คุณชายใหญ่ตระกูลหม่าถูกฟาดขาเข้ากลางหลังจนกระดูกเคลื่อนจนต้องนอนนิ่งกลายเป็นคนพิการชั่วคราว เขาแค้นใจมากจึงได้สั่งคนให้ประกาศตามหาไป๋เซียน ทั้งหากผู้ใดสามารถระบุได้ว่าหญิงสาวเป็นคุณหนูบ้านใดเขายินดีที่จะจ่ายค่าตอบแทนให้ทันที
“ทะ ท่านพ่อ นางทำร้ายข้าต่อหน้าฝูงชน นางตั้งใจให้ข้าอับอาย”
เสนาบดีหม่าเห็นสภาพบุตรชายก็โกรธจนใบหน้าแดงก่ำ เขาซักถามอีกฝ่ายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่บุตรชายผู้นี้กลับเอาดีเข้าตัวโยนชั่วให้ผู้อื่น ใส่ร้ายได้แม้กระทั่งสตรี น่าละอายนัก!
“ไม่ต้องห่วงลูกพ่อ เจ้าต้องได้รับความยุติธรรม”
ทันทีที่เขารู้ว่าคนที่ทำร้ายบุตรชายเป็นสตรีทั้งเป็นคุณหนูตระกูลไป๋ เขาก็ยิ่งเดือดดาล จนแทบยกกำลังคนบุกไปยังจวนตระกูลไป๋เพื่อเอาความ
ไป๋ซานรู้เรื่องราวจากการบอกเล่าของบ่าวรับใช้คนสนิท คราแรกเขาตั้งใจจะเรียกบุตรสาวมาไต่สวนแต่เสนาบดีหม่ากลับบุกมาเสียก่อน จึงจำต้องต้อนรับอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจนัก
เสนาบดีหม่าผู้นี้สนับสนุนเสียนเฟยในขณะที่เขาสนับสนุนฮองเฮา จึงไม่น่าแปลกใจนักหากทั้งสองตระกูลจะมีความบาดหมางใจต่อกัน
“เชิญนั่งก่อนท่านเสนาบดี”
ชายวัยกลางคนรูปร่างอวบอัด เขาหาได้สนใจคำเชิญชวน ที่มาวันนี้ก็เพื่อเอาความที่บุตรสาวของไป๋ซานบังอาจทำร้ายบุตรชายเขา ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บและได้รับความอับอายต่อหน้าสาธารณชน
ฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องยำเกรง นี่คือโอกาสดีที่เขาจะได้กุมบังเ**ยน ใช้ข้ออ้างจากการกระทำชั่วช้าของไป๋เซียนเพื่อด่าทออีกฝ่ายอย่างถนัดปาก
“ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลใด”
ไป๋ซานสบตาพ่อบ้านหนุ่มก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองอีกฝ่ายและพยักหน้า เรื่องนี้ลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง เขาเกิดมาหลายสิบปีไม่เคยได้ยินว่ามีสตรีกล้าทำร้ายบุรุษต่อหน้าผู้คน แต่หากในที่ลับตาก็ไม่อาจรู้ได้
ชายวัยกลางคนลอบถอนหายใจมองใบหน้าถมึงทึงของอีกฝ่ายนิ่ง เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าไป๋เซียนนั้นผิดพลาดอย่างมหันต์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องไต่สวนให้ได้ข้อกระจ่าง แม้เขาจะไม่โปรดปรานบุตรสาวผู้นี้ แต่ก็ไม่เชื่อว่าจู่ๆนางจะไปไล่เตะผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล
“บุตรชายท่านเป็นเช่นไรบ้าง”
“เขาเดินไม่ได้ นั่นเพราะบุตรสาวท่านอย่างไรเล่า”
ว่าแล้วเขาก็กวาดสายตามองไปทั่วทั้งจวน ก่อนเห็นว่ามีบ่าวรับใช้เดินผ่านมาจึงได้สั่งอีกฝ่ายให้ไปตามไป๋เซียนมาที่นี่ แต่ไป๋ซานกลับระงับคำสั่งนั้นเพราะเห็นว่าที่นี่คือจวนตระกูลไป๋ อีกฝ่ายไม่มีสิทธิ์มาวางอำนาจในพื้นที่ของผู้อื่น
เสนาบดีหม่าโกรธเกรี้ยวด้วยคิดว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะปกป้องบุตรสาว และไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจึงได้โวยวายใหญ่โต
“ข้าไม่แปลกใจว่าเหตุใดนางถึงได้ป่าเถื่อนเช่นนี้ บุตรชายข้าเพียงอยากผูกมิตรไมตรี แต่บุตรสาวท่านกลับทำร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส!”
