“ลิน มาแล้วเหรอลูก”
ลลิสาเปิดประตูห้องพักเข้ามาก็เห็นว่าแม่กำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่างบริเวณเคาน์เตอร์ครัว
“ทำอะไรอะแม่”
“กำลังจะกินทับทิมกรอบ เอาไหม แม่แกะให้” ศรัญญาพูดไปก็ตักน้ำแข็งเติมลงไปในขนมหวานเพื่อความเย็นสดชื่น
“ไม่ค่ะ อิ่มแล้ว”
“ไปกินอะไรมา”
“ไปกินข้าวกับพี่ภูมิมา”
“จริงหรือเปล่าลิน หลอกให้แม่ดีใจเล่นหรือเปล่า” ถ้วยทับทิมกรอบถูกวางลง ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าความสัมพันธ์ของลูกสาวกับภูมิภัทรอีกแล้ว
“จริงค่ะ พี่เขากลับมาจากอังกฤษก็มาหาลินที่บ้านใหม่เลย”
“ลินหมายความว่าเขาไม่ได้กลับบ้านตัวเองก่อนเหรอ”
“ใช่ค่ะ ลินเลยไม่รู้จะปฏิเสธยังไง”
“พี่เขาดีใจมากไหม”
“ก็มากนะแม่ แต่ที่ลินตกลงไปด้วย เพราะลินอยากรู้อะไรบางอย่าง”
“อะไรล่ะลูก บอกแม่ได้ไหม”
“ลินอยากรู้ว่าลินรู้สึกยังไงกับเขากันแน่ ลินก็คุย ๆ กับพี่ภูมิมาสามเดือนแล้วนะแม่ ลินไม่ค่อยรู้สึกว่าลินจะชอบเขาขึ้นมาเลย มันก็มีโมเมนต์ที่เขาทำให้ลินยิ้ม ทำให้ลินเขิน แต่หลังจากนั้นลินก็เฉย ๆ เวลาพี่ภูมิอยากคุยด้วย ถ้าลินว่าง ลินก็คุยได้ แต่ถ้าพี่เขาไม่ได้จะคุยด้วย ลินก็ไม่ได้รู้สึกคิดถึง ไม่ได้รู้สึกว่าอยากให้เขาโทรศัพท์มาหา หรือว่าอยากโทร.ไปหาจัง ลินก็เลยไปกินข้าวด้วย อยากรู้ว่าถ้าลินได้คุยกับพี่ภูมิแบบตัวต่อตัว ลินจะรู้สึกยังไง”
“แล้วลินรู้สึกยังไงล่ะลูก”
“ก็รู้สึก...” ลลิสาขมวดคิ้ว นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ตอนที่ไปทานข้าวเย็นกับภูมิภัทร
“น้องลินอยากทานอะไรครับ คิดได้หรือยัง” ภูมิภัทรเอ่ยถามลลิสาเมื่อคนงานกลับบ้านหมดแล้ว เหลือแค่เขา ลลิสา กวินและเอกสิทธิ์ที่ต้องอยู่ปิดประตูรั้ว
“ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว คงต้องเป็นอะไรง่าย ๆ เพราะหนึ่งทุ่มลินก็ต้องกลับค่ะ”
“งั้นกินแถวนี้ดีไหมครับ ในซอยมีร้านอาหารเยอะแยะเลย”
“ก็ดีค่ะ งั้นเราจอดรถไว้ที่นี่ดีไหมคะ” ลลิสาเห็นว่าขับรถออกไปก็หาที่จอดยาก สองเท้าก้าวเดินไปน่าจะสะดวกกว่า
“ได้ครับ น้องลินมีกุญแจรั้วใช่ไหมครับ”
“มีค่ะ”
“งั้นพี่บอกให้ลูกน้องพี่กลับเลยนะ”
“ค่ะ” ลลิสาตอบรับ ยืนรอเขาเดินไปพูดคุยกับกวินและเอกสิทธิ์ประมาณสองสามนาที แต่พอจะโบกมือลาเขาทั้งสองคน ก็มีแค่เอกสิทธิ์คนเดียวเท่านั้นที่ส่งยิ้มให้เธอ
“ไปกันดีกว่าครับน้องลิน” ภูมิภัทรเดินกลับมาหาเธอ นี่เป็นช่วงเวลาที่เขารอคอยมานาน จะได้พูดคุยกับเธอโดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อกลาง จะมีแค่โต๊ะอาหารเท่านั้นที่คั่นกลางระหว่างเขากับเธอเอาไว้
