ตอนที่ 1 เราไม่เคยรักกัน
ในห้องที่แสงไฟสลัวมีร่างชายหญิงอันเปลือยเปล่ากำลังร่วมรักกันอย่างสุขสม เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังในจังหวะถี่ระรัว เรียวขาสวยพาดบ่าแกร่งในท่าทางอันน่าอาย
ความวูบวาบแล่นผ่านไปทั่วท้องน้อย หญิงสาวที่นอนแอ่นอกถูกรังแกอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเสียงลมหายใจกระเส่าที่บ่งบอกว่าพวกเขามีความสุขแค่ไหน
“อื้อ” ใบหน้าสวยส่ายสะบัดคล้ายว่าใกล้จะถึงฝั่งฝัน ลมหายใจหอบหนัก มือจิกหมอนใบใหญ่ระบายความเสียวซ่าน
ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าหาหญิงสาว จูบปิดปากของเธอที่กำลังครวญครางเสียงหวาน
ปลายลิ้นร้อนเกี่ยวกะหวัดแลกเปลี่ยนเอนไซม์ในโพรงปาก บั้นเอวสวนสะโพกเข้าใส่ร่องสวาทเสียงหนักแน่น
ใช้เวลาไม่นานร่างบางก็กระตุกเกร็ง ภายในตอดรัดแก่นกายถี่ ๆ ก่อนที่ร่างหนาจะเร่งเร้าจังหวะแล้วเสร็จตามเธอไปติด ๆ
“คุณเบาหน่อยไม่ได้หรือไง เอาแต่ใจจังเลยนะคะ” มือบางขีดข่วนหน้าอกเขาระบายอารมณ์ แต่เหมือนจะยิ่งกระตุ้นอารมณ์อีกคนเสียมากกว่า
“เธอในตอนนี้จะเบาได้ยังไง.. หึ”
“พอแล้วคุณทัพ”
“อีกรอบ”
พูดจบเขาก็จับเรียวขาแยกออก พร้อมกับแทรกตัวเข้าไปที่หว่างขาของสาวเจ้า มือก็จับท่อนเอ็นอุ่นจ่อเข้าที่ช่องทางรักอีกครั้ง
ครั้งเดียวไม่เคยพอสำหรับเขาเลย..
กินเวลาเกือบสามชั่วโมงที่ทั้งสองร่วมเสพสุขรสหวาน ลีลาอันเร่าร้อนบนเตียงจบลงด้วยการที่ทั้งคู่ต่างก็แยกย้ายกันไปแต่งตัว เพื่อที่จะลงมารับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
แม้จะเสพสวาทกันอย่างสุขสม แต่หนทางสุดท้ายที่พวกเขาต้องพบเจอก็คือใบหย่าอยู่ดี
ต่อให้เรื่องบนเตียงจะเร่าร้อนแค่ไหน แต่เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ พวกเขากลับวางมาดห่างเหินใส่กันเสียอย่างนั้น
ทั้งสองนั่งรับประทานอาหารของใครของมัน ไร้ซึ่งบทสนทนา ทั้งที่ทั้งคู่มีใบทะเบียนสมรสยืนยันชัดเจนว่าเป็นคู่สามีภรรยากัน
บรรยากาศช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน..
เบื้องหน้าสื่อที่แสดงฉากรักอันหวานชื่น แต่เบื้องหลังคือความขมขื่นที่ทั้งคู่มอบให้แก่กัน เหตุผลก็เพราะการแต่งงานระหว่างพวกเขาเป็นเพียงการเอื้อผลประโยชน์เท่านั้น
เมื่อครบวาระสัญญาก็ต้องสิ้นสุดลง..