ขณะนั้นฮูหยินใหญ่เดินทางมาถึง เสนาบดีหม่าที่ได้พบหน้าอดีตคู่หมั้นในรอบยี่สิบปีก็ถึงกับชะงัก หัวใจเขาสั่นไหวเมื่อเห็นว่านางนั้นยังคงงดงามไม่เปลี่ยนไป น่าเสียดายที่นางหลงเลือกไป๋ซาน ทำให้ความสัมพันธ์เป็นอันต้องขาดสะบั้นลง
“ใจเย็นก่อนเถิดท่านเสนาบดี ข้าให้คนไปตามไป๋เซียนมาแล้ว อีกไม่นานนางคงเดินทางมาถึง เชิญท่านนั่งรอก่อน”
สตรีวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนที่นางนั้นจะรินชาใส่ถ้วยและวางลงตรงหน้าอีกฝ่าย น้ำเสียงไพเราะก้องกังวานราวกับเสียงสวรรค์หยุดยั้งอารมณ์รุนแรงให้สงบลง
เสนาบดีหม่าไม่เพียงแต่หยุดโวยวาย เขายังยกยิ้มบางเบาขณะที่จับจ้องใบหน้างดงามของอีกฝ่าย ไป๋ซานไม่พอใจนักเมื่อเห็นการกระทำเช่นนั้น เขารั้งภรรยานั่งลงข้างกายก่อนกุมมือนางเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
รอยร้าวระหว่างสองตระกูลไม่ได้เกิดขึ้นเพราะไป๋เซียน แต่เกิดมานานหลายสิบปีแล้วตั้งแต่สมัยที่คนทั้งสองยังเป็นสหายร่วมสำนัก
เสนาบดีหม่าในเวลานั้นเป็นบุรุษรูปงามไม่แพ้ไป๋ซาน ทั้งสองร่ำเรียนในสำนักศึกษาเดียวกัน เคยเป็นสหายที่รักใคร่กลมเกลียว
ทว่าจุดแตกหักได้เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองหลงรักสตรีคนเดียวกัน
“เจ้าสบายดีใช่หรือไม่”
เขาเอ่ยถามด้วยความอาวรณ์ ขณะที่กำลังจับจ้องใบหน้านางไม่ละสายตา หญิงวัยกลางคนพยักหน้าเพียงเล็กน้อยแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากเพราะเกรงใจสามีที่นั่งอยู่ข้างกาย แม้เวลาจะผ่านมานานหลายสิบปีแต่นางก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นยังคงมีเยื่อใยต่อกัน เห็นได้จากสายตาที่สะท้อนความรู้สึกนั้นออกมา
“ข้าสบายดีเจ้าค่ะ”
นางกล่าวสั้นๆก่อนจะชะเง้อมองออกไปด้านนอกเมื่อเห็นว่าไป๋เซียนกำลังตรงมาทางนี้พร้อมกับไป๋ซินตามหลังด้วยหลี่ข่าย
“ท่านแม่”
ไป๋ซินขยับไปยืนข้างผู้เป็นแม่ เสนาบดีหม่าที่เห็นบุตรสาวของอดีตคู่หมั้นก็จับจ้องไม่วางตาเนื่องจากอีกฝ่ายนั้นมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก
ทว่าเมื่อหันไปเห็นไปเซียนที่เดินเข้ามาใบหน้าเขาก็แดงก่ำด้วยความโกรธ มองสตรีร่างบอบบางแล้วก็นึกฉงนใจว่านางเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาประทุษร้ายบุตรชายของเขา หญิงสาวหันมองเสนาบดีวัยกลางคน ไม่แม้แต่จะหลบเลี่ยงสายตา เมื่อเห็นความกล้าหาญที่ฉายชัดออกาเขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธที่อีกฝ่ายไม่มีสลดเลยแม้แต่น้อย
“เมื่อวานเจ้าสร้างเรื่องอะไรไว้”
บิดาเอ่ยถามขึ้น คำถามนั้นหญิงสาวไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดเสียด้วยซ้ำ นางจำเหตุการณ์ได้ดีและพร้อมที่จะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจในข้อเท็จจริง
“ข้าโดนลวนลาม ข้ามีสิทธิ์ปกป้องตัวเองนะเจ้าคะ”
หยิงสาวเอ่ยก่อนปรายตามองเสนาบดีหม่าที่จ้องนางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ หญิงสาวขมวดคิ้วก่อนจะดึงสายตากลับมามองบิดา
“หาหท่านพ่อไม่เชื่อ ถามผู้คนที่อยู่แถวนั้นดูก็ได้ ข้าเกือบถูกฉุดขึ้นรถม้า ดีที่ข้าสู้ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงได้….”