“ปกติพี่ภูมิมาทานข้าวที่ร้านแบบนี้บ่อยไหมคะ” หลังจากสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลลิสาก็เป็นฝ่ายชวนภูมิภัทรคุย ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในร้านอาหารที่คนไทยเรียกติดปากกันว่าร้านข้าวต้ม ซึ่งเดินออกมาจากบ้านของลลิสาไม่ไกล
“ช่วงนี้ไม่บ่อยครับ แต่ถ้าเป็นช่วงที่ปาร์ตี้หนัก ๆ ตอนวัยรุ่น ร้านแบบนี้พี่ไปประจำ”
“ตอนเป็นวัยรุ่นนี่ย้อนไปกี่ปีคะ” เธอถามไปก็คีบน้ำแข็งใส่แก้วไปด้วย
“ปีนี้พี่สามสิบสาม ก็สิบปีแล้วมั้งครับ แล้วน้องลินล่ะครับ มาร้านแบบนี้บ่อยหรือเปล่า”
“พอเริ่มทำงานก็ไม่ค่อยได้มากินเท่าไหร่ค่ะ เน้นกินกับข้าวที่กองถ่ายละคร แต่ตอนเด็ก ๆ แม่กับพ่อก็ชอบพามากินร้านข้าวต้มตอนวันหยุดเป็นประจำเลยค่ะ เหมือนเป็นธรรมเนียมของบ้าน ที่นครนายกไม่ค่อยมีร้านอาหารหรู ๆ แต่ถึงจะมี ก็คงไม่ได้ไปค่ะ เมื่อก่อนที่บ้านลินไม่ค่อยมีเงิน” เธอพูดจบก็เทน้ำใส่แก้วและส่งให้เขา
“ครับ” ภูมิภัทรตอบรับสั้น ๆ ชื่นชมที่เธอไม่เขินอายที่จะบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตตัวเอง และกำลังทบทวนว่านี่เป็นบทสนทนาที่ยาวที่สุดเลยมั้งที่เธอเคยพูดกับเขา โดยที่ไม่ต้องซักไซ้ไล่เรียงอะไรให้มาก
“พี่ภูมิโอเคแน่นะคะ ถ้าพี่ภูมิไม่ชอบ เปลี่ยนร้านก็ได้ค่ะ” เธอเห็นเขาไม่พูดอะไรต่อก็นึกกังวล คนรวยระดับพันล้านอย่างเขา คงไม่คุ้นชินกับการนั่งกินข้าวในสถานที่แบบนี้เท่าไหร่
“พี่โอเค พี่โอเคครับ พี่แค่... แค่กำลังตกใจที่น้องลินพูดกับพี่ยาวมาก”
“ตอนคุยโทรศัพท์กับพี่ภูมิจะเป็นตอนที่ลินว่างค่ะ แต่เวลาว่างของลินมันน้อย ต้องรีบทำหลายอย่าง โดยเฉพาะนอน” เธอหัวเราะตบท้าย กลัวเขาจะคิดว่าเธอไม่อยากคุยด้วย
“ปกติน้องลินนอนวันละกี่ชั่วโมงครับ”
“เฮ้อ...อ ตอบยากจังเลยค่ะ มันไม่แน่นอนเลย แต่ลินพยายามจะนอนให้ได้อย่างน้อยห้าชั่วโมง นอนที่คอนโดไม่พอก็มานอนต่อบนรถค่ะ”
“เป็นนักแสดงนี่เหนื่อยจังเลยนะครับ”
“ใช่ค่ะ เหนื่อยแต่สนุกมาก ลินว่ามันไม่น่าเบื่อ ถ้าลินทำงานออฟฟิศ ลินคงทำไม่ได้ ยิ่งงานผู้บริหารอย่างพี่ภูมินะคะ ลินน่าจะทำบริษัทเจ๊งตั้งแต่สามวันแรกที่ไปทำงานเลยค่ะ”
“คงไม่ขนาดนั้นหรอกครับ งานพวกนี้เราเรียนรู้กันได้” ภูมิภัทรตลกที่เธอทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ เมื่อพูดคำว่าเจ๊งออกมา
