสียกว่าวันอื่นๆ ที่ได้พบกันเสียอีก แวบหนึ่งนั้นมือปราบจิ้นซินเผลอคิดอยากไปเยี่ยมเยือนบ้านของนางให้รู้แล้วรู้รอด
แม้จะเป็นเวลาแค่สิบวันที่ได้รู้จักกัน แต่เขาก็แน่ใจแล้วว่า ‘รัก’ หญิงงามนางนี้ นั่วหลิวสร้างความสุขและความเย็นชื่นหัวใจให้กับเขาทุกเวลาที่ได้พบกัน อาจเพราะนั่วหลิวคุยสนุกและมีคำพูดมาปะทะคารมกับเขาได้ตลอดเวลา จนกลายเป็นความเคยชินที่จะต้องได้พูดคุยในทุกค่ำคืน และคืนนี้ก็เช่นกัน
“นั่วหลิวยังไม่บอกพี่เลยว่าทำไมถึงมาช้า”
“นั่วหลิวรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะเจ้าค่ะ ครั่นเนื้อครั่นตัวด้วยก็เลยนอนหลับยาวไปหน่อย ตื่นมาอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว”
“โธ่! อย่างนั้นก็ไม่น่าจะต้องมา” จิ้นซินเอ่ยเสียงแผ่ว ฝ่ามือกอบกุมมือบอบบางทว่าเย็นจัดนั้นไว้ด้วยความเป็นห่วง
ดวงตาคมเข้มทอดมองใบหน้างดงามด้วยความอ่อนโยนและความคิดถึงอย่างมากมายที่สุด พลางคิดไปว่าแม้นร่างกายนี้จะเย็นเฉียบมากกว่าเดิม ทว่าดอกไม้งามดอกนี้กลับดูงดงามมากกว่าทุกค่ำคืนที่ได้พบซะอีก
ดวงตากลมโตสุกสกาวราวกับดวงดาวบนฟากฟ้า รับกับแพขนตาที่หนางอนงาม จมูกที่โด่งเล็กน้อยรับกับริมฝีปากที่อวบอิ่มน่าสัมผัส โดยเฉพาะผิวกายที่แวววาวราวกับเรืองแสงได้ในยามค่ำคืนนี้
ยิ่งทำให้ ‘นั่วหลิว’ งดงามจนเขาดูไม่ออกว่านางกำลังไม่สบายอยู่
“นั่วหลิวอ่อนแรงน่ะเจ้าค่ะ เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนเท่าไร”
“นั่วหลิวทำอะไรอยู่หรือจึงไม่นอน เอ่อ... พี่ขอโทษที่ละลาบละล้วงถาม”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่ใช่ความลับอะไร นั่วหลิวแค่กังวลอะไรนิดหน่อย ก็เลยนอนไม่ค่อยหลับ”
“อย่างนั้นให้พี่พายเรือไปส่งนั่วหลิวที่บ้านนะ”
ใจจริงเขาอยากถามว่านางกังวลใจด้วยเรื่องอะไรหรือเปล่า แต่มันคงไม่ดีหรอกที่เขาจะถามออกไปแบบนั้น เพราะหากนางวางใจอยากเล่า นางก็คงจะพูดออกมาเอง
“พี่จิ้นซินแน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าจะพายเรือไปส่งนั่วหลิวได้ถึงบ้าน”
จิ้นซินมองตามสายตาของนางก็พบปัญหา มือปราบจิ้นซินได้แต่ยิ้มรับอย่างอายๆ เพราะฝีมือพายเรือของเขาคงไม่สามารถอย่างที่นางว่าไว้จริงๆ
“ถ้าพี่จิ้นซินอยากไปที่บ้านของนั่วหลิวจริง เอาเรือลำเล็กนี้ไปเก็บก่อนนะเจ้าคะ แล้วไปเรือนั่วหลิว ประเดี๋ยวนั่วหลิวจะพายกลับมาส่งเจ้าค่ะ”
จิ้นซินทำตามที่นางบอกอย่างไม่รอช้า แม้ว่าออกจะเสียเชิงไปสักนิดที่เขาเป็นผู้ชายทั้งยังเป็นมือปราบแห่งเมืองหลวง แต่กลับให้ผู้หญิงมาพายเรือรับส่ง ทั้งที่นางก็ยังไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย แต่หากไม่ทำอย่างนี้ เขาคงจะไม่มีโอกาสไปที่บ้านของนางสักที เขาจะไม่ยอมเสียโอกาสทองนี้ไปแน่