4
“จำได้ไหมว่าตอนที่ยาสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่เมืองนอกได้ ชายกับนีไม่เห็นด้วยและไม่ยอมให้ไป จำเนียรเลยบอกว่าจะเป็นคนส่งเอง แต่ชายกับนีก็ค้านอีก บอกว่าถ้าให้ยาไปหลินก็ต้องไปด้วย ถ้าหลินไม่ไปยาก็ต้องไม่ได้ไป จำเนียรเห็นแก่อนาคตหลานเลยเอาที่ดินที่ระยองไปขายได้เงินมาก็เอามาส่งเสียหลินเรียนต่อ เพราะยาได้ทุน ออกค่านั่นค่านี่ให้หลินก็ไม่น้อยนะ แต่ตอนจำเนียรป่วยลุงไม่เห็นว่าหลินจะมาดูแลย่าเลย ทั้งที่เป็นคนส่งเสียให้เรียนต่อจนจบปริญญาโทแท้ๆ ส่วนเกรียงศักดิ์ก็ได้เหมือนกันที่ยืมแม่ไปดาวน์รถให้อ้อยน่ะ ที่ลุงรู้จำรูญก็ได้ไปส่วนหนึ่งด้วย เงินส่วนที่เหลือจากให้ลูกหลานก็เก็บไว้ในธนาคาร ที่จำเนียรกินใช้เป็นเงินบำนาญทั้งสิ้น เงินค่าเช่าสวนแทบไม่ได้แตะ โอนใส่บัญชีไว้ทุกเดือน จำเนียรบอกกับลุงก่อนตายว่า จะเก็บไว้ให้คนที่เหมาะสม คนที่จำเนียรรู้ว่าจะไม่เอาทรัพย์สมบัติที่หามาไปผลาญเล่น”
ลุงมีไขข้อข้องใจให้ลูกหลานจำเนียรได้รับรู้ที่มาที่ไปของทรัพย์สินมากมายที่ทายาทคนเสียชีวิตไม่เคยรับรู้ และเขารู้ด้วยว่าจำเนียรมีเหตุผลใดถึงไม่บอกว่าตัวเองมีเงิน มีที่ดิน เพราะหากบอกจำเนียรเชื่อว่าลูกทั้งสามต้องมารบเร้าขอที่ดินไปขาย เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว ที่ล้วนแล้วแต่เป็นการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทั้งสิ้น
เรื่องที่ชายสูงวัยพูดมาถูกต้องทุกเรื่อง ลูกชายและหญิงของจำเนียรไม่สนใจมารดาสักคน สนใจแต่ครอบครัวของตัวเอง ละเลยความใส่ใจจำเนียรที่อายุมากขึ้น มาหามารดาก็ต่อเมื่อมีเรื่องเดือดร้อน เพราะรู้ดีว่าจำเนียรมีเงินบำนาญใช้และมีรายได้จากการเก็บค่าเช่าที่ดินในสวน จากคนสวนรายอื่นที่มาเช่าทำมาหากิน
“เท่าที่ลุงมีเล่ามา ผมว่าทุกคนได้เงินจากคุณยายเนียรกันทั้งนั้น ผมว่าเรื่องนี้น่าจะจบได้แล้วนะครับ เพราะถึงเถียงกันยังไงสมบัติก็ถูกแบ่งให้คนอื่นไม่ได้ และถ้าหากคิดจะฟ้องร้องก็คงยากครับที่จะชนะ ในพินัยกรรมระบุไว้อย่างชัดเจนว่าใครได้อะไร” จักรกฤตญ์สรุปเพราะไม่ต้องการให้เรื่องยืดเยื้อ ก่อนจะหันไปพูดกับเศรษฐีนีคนใหม่ “ส่วนเรื่องเอกสารโอนทรัพย์สินทั้งหมด พี่ขอเตรียมการสักสองอาทิตย์นะ แล้วพี่จะเอาไปให้ยาเซ็นที่บ้าน”
“ค่ะพี่จักร” สิรินยารับคำเสียงเบา
“อ้อยพาลูกกลับบ้าน ไม่น่าเสียเวลามาเลย”