“พี่ภูมิตัดสินใจดีแล้วเหรอคะที่อยากคุยกับลิน”
“หืม?” คำถามของเธอจู่โจมเขาซะจนตั้งตัวไม่ทัน ถ้าเปลี่ยนจากคำถามเป็นปืน ตอนนี้มันก็จ่ออยู่ตรงขมับเขาแล้ว
“ลินหมายความว่า ที่เราคุยกันมาตลอดสามเดือน พี่ภูมิมั่นใจแล้วเหรอคะว่ายังอยากคุยกับลินต่อ”
“มั่นใจสิครับ พี่มั่นใจว่าพี่อยากคุยกับน้องลินตั้งแต่พี่เริ่มส่งดอกไม้ไปให้น้องลินแล้ว และพี่ก็มั่นใจยิ่งกว่าเดิมตอนที่พี่อยู่อังกฤษ พี่คิดถึงน้องลินทุกวัน อยากกลับมาเจอน้องลินเร็ว ๆ”
“อากาศที่นั่นหนาวใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ หนาวมาก บางวันฝนตก บางวันก็มีหิมะด้วย”
“อากาศหนาวจะทำให้คนเหงา ถ้าตอนนั้นอากาศร้อน พี่ภูมิอาจจะไม่คิดถึงลินก็ได้” ลลิสายิ้มน้อย ๆ ถ้าเธอเอาปืนจ่อเขา คำว่าคิดถึงก็เปรียบได้กับการที่เขาแย่งปืนแล้วเอามันมาจ่อที่ขมับของเธอแทน
“คิดถึงสิครับ คิดถึง ก็เลยมีของฝากมาให้ด้วย” เมื่อถึงเวลาเหมาะ ๆ ภูมิภัทรก็หยิบของฝากส่งให้ลลิสา ถุงกำมะหยี่สีดำที่ด้านในกำไลข้อมือสีเงินรายล้อมด้วยเพชรเม็ดเล็ก ๆ ถูกส่งให้เธอ
“ชอบไหมครับ” เขาอยากรู้คำตอบ เพราะคาดเดาความคิดเธอจากสายตาไม่ได้
“ชอบค่ะ ขอบคุณนะคะ ถ้ามีโอกาสเหมาะ ๆ ลินจะใส่ค่ะ”
“พี่ดีใจครับที่น้องลินชอบ พี่ซื้อน้ำหอมมาฝากคุณน้าด้วยนะ ไว้กลับไปที่รถแล้วพี่จะหยิบให้”
“ค่ะ ขอบคุณแทนแม่ด้วยนะคะ” ลลิสาประทับใจที่เขาไม่คิดถึงเพียงแต่เธอ แต่ยังคิดถึงแม่ของเธอด้วย
“ครับ ทานข้าวกันดีกว่า” ภูมิภัทรเห็นเธอยิ้ม ตัวเขาเองก็ยิ้มตามไปด้วย ตักข้าวไปก็แอบคิดถึงคนรักเก่า เวลาเขาซื้อของฝากไปให้ สิ่งแรกที่ออกจากปากเธอคนนั้นคือคำถามว่าของชิ้นนั้นราคาเท่าไหร่ ไม่ใช่คำว่าขอบคุณ จะมานั่งกินข้าวด้วยกันสบาย ๆ แบบนี้คงเป็นไปได้ยาก เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นเลย
เขามองเธอตักอาหารใส่จานทีละอย่างสองอย่าง ปากก็เคี้ยวตุ้ย ๆ แต่เมื่อเขาส่งยิ้มให้ เธอก็ยิ้มตอบ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกชอบ ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งรู้สึกสบายใจ
“เราจะมีโอกาสมากินข้าวด้วยกันอีกไหมครับ” ภูมิภัทรถามเมื่อแน่ใจว่าเธออิ่มแล้ว ช่วงเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงที่ได้ทานข้าวด้วยกัน ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาคืบหน้ามากกว่าสามเดือนที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเขาอยากให้มันก้าวไปอีกขั้น เขาควรจะได้ใกล้ชิดกับเธอแบบนี้อีกครั้ง
