พ.ศ. 2564 หน้ามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง... ร่างสมส่วนในชุดนักศึกษาปี1 ยังคงยืนรออยู่ที่จุดเดิมประจำโดยสายตาจับจ้องอยู่ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมอยู่ครู่ใหญ่แล้ว ใบหน้าหวานมีรอยยิ้มแต้มอยู่ตลอดเวลาอย่างกับว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือนั้นกำลังพูดคุยหยอกล้อกับเธอ
‘ถึงแล้วนะ ตาเห็นรินแล้วละ’ ข้อความสุดท้ายของเพื่อนใหม่ผ่านสายตาปรินทิพย์ยิ้มให้ข้อความอีกครั้งก่อนจะกดปิดเก็บเจ้าเครื่องมือสื่อสารรุ่นใหม่ล่าสุดเข้ากระเป๋าสะพาย
แค่อึดใจรถคันหรูก็จอดเทียบริมทางเท้าก่อนที่เพื่อนสาวจะก้าวลงจากรถ “วันนี้มาสายนะ” ปรินทิพย์ยืนรออยู่ก่อนกล่าวขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก อีกฝ่ายส่งยิ้มแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเง้างอด
“ก็ลุงมนตรีสิช้า” ภูษิตาโบยไปให้พลขับและเป็นจังหวะที่ลุงมนตรีคนขับรถลดกระจกด้านข้างลงทำให้ได้ยินคำกล่าวของคนเป็นนายชัดเจนจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆส่งให้สาวๆโดยไม่คิดแก้ตัว
“สวัสดีค่ะคุณลุง” ปริณทิพย์ยกมือไว้ทักทายอย่างมีมารยาท ฝ่ายผู้สูงอายุยกมือรับไหว้ไวๆพร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเต็มใบหน้า “หนูล้อเล่นนะคะ ไม่ได้มาสายหรอก วันนี้พี่ชายมาส่ง เลยไวทันใจไปหน่อย” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วอธิบายให้อีกฝ่ายกระจ่างทั้งที่จริงเธอไม่จำเป็นอธิบายอะไรก็ได้ แต่เพราะคิดว่าความสัมพันธ์ที่ดีคงมีกันตลอดไปด้วยความสนิทสนมจึงอยากให้รับรู้ด้วยกัน ผู้สูงวัยได้แต่ยิ้มรับ หากแต่เพื่อนสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างกลับมีสีหน้าแปลกใจ
“งั้นเข้าข้างในกันเถอะ... คุณลุงขับรถกลับดีๆนะคะ” เมื่อคิดว่าได้เวลาปรินทิพย์จึงชวนเพื่อนใหม่ที่สนิทรักใคร่กันดีในระยะอันสั้น พร้อมหันมากล่าวลาคนสูงวัยพลขับคนเก่าแก่ของเพื่อน ก่อนจะเดินเคียงคู่กันไป ปล่อยให้สายตาผู้สูงวัยที่นั่งอยู่ในรถมองตามด้วยสีหน้าอุ่นใจ ‘มิตรภาพไม่ต้องรอเวลา... เพื่อนไม่ต้องมีถึงร้อย แค่คนหนึ่งคนที่รู้ใจก็มีค่ามากมายกว่าเพื่อนร้อยคน...’
“เออ รินมีพี่ชายด้วยหรอ?” ภูษิตายังค้างคาใจ ครั้นเห็นว่ามีเวลาเหมาะจึงเอ่ยถาม
“มีสิแต่จะไปๆมาๆต่างประเทศอีกสามปีก็คงกลับมาอยู่ไทยถาวรแล้วละ” ปรินทิพย์บอกเพื่อนใหม่ โดยไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายสีหน้าสดชื่นระรื่นมากกว่าเดิมแค่ไหน
“ดีจัง ตาก็มีพี่ชายนะ” น้ำเสียงและสีหน้าเจือแววตื่นเต้นของภูษิตาทำให้ปรินทิพย์หันมาสนใจอย่างจริงจัง
“หรอ...” เหมือนกันกับเธอสินะมีพี่ชายแค่คนเดียวแต่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน!...
“แต่ไม่ได้อยู่ไทยเหมือนกันตอนนี้ไปเรียนต่ออีกหลายปีกว่าจะกลับ” สีหน้าของคนกล่าวสลดลง ปรินทิพย์ได้แต่ยิ้มรับให้เพื่อนสาวเชิงให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะรู้ดีว่าการต้องอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่มันเงียบเหงาแค่ไหน แม้คนรอบกายจะมีเป็นสิบ แต่เทียบไม่ได้กับคนในครอบครัวเดียวกันแค่หนึ่งคน...