“พอแล้ว”
ไม่ทันเอ่ยจบไป๋ซานก็ขัดขึ้นเสียก่อน ไม่ว่าเรื่องนี้ผู้ใดจะเป็นคนริเริ่ม แต่ถึงอย่างนั้นการที่บุรุษถูกสตรีทำร้ายย่อมเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ไป๋ซานไม่ต้องการบาดหมางกับตระกูลหม่า เพราะยามนี้ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับตระกูลเดิมของสนมเสียนเฟยเป็นอย่างมาก เขาจึงไม่อาจขัดขวางข้อเรียกร้องของเสนาบดีหม่าและจำใจลงโทษบุตรสาวต่อหน้าอีกฝ่าย
“ไปเอาไม้มา”
บ่าวรับใช้เข้าไปตรึงแขนคุณหนูหกไป๋เซียนส่วนหลี่ข่ายถูกกันออกไปด้านนอก ไป๋ซินพยายามจะช่วยเจรจากับบิดาแต่มารดาของนางกลับห้ามเอาไว้ ไม่ใช่ว่านางนั้นรังเกียจไป๋เซียน แต่เพราะเรื่องนี้อีกฝ่ายก็ผิดเช่นเดียวกันที่ใช้กำลังตัดสินปัญหา ฉะนั้นจะต้องถูกลงโทษเพื่อให้จกจำและไม่กระทำอีก
“ท่านพ่อ ข้ายินดีถูกลงโทษ แต่บุรุษผู้นั้นก็สมควรถูกลงโทษด้วยเช่นกัน”
เขาตั้งใจจะฉุดรั้งนางเจตนาเพื่อข่มเหงร่างกายและจิตใจ ฉะนั้นก็ถือว่ามีความผิดไม่ใช่หรือ หญิงสาวพยายามเรียกร้องหาความยุติธรรมให้กับตนเอง แต่ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์ ทั้งที่นางเป็นเหยื่อกลับต้องถูกลงโทษเพียงเพราะปกป้องตนเอง
“ตรึงนางไว้กับเสา”
ไป๋ซานสูดลมหายใจลึก ก่อนตัดสินใจโบยบุตรสาวเป็นจำนวนสิบครั้ง ไป๋เซียนไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น นางกัดฟันกลั้นเสียงร้องแม้เจ็บเจียนตาย ไป๋ซินหลั่งน้ำตาเมื่อเสณ้จสิ้นการลงโทษนางก็รีบเข้าไปประคองน้องสาวทันที
“เซียนเอ๋อร์ เซียนเอ๋อร์!”