“ถ้าลินว่างตรงกับพี่ภูมิ ก็คงจะได้กินข้าวด้วยกันอีกค่ะ” ลลิสายอมรับว่าเธอไม่กล้าปฏิเสธเขาตามตรง แต่จะตอบตกลงก็ไม่ได้
“ขอบคุณนะครับที่ยังไม่ตัดโอกาสพี่”
“พี่ภูมิคะ...” ดวงตาคู่สวยจับจ้องอยู่ที่เขา เพื่อจะสื่อให้รู้ว่าสิ่งที่เธอกำลังจะพูดต่อไปนั้นเป็นเรื่องจริงจัง
“พี่พร้อมฟังครับ ไม่ตรงกังวล” สองมือของเขาประสานกันไว้ ส่งยิ้มให้เธอมั่นใจว่าเขาหมายความแบบที่พูดจริง ๆ
“ตอนนี้ลินไม่มีใครมาจีบแบบที่พี่ภูมิเข้าใจนะคะ”
“ครับ” ภูมิภัทรดีใจ ที่ได้รู้ว่าเขาไม่ได้มีคู่แข่ง
“คือ... ลินหมายความว่า เราก็เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นคนรู้จักกันเหมือนเดิมไปก่อนนะคะ ลินอยากแน่ใจก่อนว่าลินไม่ได้รู้สึกดีกับพี่ภูมิเพราะว่าตอนนี้ลินไม่มีใคร เพราะว่าลินเหงา หรือเพราะว่าพี่ภูมิลดราคาค่าสร้างบ้านให้ลิน ลินไม่อยากกดดันตัวเอง ถ้าลินจะชอบพี่ภูมิ ลินอยากชอบพี่ภูมิเพราะตัวตนของพี่ภูมิจริง ๆ ลินไม่อยากให้พี่ภูมิเข้าใจว่าลินกำลังเล่นตัว ลินแค่คิดว่าเรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลาพอสมควร พี่ภูมิไม่โกรธลินใช่ไหมคะ”
“พี่ไม่โกรธครับ พี่เข้าใจ” ภูมิภัทรยังคงส่งยิ้มให้เธอ ไม่โกรธและเข้าใจ แต่เขาผิดหวัง ความดีใจเมื่อครู่สลายหายไปในพริบตา ที่คิดว่าวันนี้ได้เดินหน้า สุดท้ายก็ยังย่ำอยู่กับที่เหมือนเดิม
“ขอบคุณค่ะ” ลลิสาได้แต่หวังว่าเขาจะรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ จะคิดว่าเธอเรื่องมากก็ได้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องราวในละครที่เธอแสดง คำกล่าวที่ว่า ‘คุย ๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันเอง’ มันเอามาใช้ในชีวิตจริงไม่ได้
“ลิน...” ศรัญญาเรียกลูกเบา ๆ หญิงสาวที่เป็นดั่งแก้วตาและดวงใจ คงกำลังคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ตอนนี้ลินรู้สึกยังไงกับภูมิภัทรล่ะลูก”
“ลินไม่แน่ใจเลยแม่ สามเดือนลินควรจะชอบพี่เขาได้แล้วนะ พี่เขาก็ไม่มีอะไรที่แย่จนรับไม่ได้ แต่ทำไมไม่ชอบก็ไม่รู้ ไม่รู้เลยแม่ งง นี่พี่เขาซื้อน้ำหอมมาฝากแม่ด้วยนะ ลินเข้าห้องแล้วนะแม่ รักแม่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือง่วง” ลลิสาส่งน้ำหอมยี่ห้อดังให้แม่ หอมศรัญญาฟอดใหญ่ ก่อนจะก็รีบเดินไปที่ห้องนอน คุยด้วยนานกว่านี้ แม่อาจจะถามว่าทำไมไม่ชอบภูมิภัทร ซึ่งเธอได้ตอบไปแล้วว่า... เธอไม่รู้
“ไอ้เชี่ย! ตีหนึ่ง!”
เสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้น ตกใจที่หยิบโทรศัพท์มือถือมาดูแล้วเห็นว่าตอนนี้มันตีหนึ่งเข้าไปแล้ว
“เฮ้อ...อ กูจะได้นอนไหมวะ”
กวินถอนหายใจ ตอนนี้เขาง่วงมาก พยายามข่มตานอนให้หลับ แต่ก็ไม่หลับสักที ทั้ง ๆ ที่เขาเข้านอนตั้งแต่สามชั่วโมงก่อน คงเป็นเพราะฤทธิ์ของมอคค่าเย็นที่กินไปเมื่อตอนบ่าย หรือจะว่ากันตามตรง มันน่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ของคนที่เขาฝากซื้อกาแฟซะมากกว่า แอบใส่ยาเสน่ห์มาในแก้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาถึงหยุดคิดเรื่องเธอไม่ได้
‘อ้าว นี่ฉันเดินมาผิดฝั่งนิ’ ภาพในร้านวัสดุก่อสร้างที่ลลิสาหยุดเดินกะทันหัน จนเขาเกือบเดินชนเธอยังชัดอยู่ในความคิด
‘ใช่ครับ’
‘แล้วทำไมคุณไม่บอกฉันล่ะคะ’
‘แผนกกระเบื้อง... ไปทางโน้นครับ’
‘ขอบคุณ... ค่ะ!’ เธอเน้นเสียงเพิ่มความประชัดประชัน แถมยังส่งสายตามองเขาแบบนางร้าย จนกวินอดคิดไม่ได้ว่าละครเรื่องต่อไป เธอเปลี่ยนไปรับบทตัวอิจฉาก็น่าจะเหมาสมดีนะ
‘ฉันจับสังเกตคุณได้แล้วคุณวิน ถ้าคุณมองหน้าฉัน แต่ไม่พูดอะไรเกินสามวินาที แปลว่าคุณกำลังด่าฉันอยู่ในใจ
‘โอ๊ย...ย ผมจะด่าอะไรคุณ ลูกจ้างอย่างผมไม่กล้าด่าคุณหรอกครับ’
‘ด่าแน่นอน แต่ไม่แค่ไม่ได้ด่าออกเสียง’
‘ผมไม่ได้จิตใจแย่ขนาดนั้นหรอกครับคุณลิน’
‘โอเค ฉันเชื่อก็ได้ เพราะวันนี้ฉันจะอารมณ์ดี การนอนเต็มอิ่มของฉันจะต้องไม่สูญเปล่า นำทางเลยค่ะ’ พูดจบเธอก็ยิ้มปลอม ๆ ส่งมาให้ ก่อนจะหันมาถามเรื่องกระเบื้อง ซึ่งทำเขาอึ้งไปเล็กน้อยเพราะเขาไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้เท่าไหร่นัก
‘กระเบื้องมันมีกี่แบบเหรอคุณ’
‘ถ้าผมจะไม่ผิดกระเบื้องปูพื้นจะมีเซรามิก แกรนิตโต้ ดินเผา โมเสค แก้ว ยาง หินอ่อน ผมจำได้แค่นี้’
‘ว้าว! เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าจบวิศวะ ก็มีความรู้เรื่องกระเบื้องด้วย’
‘คุณเป็นนักแสดง คุณยังร้องเพลงเป็นเลย ทำไมผมจะรู้เรื่องกระเบื้องไม่ได้ล่ะ’
‘เข้าใจเปรียบเทียบนะคะ แต่ขอชี้แจงสักนี้ด สักนิดนึงนะคะ ฉันไม่ได้ร้องเพลงเป็นค่ะ ถ้าฉันร้องเพลงเป็น ฉันคงไม่ต้องเรียนร้องเพลง’
‘แล้วคุณเรียนร้องเพลงไปทำไม คุณต้องแสดงเป็นนักร้องเหรอ’
‘เปล่าค่ะ เรียนไปใช้ร้องเพลงในงานอีเวนต์ คนฟังเขาจะได้ลื่นหูหน่อย หรือถ้าโชคดีก็จะได้ร้องเพลงประกอบละครด้วย’