ระยะเวลาเข้าปีสุดท้ายแล้ว กับการเป็นคู่รักจอมปลอมบนหน้าสื่อ แล้วก็เป็นสามปีที่ใครบางคนปากหนักไม่กล้าพูดคำว่ารักออกไป
“เดือนหน้าสัญญาระหว่างเราก็จะสิ้นสุดลง” เสียงชายหนุ่มเริ่มเกริ่น ก่อนพูดต่ออีกว่า “เธอมีอะไรอยากบอกฉันมั้ย”
ธีร์ทัพชื่อของชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของแพรวา เขามีหน้าตาที่หล่อเหลาเอาการ ดวงตาเรียวสวย เรียวคิ้วคมเข้มรับกับใบหน้าที่เรียกได้ว่าฟ้าประทาน ทำให้เขาโดดเด่นเสมอแม้อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
“จำเป็นด้วยเหรอคะ” หญิงสาวใบหน้าสะสวยครบเครื่องเปรยสายตาขึ้นมอง น้ำเสียงของเธออ่อนนุ่มแต่สายตากลับเย็นชาเวลามองหน้าผู้เป็นสามี
ชื่อของเธอคือแพรวา ผู้ที่มีดวงตาสวยเป็นเอกลักษณ์ยามสบตามอง หากแต่เธอกลับมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์
“หรือคุณอยากได้ยินอย่างอื่นจากฉัน”
“ก็ไม่จำเป็น ฉันก็แค่ถามเธอดู”
ธีร์ทัพไหวไหล่ราวกับไม่ได้จริงจังกับคำถามก่อนหน้านี้มากนัก เขาหั่นเนื้อในจานทิ้งไว้ไม่ได้รับประทาน พลางขยับสายตามองคู่สนทนาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ฉันไม่มีอะไรจะบอกคุณหรอกค่ะ หวังแค่เราสองคนจะไปได้ดีในทางของตัวเองก็พอ”
“งั้นระหว่างเราก็คงมีแค่เซ็กซ์ใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นมะรืนนี้มาเจอกันหน่อยสิ เผื่อฉันจะได้ตอบแทนเธออย่างดีเลย”
ในประโยคคำพูดแฝงไปด้วยความน้อยใจ แต่ก็แสดงอะไรมากไปไม่ได้ นอกจากตีหน้านิ่งกำส้อมในมือแน่น
“มีอย่างนึงที่คุณควรรู้” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในความรู้สึกหนึ่งก็หวั่นไหวเพียงชั่วครู่
“อะไรที่ฉันต้องรู้”
“ฉันต้องรู้จุดยืนของตัวเองว่าไม่ควรเข้าไป”
“แล้วอะไรที่ไม่ควรเข้าไป”
เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิดเดียว พลันเรียวคิ้วเข้มก็พลอยขมวดเข้าหากันแน่น
“ล้ำเส้นคุณมากกว่านี้”
“ล้ำเส้นงั้นเหรอ”
ธีร์ทัพมุ่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ไต่ถามให้ดูเหมือนเขาเซ้าซี้จนเกินไป
กำแพงของเธอมันสูงเกินกว่าที่เขาจะปีนข้ามไป..
เขารู้สึกได้ว่าทุกครั้งที่เขาพยายามก้าวเท้าเข้าหา แพรวามักจะก้าวเท้าถอยหลังหนีเสมอ แม้จะไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร แต่นั่นมันก็ทำให้คู่สามีภรรยาจำเป็นต้องอึดอัดใจระหว่างกัน
“อันที่จริงฉันควรขอบคุณสิริวัฒน์สกุลด้วยซ้ำ ที่อุ้มชูบริษัทฉันเอาไว้ไม่ให้ล้ม”
“เธอกำลังประชดฉันเหรอ”
“ไม่ค่ะ ฉันแค่อยากขอบคุณ ถ้าไม่มีคุณปู่ของคุณ.. ฉันก็ไม่มีหนทางเหมือนกัน”
เธอระบายยิ้มตามสิ่งที่พูดออกมา การที่แพรวาได้มายืนต่อหน้าธีร์ทัพ มันเป็นเพราะข้อสัญญาทางธุรกิจเท่านั้น
ดุจน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าในยามยากที่ผ่านมา..