หญิงสาวทนความเจ็บปวดไม่ไหวจึงสลบไป หลี่ข่ายถูกปล่อยตัวนางรีบวิ่งเข้ามาช่วยไป๋ซินประคองร่างบางก่อนพากันเดินทางกลับเรือนเหลียนฮวา ไป๋ซานผ่อนลมหายใจ ความรู้สึกผิดฉายสะท้อนออกมาจากดวงตา ฮูหยินใหญ่เข้าใจความรู้สึกสามีดี จึงได้กุมมือเขาเพื่อปลอบโยนจิตใจ
“ข้าลงโทษนางแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ”
เขาเอ่ยกับอีกฝ่ายก่อนเดินจากไปพร้อมฮูหยิน ทิ้งให้เสนาบดีหม่ามองตามด้วยความรู้สึกริษยาลึกๆในจิตใจ
หญิงสาวถูกโบยจนเนื้อปริแตก ขณะนั้นท่านผู้เฒ่าที่ทราบข่าวก็รีบเดินทางกลับมาถึงจวน เขาไม่รอช้าเข้าไปต่อว่าบุตรชายถึงเรือนที่ลงโทษหลานสาวคนโปรดจนปางตาย ไป๋ซานพยายามอธิบายให้บิดาฟัง แต่อีกฝ่ายโกรธเคืองจนไม่อยากจะสนทนาด้วย
“ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดชังนาง แต่ยุติธรรมแล้วหรือที่นางต้องถูกลงโทษทั้งที่นางเป็นฝ่ายถูกกระทำ”
ไป๋ซานเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไร เขาเจ็บปวดทุกครั้งที่โบยตีบุตรสาว ท่านผู้เฒ่าเปิดตู้ก่อนหยิบสมุนไพรอย่างดีออกมา ก่อนจะเอ่ย
“ถือเสียว่านี่คือคำขอโทษจากเจ้าก็แล้วกัน”
หลังจากได้สมุนไพรก็รีบเดินทางไปหาหลานสาวที่นอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ชายชรามอบยาที่ดีที่สุดให้หี่นำไปบดก่อนที่เขานั้นจะเข้าไปเยี่ยมไป๋เซียน ทันทีที่เห็นบาดแผลฉกรรจ์เขาก็โกรธจนตัวสั่น
“เจ้าลูกหม่าตระกูลหม่า กล้าดีอย่างไรมาใส่ร้ายหลานสาวข้าเช่นนี้!”
ชายชราเดือดดาลก่อนด่าเสนาบดีหม่าและลูกชายอยู่นานนับสองเค่อ เขารู้จักนิสัยคนตระกูลนั้นดี และไม่คิดว่าสิ่งที่หลานสาวทำนั้นเกินกว่าเหตุ คนหน้าหนาอย่างคุณชายใหญ่ตระกูลหม่าหากไม่โดนฟาดขาเข้ากลางหักก็คงไม่หยุดทำร้ายผู้อื่น
“โชคดีที่เจ้าไม่ถูกลูกหมาหน้าเหม็นแซ่หม่าข่มเหงรังแก”
“ท่านปู่ ข้าไม่มีทางให้คุณชายผู้นั้นล่วงเกินเด็ดขาด หากข้าสู้ไม่ได้ข้ายินดีกัดลิ้นตาย”
เพียงแค่คิดว่าถูกอีกฝ่ายสัมผัสร่างกาย ขนก็ลุกชูชัน หญิงสาวรู้สึกขยะแขยงจนแทบจะอาเจียนออกมา
“คราวหน้าคราวหลังเจ้าก็อย่าไปเดินตามลำพัง นอกจวนนั้นเต็มไปด้วยอันตราย หากเจ้าจะออกไปข้างนอกควรพาบ่าวรับใช้ชายไปคุ้มกันสักสองสามคน”
หญิงสาวพยักหน้าก่อนที่นางจะเอ่ยขอบคุณท่านปู่ที่เมตตา ชายชรานั่งลงก่อนที่เขานั้นจะเอ่ยกับหลายสาวคนโปรด
“หากวันหนึ่งเจ้าแต่งงาน ก็อย่าได้ตกลงแต่งงานกับบุรุษอย่างเจ้าลูกหมานั่นเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
เขาไม่ต้องการให้หลานสาวมีสามีเป็นบุรุษขี้ขลาดและไร้ความสามารถ ฉะนั้นจึงพยายามตักเตือนนางไม่ให้หลงคารมบุรุษอย่างคุณชายตระกูลหม่า บุรุษตระกูลนั้นทั้งขี้ขลาดไร้ความสามารถ ที่ได้ดีทุกวันนี้ก็เพราะมีสตรีหนุนหลัง เขาเองก็อยากรู้ว่าหากเสียนเฟยถูกลดความโปรดปราน คนตระกูลนี้จะกอบโกยผลประโยชน์ทางใดได้
“ข้าบอกแล้วไงเจ้าคะว่าข้าไม่อยากแต่งงาน”
หญิงสาวเอ่ยแต่ชายชรากลับส่ายศีรษะและกล่าวขึ้นมา
“ข้าเชื่อว่าสักวันเจ้าจะต้องได้เจอบุรุษดีๆ”
ชายชราภาวนาต่อหน้าเทพเจ้าทุกวัน ขอให้หลานสาวผู้น่าสงสารได้พบเจอบุรุษที่รักมั่นต่อนางเพียงผู้เดียว แม้นางจะไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่โปรดปรานของบิดาแต่อย่างน้อยหากนางก็จะมีบุรุษที่ดีคอยอยู่เคียงข้าง ก็อาจทดแทนความรู้สึกที่ขาดหายไปได้บ้าง
“โอ๊ย!”