สายตากลมโตมองประสานแล้วยิ้มให้กัน แสดงซึ่งความเห็นอกเห็นใจ ความเหมือนที่ไม่แตกต่างทำให้เข้าใจกันมากกว่าเดิม ก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องเรียนที่คุ้นเคย
ชั่วโมงเรียนคาบสุดท้ายจบลง นักศึกษาหญิงชายต่างพากันทยอยเดินทางกลับ แต่สองสาวยังคงเดินพูดคุยเหมือนไม่ได้เจอกันมาแรมปีตรงไปยังประตูด้านหน้าเหมือนดั่งเช่นทุกวัน
“อุ้ย!ลุงมนตรีมาไวจริง สงสัยยังงอนเมื่อเช้าอยู่ เย็นนี้เลยมาไว” เสียงหวานแหลมของภูษิตาเย้าแหย่กับเพื่อนเบาๆเมื่อสาดสายตาเห็นรถของตัวเองจอดรอเทียบริมฟุตบาทรออยู่แล้ว
“ไม่มั่ง...” ปรินทิพย์ค้านพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะทำหน้าม่านเมื่อมองหาคนที่สัญญาว่าจะมารับ ไม่มีตรงจุดที่นัดเจอ “พี่ชายรินยังไม่มาเลยอะ...” ใบหน้าหุบงอสอดส่ายสายตามองบริเวณที่มีรถจอดเรียงรายกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ
“หือ... หาดูให้ดีก่อนสิ หรือไม่อาจจะเลทเวลาเล็กน้อยคงไม่ช้าเกินไปหรอก” ภูษิตาพยายามเอ่ยหว่านล้อมให้เพื่อนอุ่นใจลงบ้าง หากแต่คำพูดของเพื่อนใหม่อย่างเธอ ก็ไม่ทำให้คนหน้ามุ่ยอย่างปรินทิพย์ดีขึ้น โดยตากลมโตมีแววกังวล คิ้วเรียวขมวดมุ่นบ่งบอกให้เห็นว่าความรู้สึกยังไม่ผ่อนคลายลง
“ให้ตาไปส่งไหม?” เมื่อเห็นว่าเพื่อนมีสีหน้าไม่สู้ดีภูษิตาจึงเอ่ยอาสา
“ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวพี่ชายก็คงมา ตากลับไปเถอะลุงรอนานแล้วละ”
“จะรอ แล้วออกพร้อมกัน” คนหวังดีเอ่ยขัด
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวรินจะลองโทรหา ตากลับเถอะ”
แม้ภูษิตาจะรู้สึกอึดอัด ทั้งห่วงทั้งร้อนใจ ไม่รู้ว่าพี่ชายของเพื่อนรักจะทิ้งระยะไปนานแค่ไหน หากมืดค่ำไม่ดีแน่ เธอจึงกลั้นใจส่งสายตาเว้าวอนด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง “ให้ตารอเป็นเพื่อนอีกหน่อยนะ...นะ”
สิ่งที่ได้จากคำขอคือเสียงถอนหายใจของเพื่อนสาวพร้อมน้ำเสียงหนักแน่นตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไร ไปเถอะลุงมนตรีคอยแย่แล้ว”
สายตากลมโตผ่อนลงก่อนจะถอนหายใจ เมื่อคะยั้นคะยอเพื่อนสาวไม่เป็นผล ภูษิตาเลยจำใจเดินไปขึ้นรถโดยมีลุงมนตรีเปิดประตูรอถ้าตั้งแต่เห็นสาวสวยทั้งสองเดินตรงมาหา
“หนูริน รถยังไม่มารับหรือครับ ให้ลุงไปส่งเอาไหม” คนสูงวัยยื่นน้ำใจให้รอคอยคำตอบ พร้อมปิดประตูเมื่อคุณหนูเข้านั่งประจำที่
“ไม่เป็นไรค่ะ รินนัดกับพี่ชายไว้ เดี๋ยวคงมา ” เธอยืนยัน พร้อมยิ้มหวานส่งให้เป็นการขอบคุณ
“งั้นลุงไปก่อนนะครับ”
“ค่ะ บายย”