3
อีกความสงสัยหนึ่งคือจำเนียรแอบซื้อที่ดินเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกทั้งเงินสดในบัญชีธนาคารก็มีจำนวนมาก ขัดกับรายได้ประจำเดือนอย่างเงินบำนาญหลายเท่า เหตุใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้แม้แต่น้อย ผู้เป็นแม่เก็บงำความลับนี้ได้มิดชิดเหลือเกิน
คนที่ได้รับสมบัตินั่งตัวแข็ง อยู่ในอาการตกใจเมื่อรู้ว่าตนได้สมบัติจำนวนมากจากย่าอันเป็นที่รัก ย่าเพียงคนเดียวที่ให้ความรักและเมตตา ใจหนึ่งก็ดีใจเป็นล้นพ้นที่จำเนียรเมตตาตนมากขนาดนี้ แต่อีกใจก็รู้สึกกลังวลเป็นอย่างมากกับทรัพย์สินที่ได้ เพราะมันต้องมีปัญหาตามมาเป็นแน่
“เป็นไปได้ยังไงที่แม่จะยกสมบัติให้นังยา ก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามันเป็นตัวซวยที่ไม่มีใครต้องการ แม่ต้องเพี้ยนแน่ๆ ตอนเขียนพินัยกรรม” เกรียงศักดิ์โพล่งออกมาเป็นคนแรก
“ใช่ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแม่จะยกสมบัติให้มัน” จำรูญพูดเสียงเข้ม “หรือว่าเป็นแผนของแก แกต้องยุยงให้แม่ยกสมบัติให้นังยาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นมันไม่ออกมารูปแบบนี้หรอก”
จำรูญชี้หน้าต่อว่าชาติชาย น้องชายคนเล็ก ใบหน้าของพี่สาวคนกลางบึ้งตึงไม่แพ้เกรียงศักดิ์ ดวงตา มองเขม็งไปยังสิรินยาที่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนอยู่ในแดนประหาร ถูกพิฆาตด้วยคนที่ขึ้นชื่อว่าญาติสนิท
“ใช่ ต้องใช่แน่ๆ มีอย่างที่ไหน ฉันกับจำรูญแล้วก็แกเป็นลูกแท้ๆ ไม่ได้สมบัติอะไรเลย แต่แม่กลับยกให้นังยา หลานคนอื่นมีอีกตั้งหลายคนก็ไม่ยักกะได้ มันยังไงอยู่นะ”
เกรียงศักดิ์โวยวาย ไม่เชื่อว่าตัวเองจะไม่ได้สมบัติสักชิ้นจากมารดา ทั้งที่มีสิทธิ์ที่จะได้ครอบครองมัน ยิ่งสมบัติมีมูลค่าหลายร้อยบาทด้วยแล้ว เขายิ่งโกรธที่ไม่ได้รับสิทธิ์นั้น
“อย่ามากล่าวหากันนะ ฉันไม่เคยยุให้ยาไปอ้อนขอสมบัติจากแม่ ฉันก็เพิ่งรู้พร้อมกับพี่ศักดิ์ พี่จำรูญว่าแม่มีสมบัติมากขนาดนี้ แล้วฉันจะยุให้มันทำอย่างนั้นได้ยังไง” ชาติชายโต้กลับ “พี่สองคนก็รู้ว่า แค่มองหน้ามันฉันยังไม่อยากมอง นับประสาอะไรกับจะพูดด้วย”
สิรินยารู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดและสายตาของชาติชาย หล่อนรู้ตัวดีว่าเป็นลูกไม่รัก ลูกที่ไม่ต้องการ แต่ชาติชายไม่จำเป็นต้องประกาศต่อหน้าใครต่อใครเช่นนี้ก็ได้ แค่นี้ความเสียใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจและร้าวรานใจก็มากพอแล้ว ยิ่งหล่อนได้ครอบครองสมบัติทั้งลายแต่เพียงผู้เดียว หล่อนคงถูกเกลียดชังเพิ่มมากขึ้น