ความเจ็บปวดแผ่ลามไปทั่วทั้งแผ่นหลังแม้ขยับกายเพียงเล็กน้อย หญิงสาวร้องโอดโอยรู้สึกปวดแสบปวดร้อนยามที่สมุนไพรถูกทาลงบนแผล หลี่ข่ายพยายามอย่างเบามือแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจช่วยให้ความเจ็บปวดของไป๋เซียนลดน้อยลง
หญิงสาวฟุบใบหน้าลงบนหมอนใบโตน้ำตาซึม นางเจ็บจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ สิ่งเดียวที่จะบรรเทาให้ความเจ็บปวดลดน้อยลงคือการสูดลมหายใจเข้าออกเชื่องช้า ซึ่งนางเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงได้ผลดีนัก
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
บ่าวรับใช้สาวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง นางค่อยๆประคองผู้เป็นนายลุกขึ้นนั่งก่อนยกโต๊ะวางใกล้เตียง สำรับอาหารวันนี้ค่อนข้างแปลกตากว่าทุกวัน ไป๋เซียนเห็นว่าสองสามวันมานี้มีแต่อาหารดีๆจึงได้เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
“เหตุใดถึงมีเนื้อให้ข้ากินทุกวัน”
หลี่ข่ายยกยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ
“ท่านนายสั่งให้บ่าวในครัวเตรียมอาหารให้คุณหนูโดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
ไป๋เซียนชะงักด้วยไม่อยากเชื่อว่าไป๋ซานจะรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำลงไป หยิงสาวพยักหน้าเชื่องช้าก่อนคีบเนื้อตุ๋นใส่ปาก พลางครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยรวมทั้งเรื่องเสนาบดีหม่าผู้นั้นด้วย
เมื่อสามวันก่อนนางสังเกตเห็นอะไรหลายอย่างที่ทำให้รู้สึกแปลกใจจนเก็บมาขบคิด เรื่องแรกนางสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างฮูหยินใหญ่และเสนาบดีหม่า สายตาที่เขามองมารดาของไป๋ซินนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกรักและอาวรณ์ ไป๋เซียนจึงนึกสงสัยว่าทั้งสองอาจมีเรื่องราวความหลังต่อกันเพียงแต่นางนั้นจะถามผู้ใดได้บ้าง เรื่องนี้หลี่ข่ายจะรู้หรือไม่
“เจ้ารู้เรื่องฮูหยินใหญ่กับเสนาบดีหม่าผู้นั้นหรือไม่”
บ่าวรับใช้สาวงุนงงก่อนส่ายศีรษะ นางไม่เคยได้ยินเรื่องราวในอดีตของฮูหยินมาก่อน รู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรสาวขุนนาง มาจากตระกูลที่รุ่งเรืองและพบรักกับนายท่านไป๋ซานเมื่อครั้งที่ทั้งสองเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงฉลองชัยชนะที่จวนแม่ทัพ
นอกเหนือจากนั้นนางเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวอะไร
“แต่ข้ารู้สึกว่าทั้งสามคนดูแปลกๆ เหมือนมีอะไรในใจ เหมือนมีเงื่อนงำมีเรื่องให้ข้าให้เผือก”
หลี่ข่ายไม่เข้าใจคำสุดท้ายที่คุณหนูของนางเอ่ยออกมาจึงหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะครุ่นคิดถึงความหมายของคำว่า ‘เผือก’
