หลิงฮันไม่คิดเลยว่าเพียงจิตใจออกนอกเส้นทางแห่งความว่างเปล่าเล็กน้อยได้ทำให้เขาพลาดสู่การเป็นอมตะในทันที สาเหตุเพราะคิดถึงพ่อแม่ที่จากไปด้วยอายุขัยเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ในอดีตเมื่อนานมาแล้วหลิงฮันเป็นเพียงเด็กหนุ่มชาวบ้านธรรมดา เมื่อเข้าแข่งขันประลองยุทธได้อันดับหนึ่งจึงทำให้เข้าร่วมสำนักวิหคฟ้าสำเร็จ หลังจากนั้นออกเดินทางเพื่อบ่มเพาะพลัง ฆ่าฟันศัตรูมากมายจนกลายเป็นเจ้าสำนักพิฆาตสวรรค์หนึ่งในผู้น่าเกรงขามของโลกแห่งนี้
ด้วยอายุขัยที่เพิ่มขึ้นจากการบ่มเพาะพลังทำให้มีชีวิตอยู่กว่าห้าร้อยปี อีกเพียงก้าวเดียวจะกลายเป็นอมตะแต่ใบหน้าของครอบครัวกลับปรากฏขึ้นขณะกำลังจะก้าวขึ้นสู่จุดรวมพลังมันบ่งบอกว่าจิตใจของเขาไม่อาจละทิ้งได้จนเกิดความผิดพลาดทำให้จิตวิญญาณออกจากร่างทันที
และฟื้นขึ้นมาในร่างของชายคนหนึ่ง
ความทรงจำตั้งชีวิตวัยเด็กจนถึงปัจจุบันของร่างนี้ไหลเข้ามาในหัวมากมายเปรียบเสมือนว่าเขาคือเจ้าของร่างไม่ใช่คนเข้ามาแทนที่จิตวิญญาณที่หายไป เขาหันมองรอบห้องผู้ป่วยที่มีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ จึงทบทวนว่าเกิดเรื่องอะไรถึงทำให้ชายคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้
จากความทรงจำจึงได้รู้ว่าหลิงฮันคนนี้ผู้มีชื่อเหมือนตัวเองได้ไปหาหนุ่มนักบาสคนที่ชอบเหมือนทุกครั้งแต่ระหว่างนั้นกลับสะดุดก้อนหินล้มหัวฟาดพื้นจนตาย แค่นึกถึงหลิงฮันคนปัจจุบันก็แสนอับอายแทน เขาคลำผ้าที่พันรอบศีรษะพลางถอนหายใจ
“ต้องหาทางกลับไป พวกผู้อาวุโสสำนักและคนอื่นคงตกใจจนเป็นบ้าที่ร่างอันสง่างามของเจ้าสำนักอย่างข้าไม่มีจิตวิญญาณอยู่” แต่พอนึกถึงวิธีกลับหลิงฮันก็ได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง มันยากมากที่จะหาหนทางเพราะตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าโลกที่ตนเองเคยอยู่และที่นี่คือโลกเดียวกันหรือไม่
ขณะกำลังกังวลประตูห้องได้ถูกเปิดออกเป็นพยาบาลสาวที่เข้ามาเมื่อเธอเห็นหลิงฮันกำลังนั่งอยู่ก็ตกใจรีบไปตามหมอทันที เพราะก่อนหน้าแม้จะรักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีแต่กลับไม่ฟื้นเหมือนว่าจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
ช่างเป็นปาฏิหาริย์มากจริงๆ จนทำให้พวกเขาแทบก้มกราบฟ้าดินเพราะหากหลิงฮันเป็นอะไรไปพ่อของเขาคงจัดการโรงพยาบาลนี้แน่
...................
