“ข้าสิเจ้าคะ ที่ต้องถามท่านมือปราบว่ามาทำอะไรที่นี่ ดึกดื่นแล้วไม่กลับไปพักผ่อนหรือเจ้าคะ”
“แม่นางรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นมือปราบ” จิ้นซินถาม ดวงตาคมจ้องสำรวจใบหน้างามเขม็ง สายตาฉลาดรู้ฉลาดพูดของนางทำให้เขาสับสนปนหวั่นไหว หรือนางคนนี้จะเป็น ‘ฆาตกร’ ทว่าสายตาของนางที่มองลงที่บั้นเอวของเขาก็คือคำตอบ โดยที่นางไม่ต้องพูดออกมา เพราะดาบยาวที่เหน็บไว้พร้อมตราสัญลักษณ์ของมือปราบบนฝักดาบมันฟ้องตัวตนของเขาอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
“แม่นางมาทำอะไรที่นี่ นี่มันดึกมากแล้วนะ” จิ้นซินถามอีกครั้งและครั้งนี้เขาต้องได้คำตอบเป็นคำพูดของนาง ไม่ใช่สายตาที่มองตรงมาที่เขาอย่างขำขันอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลานั้น
“ข้ามาให้ข้าวสุนัขเจ้าค่ะ”
“มาให้ข้าวสุนัขรึ” ถามอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะตั้งแต่เดินมานี่เขาก็ยังไม่เห็นสุนัขสักตัว
“ใช่เจ้าค่ะ ที่วัดร้างมีสุนัขจรจัดอยู่หลายตัว ทุกคืนข้าจะนำอาหารที่เหลือไปให้พวกมันกิน หรือท่านมือปราบคิดว่าข้าเป็นผีเจ้าคะ”
“เอ่อ...” จิ้นซินพูดไม่ออก เพราะแรกที่ได้ยินเสียงนาง เขาคิดแบบนั้นจริงๆ
“ข้ามาให้ข้าวสุนัขจริงๆ เจ้าค่ะ นี่ไงเจ้าคะ หลักฐาน”
จิ้นซินมองหม้อมีฝาปิดที่อยู่ในตะกร้าสานที่นางยื่นมาให้เขาดู พลางคิดคาดโทษซือเฉิงที่ไม่บอกว่ามีหญิงงามมาเดินในยามค่ำคืนแบบนี้
หรือซือเฉิงเองก็ยังไม่เคยพบกับสาวงามนางนี้
“มีสุนัขแม่ลูกอ่อนอยู่ที่หลังวัดเจ้าค่ะ”
คิ้มเข้มขมวดเข้าหากัน เมื่อนางเหมือนจะเดาความคิดของเขาได้ “แล้วทำไมไม่เอามาให้ตอนที่ยังมีแสงสว่าง ค่ำมืดแล้วเดินลำบาก”
“ตอนนี้ก็สว่างนี่เจ้าคะ ไม่ได้เดินลำบากเลยสักนิด”
หญิงงามพูดพลางปรายตามองฟ้ามองสิ่งรอบตัว จิ้นซินรู้สึกร้อนผ่าวที่โหนกแก้มเมื่อเห็นตามที่นางบอก ด้วยเป็นคืนเพ็ญจึงเห็นบริเวณโดยรอบสว่างไม่ต่างจากกลางวัน ตัวเขาเองยังขี่ม้าโดยไม่ต้องอาศัยคบไฟหรือตะเกียงนำทาง
“ข้าเพียงห่วงแม่นางเท่านั้น ต้องขออภัยหากล่วงเกิน แต่แม่นางก็ควรจะห่วงความปลอดภัยของตัวเองบ้าง แม่นางไม่ได้รู้ข่าวการฆาตกรรมรึ”
จิ้นซินถามขณะดวงตาจ้องสำรวจความงามของหญิงสาวไม่วางตา นางสวย และสวยมากจริงๆ สวยกว่าคุณหนูหลายท่านที่เขาเคยรู้จัก นางควรจะได้ดิบได้ดีมีคนมาสู่ขอไปเป็นภรรยา มากกว่าที่จะมาหิ้วตะกร้าให้อาหารสุนัขในยามค่ำคืนเยี่ยงนี้ ทว่ารอยยิ้มพร้อมดวงตาสวยหวานที่มองสบมาก็ทำให้จิ้นซินต้องวูบวาบเพราะกระแสเลือดสูบฉีดไปที่ใบหน้าอีกครั้ง สายตาของนางบ่งบอกว่ารู้ทันว่าเขากำลังชื่นชมความงามของนางอยู่