“คุณหนูเจ้าขา เผือกที่คุณหนูกล่าวหมายถึงอะไรหรือเจ้าคะ”
หลี่ข่ายต้องเรียนรู้อีกมากเนื่องจากในบางครั้งไป๋เซียนก็มักจะเอ่ยคำพูดแปลกๆออกมาอยู่เสมอ ผู้ถูกถามหัวเราะออกมาเมื่อนางเผลอใช้คำแสลงสมัยใหม่จนทำให้อีกฝ่ายงุนงง
“เผือกเหรอ ก็ประมาณว่าสอดรู้สอดเห็นละมั้ง”
หลี่ข่ายพยักหน้าแม้นางจะยังไม่ชินชากับคำพูดแปลกประหลาดแต่ก็พยายามที่จะทำความเข้าใจ ไป๋เซียนเลื่อนถาดอาหารออกห่างก่อนที่นางจะลุกขึ้นและกล่าวกับบ่าวรับใช้สาว
“ข้าจะออกไปเดินเล่น เจ้าอย่าลืมเย็บชุดนี้ให้ข้าล่ะ”
นางตั้งใจจะเดินทางไปเยี่ยมท่านผู้เฒ่าที่เรือน เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีเพียงชายชราและไป๋ซินเท่านั้นที่แวะมาเยี่ยมเยียน เมื่อหายดีแล้วนางจึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปขอบคุณคนทั้งสอง
หญิงสาวเดินลัดเลาะเข้ามาในสวนดอกไม้ วันนี้อากาศดีฝูงผีเสื้อจึงบินว่อนไปทั่วทั้งบริเวณ ระหว่างทางไป๋เซียนสังเกตเห็นใครบางคนที่ดูคุ้นตายืนอยู่หลังต้นไม้จึงได้เดินเข้าไปใกล้ๆและเอ่ยทักทายอีกฝ่าย
“ท่านเสนาบดีจาง แอบมองใครอยู่เหรอ”
หากเดาไม่ผิดผู้ที่จะดึงความสนใจจากชายหนุ่มผู้นี้ได้มีเพียงผู้เดียวนั่นคือไป๋ซิน แต่ผิดคาด เขาไม่ได้ยืนมองพี่สาวคนโตของนาง แต่กำลังทอดสายตามองพี่สามไป๋ซูซูต่างหาก
“ท่านแอบมองนางทำไม”
ชายหนุ่มหันมองคุณหนูหกแห่งตระกูลไป๋ก่อนเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าเห็นนางกำลังผลักเด็กชายผู้นั้นลงบ่อน้ำ”
โชคดีที่บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งกระโดดลงไปช่วยชีวิตเด็กชายได้ทัน ทำให้อีกฝ่ายรอดพ้นจากความตายหวุดหวิด ไป๋เซียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งชะงัก นางทอดมองไปยังผืนน้ำพร้อมกับความรู้สึกที่ดำดิ่งลงเรื่อยๆ ความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นขณะที่ร่างบางทรุดตัวลงไปกองอยู่ที่พื้น ไป๋เซียนสะบัดศีรษะหลายครั้งเพื่อเรียกคืนสติก่อนที่จางเหยียนเหอจะประคองหญิงสาวลุกขึ้น พลางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเป็นอะไรไป”
หญิงสาวสูดลมหายใจลึกก่อนช้อนตามองคนตรงหน้า นางก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆถึงรู้สึกหายใจไม่ออกทั้งดวงตายังพร่าเลือน กว่าจะตั้งสติได้ก็ใช้เวลาพอสมควร จางเหยียนเหอประคองร่างบางนั่งลงที่ศาลากลางสวนก่อนที่เขาจะสะบัดพัดในมือกางออก ลมเย็นๆช่วยให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อสติกลับคืนนางจึงตัดสินใจเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องราวเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้น
“ข้าเคยถูกพี่สามผลักตกน้ำ เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวใจของข้าก็บีบรัด”