“แต่ลุงว่าการที่จำเนียรยกสมบัติให้หนูยาก็เหมาะแล้วนะ อย่าลืมสิว่าหลังจากที่หนูยาเรียนจบจากเมืองนอก หนูยาก็มาดูแลจำเนียรที่นี่คนเดียว ลูกหลานคนอื่นไม่เห็นมาช่วยดูแลสักคน มาเยี่ยมเดี๋ยวเดียวก็กลับ มีใครเคยอยู่เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวจำเนียรบ้างไหม ถามใจตัวเองดูนะว่าเคยทำให้แม่ ทำให้ย่ายายตัวเองหรือเปล่า”
ลุงมี เพื่อนบ้านแสนดีของจำเนียรพูดทะลุกลางปล้อง เขารู้จักลูกหลานของจำเนียรดี รู้ถึงนิสัยใจคอของแต่ละคนด้วยว่าเป็นอย่างไร แล้วคำพูดของลุงมีนี่เองที่ทำให้คนกำลังโต้เถียงกันเงียบเสียง ไม่กล้าโต้แย้งกับเรื่องจริง
ในบรรดาลูกหลานของจำเนียร สิรินยาจะสนิทกับย่ามากที่สุด อาจเป็นเพราะในช่วงปิดเทอมตั้งแต่เยาว์วัย จำเนียรจะมารับสิรินยาไปอยู่ด้วย เพราะรู้ดีว่าอยู่กับบิดามารดาและพี่สาว คงถูกทุบตีหรือใช้เยี่ยงทาส นางทนเห็นไม่ได้ จึงรับมาอยู่ด้วยในช่วงเวลานั้น ให้สิรินยารู้สึกเสรีทั้งกายและใจแม้ช่วงสั้นๆ ก็ยังดี
และเมื่อจำเนียรล้มป่วย ลูกหลานต่างหมางเมิน ไม่มาเยี่ยมดูแล ลูกทั้งสามลงความเห็นว่าจะช่วยกันออกค่าจ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลจำเนียร สิรินยาได้ยินดังนั้นจึงขันอาสาดูแลจำเนียร ไม่รังเกียจที่จะดูแลคนป่วยเดินไม่ได้ กินนอนบนเตียง รวมถึงถ่ายหนักปล่อยเบาด้วย
“แต่ถึงยังไงมันก็เป็นแค่หลาน น่าจะยกให้มันนิดหน่อย แต่นี่แม่ยกให้มันทั้งหมดเลย ไม่รู้ว่าตอนที่แม่ทำพินัยกรรมสติสตางค์ดีอยู่หรือเปล่า ใครหลายคนอาจจะรวมหัวกันทำพินัยกรรมปลอมแล้วจับมือแม่เซ็นต์ชื่อลงไปก็ได้ ใครจะไปรู้” จำรูญเริ่มพาล จากการไม่ได้ส่วนแบ่งในครั้งนี้ แต่หารู้ไม่ว่าหล่อนพาลผิดคน
“คุณอย่าพูดอย่างนี้นะครับ ผมมีสิทธิ์ฟ้องคุณข้อหาหมิ่นประมาทได้” จักรกฤตญ์รู้ดีว่าจำรูญหมายถึงตน เขาออกโรงป้องปกตัวเองทันที “ตอนยายเนียรทำพินัยกรรม มีพยานรู้เห็นว่ายายเนียรมีสติครบสามสิบสองประการ แม้ว่าร่างกายจะอ่อนเพลียด้วยโรค แต่ก็พูดได้ สื่อสารได้ มือขยับเซ็นเอกสารได้ คนที่ไม่ได้สมบัติ ผมว่าน่าจะพิจารณาตัวเองมากกว่าจะกล่าวโทษคนอื่นนะครับ เพราะถ้าเป็นผม ผมก็คงยกให้ยาเหมือนกัน”
คราวนี้ทุกคนพากันเงียบกริบอีกรอบ โดยเฉพาะจำรูญที่ไม่กล้าต่อปากต่อคำกับทนาย เพราะเกรงว่าพูดอะไรผิดอาจโดนฟ้องได้
“เรื่องสมบัติของจำเนียร ลุงพออธิบายได้ เรื่องแรกคือเรื่องที่ดิน จำเนียรกับผันซื้อไว้นานแล้ว ซื้อตั้งแต่ราคามันยังถูกอยู่ จนตอนนี้มูลค่ามันเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่า บางที่ก็มีคนมาจำนองไว้ พอหลุดจำนองก็ตกเป็นของจำเนียร ส่วนเรื่องเงินในบัญชีลุงก็พอจะให้คำตอบได้” ลุงมีคือเพื่อนสนิทของจำเนียร เขาจึงรู้รายละเอียดไม่น้อย