‘ทำไมถึงใช้คำว่าโชคดี’
‘ก็ได้เงินเพิ่มไงคะ เป็นแสนเลยนะคุณ’ ลลิสาเขย่งเท้าขึ้นมากระซิบบอกเขาใกล้ ๆ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน
‘ถ้าฉันได้ร้องเพลงประกอบละคร ฉันเอาเงินมาซื้อกระเบื้องได้หลายแผ่นเลย’
‘อันนี้สวยดีนะคุณวิน กระเบื้องหินอ่อนสีดำ ขนาดหกสิบคูณหกสิบเซนติเมตร ราคาแผ่นละร้อยเจ็ดสิบสองบาท โอ้โห แพงจัง นี่ขนาดว่าลดจากร้อยเก้าสิบเก้าบาทแล้วนะเนี่ย’ เธอพูดจบก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ ก่อนจะอ่านรายละเอียดของสินค้าสบาย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่เธอทำให้กวินถึงกับชะงักจนเดินต่อไปไม่ไหว เขาได้กลิ่นหอมเมื่อตอนเธอขยับตัวเข้ามาใกล้ สมองประมวลอย่างรวดเร็วว่านั่งรถด้วยกันครั้งก่อน เขาไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้จากตัวเธอ มันหอมจนติดจมูก แต่ก็สรุปไม่ได้ว่าเป็นกลิ่นหอมแบบไหน
‘คุณวิน ฉันไม่ดูแล้วค่ะ เอาไว้ออกแบบบ้านก่อนดีกว่า’
‘ครับ’
‘งั้นเรากลับกันเลยดีกว่าค่ะ ฉันจะแวะซื้อน้ำไปให้พี่ ๆ คนงานด้วย คุณเอาน้ำอะไรคะ’
‘ผมเหรอ?’
‘ค่ะ’ เธอเอียงหน้ามองเขาด้วยความสงสัย เมื่อกี้ยังตอบว่าครับ แต่ตอนนี้ตอบกลับมาเหมือนคนเพิ่งได้สติ แถมยังเอานิ้วชี้ไปที่ตัวเอง ทำอย่างกับว่ามีคนชื่อกวินอยู่ตรงนี้หลายคนงั้นล่ะ
‘ผมขอเป็นมอคค่าเย็นครับ’
‘มอคค่าเย็นเหมือนเดิมนะคะ’
‘มอคค่าเย็นเหมือนเดิม แต่อย่าทำหลุดมือเหมือนเดิมนะครับ’
‘หึ’ ลลิสายักคิ้วกวนประสาทเขา ปล่อยให้เธอนั่งรอเป็นชั่วโมง แล้วยังทิ้งเธอไว้ที่ร้านกาแฟ ยังจะมีหน้ามายอกย้อนอีก
“นอนเว้ย!” กวินหงุดหงิด ในห้องนอนตอนนี้มืดสนิท แต่ภาพของลลิสากลับสว่างขึ้นมาบนเพดาน คล้ายกลับกำลังนอนดูหนัง หนังที่มีเธอเป็นนักแสดงนำ ฉากที่เธออ้อนขอไปร้านวัสดุก่อสร้าง ฉากที่เธอดีใจตอนเขากลับไปรับ ฉากที่เธอโกรธเขาแต่ทำอะไรไม่ได้ อารมณ์ทั้งหมดจึงลงไปอยู่ที่แก้วกาแฟ ฉากที่เธอหลอกเขาเรื่องต้มยำกุ้ง ฉากที่รอยยิ้มสวย ๆ ของเธอทะลุผ่านกระจกรถเมื่อเช้า ฉากที่ผิวสวยของเธอสะท้อนกับแสงแดด ฉากที่เธอสับสนเรื่องซ้ายกับขวาตอนจะไปเดินดูกระเบื้อง ฉากที่เธอขยับตัวมาใกล้ชิดจนได้กลิ่นน้ำหอม กลิ่นน้ำหอมที่อยากจะดมอีกครั้ง เพื่อหาคำตอบว่ามันมีที่มาจากสิ่งใด ทำไมถึงทำให้เขาคิดถึงได้ทั้งคืน...