เมื่อครู่นางรู้สึกแน่นหน้าอกคล้ายกับมีอะไรบางอย่างกดทับ เสนาบดีหนุ่มที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักก่อนเอ่ยถามถึงเรื่องราวครั้งนั้น
“แล้วบิดาเจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่”
หญิงสาวพยักหน้า ความทรงจำของร่างนี้เชื่อมต่อกับจิตใต้สำนึกของนาง แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนางจะไม่ใช่ผู้เผชิญโดยตรง แต่ถึงอย่างนั้นนางก็มักจะสัมผัสได้ถึงทุกความรู้สึกของอีกฝ่าย
“ท่านพ่อไม่ได้ทำโทษพี่สาม เพียงแค่ตักเตือนเท่านั้น”
น่าน้อยใจแทนไป๋เซียน นางถูกอีกฝ่ายกลั่นแกล้งรังแกจนเกือบสิ้นชีวิต แต่บิดากลับมองเป็นเรื่องเล็กน้อย หญิงสาวเหม่อลอยอยู่พักใหญ่ ขณะที่สนทนากับชายหนุ่มทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมาก็คล้ายเสียงพึมพำ
จางเหยียนเหอไม่รู้จะปลอบใจอย่างไร จึงได้นั่งอยู่ตรงนี้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายนั้นต้องรู้สึกโดดเดี่ยว กลิ่นชาหอมๆลอยขึ้นมาแตะจมูกขณะที่บ่าวรับใช้สาวยกถาดเข้ามาวางบนโต๊ะ ไป๋เซียนกระพริบตาถี่ก่อนที่นางนั้นจะหันมองชายหนุ่มพลางจ้องเขานิ่งเนิ่นนาน
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
หญิงสาวขมวดคิ้วก่อนมองไปรอบๆ ดูเหมือนเมื่อครู่นางจะจมดิ่งกับความรู้สึกบางอย่างนานจนเกินไปจึงเผลอตกอยู่ในภวังค์ความคิด
“ท่านมาหาท่านพี่ไป๋ซินหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวไม่ได้เอ่ยตอบคำถามของชายหนุ่มกลับย้อนถามเขากลับ จางเหยียนเหอส่ายศีรษะ ที่เขามาวันนี้เพื่อเยี่ยมเยียนท่านผู้เฒ่า ส่วนเรื่องไป๋ซินนั้นเขาไม่ได้คาดหวังว่านางจะยอมออกมาพบหน้า จึงไม่ได้ไปรอนางที่เรือนใหญ่
หลายปีแล้วแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางกลับไม่พัฒนาไปในทางที่ดี ยิ่งไปกว่านั้นนางยังแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการแต่งงานกับเขา จางเหยียนเหอแม้จะมีใจให้ไป๋ซินแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เริ่มทบทวนเรื่องแต่งงานอีกครั้ง หากหญิงสาวไม่เต็มใจเขาเองก้ไม่อยากดันทุรัง
ยิ่งเขารักนางมากเท่าไหร่ เขาก็ควรเห็นแก่ความสุขของนางมากเท่านั้น
“ข้าก็กำลังจะไปท่านปู่ แต่บังเอิญเจอท่านเสียก่อน”
หญิงสาวกล่าว ระหว่างนั้นสายตาคู่สวยก็จับจ้องใบหน้าหมดจดนิ่ง นึกถึงเนื้อหาหน้าหนึ่งในหนังสือที่อีกฝ่ายตัดพ้อไป๋ซินแล้วก็รู้สึกสงสารเห็นใจ ไป๋เซียนเห็นว่าชายหนุ่มรักพี่สาวของนางมากจนยากจะตัดใจก็ได้เอ่ยขึ้นราวกับต้องการปลอบโยนเขา
“ท่านเสนาบดี ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนดี แต่ท่านอย่าได้ท้อใจไป คนดีๆเช่นท่านสักวันสวรรค์ต้องเมตตา”
จางเหยียนเหอขมวดคิ้วไม่เข้าใจ นางทำราวกับว่าเขามีเรื่องเดือดร้อนใจและต้องการคำปลอบโยนจากใครสักคน