ถึงจะน่าใจหายที่สัญญาสามปีผ่านไปไวราวกับสายลม แต่มันก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อพันธะสัญญาถูกร่างไว้แบบนั้น
เมื่อบริษัทของแพรวายืนได้ด้วยตัวเอง ภายในสามปีพวกเขาทั้งคู่ต้องหย่ากัน
นี่เป็นคำขอของคุณปู่แพรวาที่บอกกับปู่ของธีร์ทัพก่อนเสีย ว่าขอให้ช่วยพยุงบริษัทของเขาภายในสามปีให้ดีขึ้น ซึ่งต่อให้ใครบางคนไม่อยากปล่อยมือ มันก็ถึงเวลาที่ต้องยอมรับความจริงว่าไปกันต่อไม่ได้
“เธอเลิกคิดว่าสิริวัฒน์สกุลอุ้มชูเธอสักที ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยสักครั้ง” ชายหนุ่มเริ่มใส่อารมณ์กับท่าทีเย็นชาไม่แสดงความรู้สึกของเธอ
“เพราะมันคือเรื่องจริงไงคะ ฉันถึงเลี่ยงที่จะอดคิดไม่ได้” เธอยังคงตอบกลับด้วยท่าทีเฉยชา ทั้งที่ในใจปวดร้าวจนไม่อยากทำร้ายเขาไปมากกว่านี้
แต่จะให้ทำยังไงในเมื่อเธอก็มีเหตุผลของตัวเองเหมือนกัน หากจะให้ยืนอยู่ข้างเขาต่อไปเห็นทีจะเป็นไปไม่ได้
เพราะเธอไม่คู่ควร..
แม่ของเขาต้องการผู้หญิงที่เพียบพร้อม มิหนำซ้ำยังมีหญิงสาวที่อยากให้ธีร์ทัพแต่งงานด้วย และพร่ำบอกแพรวาเสมอว่าควรยืนอยู่จุดไหนกับลูกชายของเธอ
“แพรวา”
“คุณทัพอย่าใจร้ายกับฉันไปมากกว่านี้เลย”
“ฉันเนี่ยเหรอใจร้ายกับเธอ”
ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาคิดจะทำร้ายเธอให้เจ็บช้ำน้ำใจ แล้วแบบนี้จะมาบอกว่าเขาใจร้ายกับเธอได้ยังไงกัน
“เพราะแม่ฉันใช่มั้ย” ธีร์ทัพเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เมื่อสาเหตุที่คิดไว้ผุดขึ้นมาในหัว
“ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ทางออกสุดท้ายระหว่างเราคือการหย่าค่ะ” แพรวาสบสายตาของเขาไม่ละไปไหน ซ่อนความอ่อนไหวของอารมณ์เอาไว้ไม่ให้ใครเห็น
“แพรวา”
“คุณทัพคะ”
แพรวาวางมีดกับส้อมในมือลง บ่งบอกว่าเธอไม่อยากรับประทานอาหารตรงหน้าต่อแล้ว
“อย่ายื้อฉันไว้ค่ะ เมื่อสัญญาสิ้นสุดลง.. อย่าปฏิเสธที่จะแยกทางกันเลย” แพรวาเอ่ยเชิงวิงวอน นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มหัวเสียมากกว่าเดิม
“เธออยากหย่ากับฉันขนาดนั้นเลยเหรอ” ธีร์ทัพถามย้ำ สบสายตาหญิงสาวคาดคั้นรอคำตอบ
“มันเป็นไปตามสัญญาค่ะ”
“เธอเลิกอ้างเรื่องสัญญาสักที แค่บอกตามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้เหรอ”
“จะให้ฉันพูดอะไรคะ ในเมื่อคุณอยากได้ยินในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่สำหรับฉันมันไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว”
เพราะคิดว่าไม่คู่ควรตั้งแต่แรก เมื่อเผลอเปรียบเทียบตัวเองกับผู้หญิงที่แม่เขาหาไว้ให้ แพรวาก็อดที่จะน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้
เขาควรได้เจอผู้หญิงที่ดีกว่านี้..
“เหอะ” ธีร์ทัพแสยะยิ้มอย่างหมดหนทางจะพูดต่อกรด้วย
เขาคิดว่าเธอเกลียดชังและเห็นแค่เงินตราเป็นสิ่งจำเป็น ส่วนเธอคิดว่าตนเองไม่เหมาะสม โลกของเขากับเธอหลังจากนี้มันจะต่างกันออกไปราวฟ้ากับเหว
ที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือพวกเขาไม่ได้เริ่มต้นจากคำว่ารัก พวกเขาไม่เคยรักกัน ไม่มีคำว่ารักตั้งแต่สัญญาเริ่มต้นขึ้น
มีเพียงแค่เขาที่รักเธออยู่แต่ไม่กล้าพูดออกไป..