เกรียงศักดิ์พูดเสียงหงุดหงิด เขานึกว่าตนเองจะได้อะไรติดไม้ติดมือไปบ้าง แต่นี่ไม่เลย ไม่มีสักนิดเดียว เฉลารีบลุกขึ้นเดินตามสามีออกไปจากบ้านสวน โดยมีอ้อยใจกับเดชดวงลูกสาวและลูกชายเดินตามออกไปด้วย
“แล้วจะอยู่ทำไมล่ะ กลับกันสิ” จำรูญอารมณ์เสียง ตวาดใส่สามีที่นั่งหน้าหงอทำท่ากลัวเมีย รีบเดินตามภรรยาไปติดๆ
“พี่ดีใจด้วยนะที่ได้สมบัติ แต่อย่าใจอ่อนให้ใครล่ะ ย่าอุตส่าห์ไว้ใจยา เพราะถ้าให้ใครพี่รับรองว่า ภายในหนึ่งอาทิตย์เกลี้ยง”
จิรวรรณ ลูกสาวของจำรูญที่อายุมากกว่าสิรินยาสองปีกระซิบบอกข้างหูญาติสาว จิรวรรณเป็นอีกคนหนึ่งในหมู่ญาติที่นิสัยดี รักและเมตตาสิรินยา ให้ความช่วยเหลือในบางครั้งตามโอกาส
“ค่ะพี่ปราง” สิรินยารับคำเสียงเบา ยิ้มให้จิรวรรณที่แอบยัดเงินใส่มือญาติสาวห้าร้อยบาท สิรินยารีบเก็บใส่กระเป๋ากางเกงอย่างรวดเร็ว เพราะเกรงว่าหากบิดามารดาเห็น ท่านจะดุด่าและยึดเงินไป และเมื่อครอบครัวของเกียงศักดิ์กับจำรูญกลับ ครอบครัวชาติชายจึงพากันกลับบ้าง
“ตาว่า มันจะมีปัญหาไหมครับ” จักรกฤตญ์ถามลุงมี
“ไม่รู้สิ แต่คิดว่ายาคงอยู่ไม่สงบแน่”
“ตาพูดอย่างกับว่าตอนนี้ยาอยู่อย่างสงบอย่างนั้นแหละ”
จักรกฤตญ์มองตามร่างสิรินยา หญิงสาวผู้น่าสงสารด้วยสายตาเป็นห่วง เขารู้เรื่องหล่อนจากคำบอกเล่าของลุงมี และมีบางเหตุการณ์ที่ประสบด้วยตาตนเอง เขาเคยคิดว่าคงไม่มีพ่อแม่คนไหนทำร้ายลูกทั้งทางร่างกายและจิตใจ คงไม่มีพ่อแม่คนไหนที่รักลูกไม่เท่ากัน พอได้เห็นกับตา ได้ยินกับหูตัวเอง เขาถึงเข้าใจว่าในโลกนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง
“ก็เพิ่มความไม่สงบน่ะสิวะ ดีไม่ดีจะถูกข่มขู่ให้ยกสมบัติให้ด้วย” ลุงมีกล่าวอย่างวิตกกังวล “ไม่รู้ว่าจำเนียรคิดถูกหรือคิดผิดที่ยกสมบัติให้ยา”
“ผมว่ายายเนียรคิดถูก ถ้ายกให้คนอื่นรับรองว่า ขายเอาเงินมาใช้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ไม่มีใครปล่อยไว้นานหรอกครับ ยิ่งที่ดินที่ภูเก็ตมีแต่คนอยากได้ ที่ดินติดทะเล นายหน้ามีแต่อยากได้ ขายได้เป็นหลักร้อยล้าน”
“เอาเถอะ เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เราทำหน้าที่ของเราแล้วนี่ ต่อจากนี้จะเป็นยังไงก็สุดแต่เวรแต่กรรม กลับบ้านเถอะป่านนี้ยายคงรอกินข้าวแล้ว”
สองตาหลานพากันเดินกลับบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก แม้ว่าลุงมีจะทำทีไม่ใส่ใจกับเรื่องของคนอื่น แต่เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า ต่อจากนี้สิรินยาจะเป็นเช่นไร จะสุขเหมือนจำเนียรต้องการหรือทุกข์หนักขึ้นหลายเท่า