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
เขาเอ่ยถามนางอีกครั้งด้วยประโยคเดิม แต่หญิงสาวนั้นไม่ได้ใส่ใจในคำถามของอีกฝ่ายทั้งยังกล่าวต่อ
“ท่านเป็นถึงขุนนางใหญ่ อย่ากังวลใจไปเลยว่าท่านจะหาภรรยาไม่ได้”
ทั้งที่คุณสมบัติเพียบพร้อมขนาดนี้ยังเป็นได้เพียงพระรอง แต่คงดีไม่น้อยหากอีกฝ่ายนั้นได้เป็นพระเอกในเรื่องราวของตนเอง ไป๋เซียนรู้ดีว่าจางเหยียนเหอรู้สึกเช่นไรที่ถูกพี่สาวของนางปฏิเสธไม่ยอมพบหน้า จึงพยายามที่จะชื่นชมเขาหวังช่วยลบเลือนความเศร้าในใจ
“ท่านเลื่อนขั้นเป็นถึงขุนนางใหญ่ทั้งที่อายุยังน้อย ท่านเก่งกาจขนาดนี้จะมาทนเป็นตัวสำรองคนอื่นทำไม”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าหมายถึงสิ่งใด แต่ข้าก็ขอบใจที่เจ้าชื่นชม”
จางเหยียนเหอเอ่ยขึ้นก่อนกล่าวต่อ
“ข้าได้ยินว่าเจ้ามีปัญหากับคุณชายตระกูลหม่า”
นึกถึงบุรุษผู้นั้นแล้ว ดวงตาหญิงสาวก็เบิกกว้างเล็กน้อย นางยืดหลังตรงก่อนเอ่ยเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ชายหนุ่มฟัง
“คนผู้นั้นตั้งใจจะฉุดข้าขึ้นรถม้า คนทั้งตลาดก็เห็นและเป็นพยานให้ข้าได้ แต่ท่านพ่อกลับไม่เชื่อยังลงโทษข้าจนเจ็บระบมไปตั้งหลายวัน”
หญิงสาวเอ่ยพลาวนิ่วหน้า แม้แผลจะหายดีแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังบวมช้ำอยู่เล็กน้อย จริงอยู่ที่นางนั้นไม่ควรใช้กำลังแก้ไขปัญหาแต่หากไม่ทำเช่นนั้นป่านนี้นางคงตกเป็นของเจ้าลูกหมานั้นไปแล้ว เพียงแค่คิดขนนางก็ลุกชูชันแม้แต่ชายหนุ่มยังสังเกตเห็น
“ข้านี่เตะเข้ากลางหลังเลย หากรู้ว่าจะถูกลงโทษข้าคงจะเอาให้คุ้มกว่านี้”
จางเหยียนเหอได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกขบขัน เขาไม่เคยเจอสตรีใดกล้าหาญเท่าไป๋เซียนมาก่อน ดูเหมือนว่านางจะเป็นสตรีคนแรกที่กล้าต่อกรกับบุรุษอกสามศอกย่างคุณชายหม่า
บุรุษผู้นั้นชื่อเสียงเลื่องลือ ได้ยินว่ามีเสียนเฟยให้ท้ายจึงได้กล้าทำเรื่องอุกอาจเย้ยกฏหมายบ้านเมือง คุณชายผู้นั้นมักใช้อำนาจเพื่อรังแกผู้อื่น ฉะนั้นแล้วโดนแค่นี้ยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ
“เจ้าไม่กลัวเลยหรือ”
ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ปกติแล้วสตรีนั้นมักหลบเลี่ยงยามที่ถูกบุรุษคุกคาม แต่ไป๋เซียนกลับไม่ทำเช่นนั้นและเลือกที่จะสู้กับอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
“ข้าไม่กลัวหรอกเจ้าค่ะ คนอย่างข้าไม่ยอมถูกทำร้ายฝ่ายเดียวเด็ดขาด”
ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ยิ่งใหญ่คับฟ้าแค่ไหน หญิงสาวก็ไม่หวาดหวั่น
จางเหยียนเหอมองเข้าไปในแววตาที่ฉายให้เห็นถึงความแน่วแน่ พลางรู้สึกชื่นชมหญิงสาวอยู่ในใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนางเท่าไหร่นัก