“รู้สิเจ้าคะ ชาวบ้านพูดกันให้ทั่ว ถ้าข้าไม่รู้ก็คงจะอุดอู้อยู่แต่ในสวนแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
“แม่นางทำสวน”
“ใช่เจ้าค่ะ มีอะไรน่าแปลกหรือเจ้าคะ ในย่านนี้ทุกครอบครัวก็ทำสวน เหลือกินก็นำไปส่งขายที่ตลาด”
“ข้าไม่ได้ว่าแปลก” ใจจริงเขาอยากบอกว่าฝ่ามือแบบบางเยี่ยงนั้นไม่น่าเชื่อว่าจะทำสวน แต่หากเขาพูดแบบนั้นออกไปจะกลายเป็นล่วงเกินนางได้
“ข้าเพียงอยากจะขอร้องแม่นางไม่ให้ออกจากบ้านในยามวิกาลเยี่ยงนี้อีก ยิ่งทางการยังจับตัวฆาตกรไม่ได้ แม่นางยิ่งต้องระวังตัว”
“คนตายก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น ผู้หญิงคงไม่ต้องกลัวหรอกเจ้าค่ะ”
“ถึงอย่างไรแม่นางก็ต้องระวัง เพราะจะรู้ได้อย่างไรว่าคนร้ายมันจะไม่ทำร้ายผู้หญิง หากมันไม่มีเหยื่อ มันก็อาจจะเปลี่ยนใจได้ มันอาจกำลังจ้องหาเหยื่ออยู่ แต่เพราะทางการตรวจตราเข้มแข็ง มันเลยยังไม่มีจังหวะที่จะทำร้ายใครได้อีก อย่างไรก็ขอให้แม่นางโปรดเชื่อข้า อย่าออกจากบ้านในยามวิกาลอีก แต่หากจะไปให้อาหารสุนัขก็ขอให้ไปในช่วงที่ยังมีแสงแดด ให้อาศัยแสงอาทิตย์นำทาง อย่าได้วางใจแสงจันทร์ ข้าขอเตือนด้วยความหวังดี”
“อย่าได้วางใจแสงจันทร์หรือเจ้าคะ พูดได้ดี”
จิ้นซินเหมือนอยู่ในภวังค์เมื่อเจ้าของใบหน้าสวยหวานอมยิ้ม นางน่ารักและน่าค้นหามากๆ ไม่บ่อยนักที่เขาจะเกิดความรู้สึกนี้กับใคร และใจจริงนั้นประโยคสุดท้ายเขาอยากจะบอกกับนางว่า ‘เขาเป็นห่วง’ แต่ในสถานะไหนกันเล่าสำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก ไม่สิ... เขายังไม่รู้จักนางเสียด้วยซ้ำไป
“ขอบคุณนะเจ้าคะที่เป็นห่วง แต่ข้าก็ยังคิดว่าผู้หญิงปลอดภัยแน่นอนเจ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวสิแม่นาง เอ่อ... บ้านแม่นางอยู่ที่ใด ข้าจะไปส่ง” จิ้นซินรั้งนางไว้ด้วยน้ำเสียงห่วงใย
หญิงสาวแสนสวยหันมายิ้มให้เขาเพียงนิดก่อนจะขยับริมฝีปากพูด ทว่าจิ้นซินกลับแทบไม่ได้ยินเสียงนางพูดเลย จนนางต้องเอ่ยซ้ำ เพราะสายตาของเขามันจ้องจับอยู่แต่เพียงที่ริมฝีปากอวบอิ่มที่ขยับขึ้นลงเจรจาเท่านั้น
“ท่านมือปราบเจ้าคะ... ท่านมือปราบ...”
“ขอรับ... เอ่อ... ข้าขอโทษที่เสียมารยาท”
จิ้นซินพูดอึกอัก ยิ่งเห็นสายตาปนล้อเลียนของนางเขาก็ยิ่งประหม่ามากขึ้นไปอีก นี่เขากำลังตกหลุมรักสาวงามตรงหน้าใช่หรือไม่