เป็นเวลาสองอาทิตย์แล้วที่ฟื้นขึ้นมา ไม่เคยมีใครมาเยี่ยมคล้ายกับว่าอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ เรื่องที่พ่อแม่ตนไม่มาหานั้นหลิงฮันย่อมไม่ติดใจเพราะทั้งสองอยู่ต่างประเทศและคงไม่มีใครบอกข่าว
ส่วนอีกคน…
เขาขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงชายคนหนึ่งที่อยู่ในตำแหน่งสามีของร่างนี้ แม้จะไม่ชอบภรรยาเท่าไรนักแต่คนประสบอุบัติเหตุเกือบตาย…ไม่สิตายไปแล้วก็ควรมาหาบ้างแต่กลับไม่มีแม้แต่เงา
หลิงฮันไม่ได้อยากเจอหรือให้อีกฝ่ายทำหน้าที่สามีเพราะตอนที่รู้ว่าร่างนี้จดทะเบียนสมรสกับผู้ชายแล้วเขาตกตะลึงยิ่งกว่าเจอปีศาจระดับสิบเสียอีก
แต่พอมาคิดดีๆ จำต้องนิ่วหน้าเพราะจากความทรงจำร่างนี้ก็ใช่ย่อย ชอบหนุ่มหล่อเจอใครก็ตามติดไปทั่ว ก่อนตายก็ไปหานักบาส นอกใจสามีเป็นว่าเล่นไม่ใช่หรือไงกัน
ขณะที่กำลังเก็บเสื้อผ้าเพื่อเตรียมกลับบ้านเสียงเคาะประตูได้ดังขึ้น เขาสะดุ้งเล็กน้อยมองไปยังต้นเสียงอย่างสงสัย
“คุณหลิงฮันผมเข้าไปนะครับ”
หลิงฮันขมวดคิ้วพยายามนึกใบหน้าคนที่เอ่ยถามเมื่อจำได้จึงให้เข้ามา เป็นชายหนุ่มในชุดสูทดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า แว่นที่สวมอยู่ยิ่งทำให้คนๆ นี้ให้ความรู้สึกเป็นคนเจ้าระเบียบมากยิ่งขึ้น เห็นแล้วทำให้เขานึกถึงห้าวหยางหนึ่งในผู้อาวุโสทั้งเก้าของสำนักพิฆาตสวรรค์
“ผมมารับคุณกลับครับ”
คนที่เข้ามาคือเลขาของเฉินเหยียน หลิงฮันคาดว่าสามีของตนคงให้มารับ อย่างน้อยก็ยังพอมีจิตสำนึกบ้าง
“อืม” เขาตอบกลับจากนั้นจึงพาร่างอ้วนท้วมหนักเกือบสองร้อยกิโลเดินตามอีกฝ่ายที่ถือของไป
เข้าร่างคนอื่นไม่พอ หลิงฮันยังต้องมาประสบกับปัญหาอีก เพราะร่างนี้อ้วนอย่างมากขยับทีไขมันจะกระเพื่อมที
ในอีกโลกเขาเคยเจอคนตัวใหญ่กว่านี้มากนักตอนนั้นคิดว่ามันน่าตลกแต่พอมาเป็นเองรู้สึกไม่ตลกสักนิด มันไม่ชินแค่เดินก็เหนื่อยมากแล้ว นอนก็แทบหายใจไม่ออก
“เชิญครับ” เลขาเปิดประตูรถให้อย่างนอบน้อม หลิงฮันจึงพยายามยัดร่างตัวเองเข้าด้านในอย่างยากเย็น เขารู้สึกได้ว่าล้อหน้าของรถมันยกลอยขึ้น
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าออกจากโรงพยาบาลวันนี้”
“โรงพยาบาลติดต่อมาครับ ผมจึงมารับ”
“เฉินเหยียนรู้หรือเปล่า”
เลขาขมวดคิ้วเพราะปกติหลิงฮันจะเรียกว่าพี่เฉินแต่ตอนนี้กลับเรียกชื่อเต็ม ทั้งยังใช้การเรียกแทนตัวเองว่าข้า เรียกเขาว่าเจ้าอีก
“รู้ครับ”
“แล้วทำไมเขาถึงไม่มาด้วยตนเอง”
“เจ้านายติดคุยธุระกับลูกค้าครับ”
แม้จะพูดตอบด้วยรอยยิ้มแต่ในใจของเลขากำลังเตรียมรับระเบิดอารมณ์แต่รอแล้วรออีกกลับไม่มีเสียงใดกลับมา เขาตกใจอย่างมากที่หลิงฮันจอมโวยวายทำเพียงกอดอกมองข้างทางเท่านั้น
โลกที่ไม่เหมือนที่ที่เขาจากมามันช่างแปลกตาเสียจริง แม้จะมีความทรงจำของร่างนี้แต่พอได้เห็นด้วยตาตนเองหลิงฮันก็ไม่อาจละสายตาได้ มองท้องฟ้าเห็นเครื่องบินกำลังลอยอยู่พลันแค่นเสียงหัวเราะเย้ยหยันหากเป็นเขาในร่างเซียนสามารถเหาะได้เร็วกว่าหลายร้อยเท่า
เวลาผ่านไปพอสมควรจึงกลับมาถึงบ้านตระกูลเฉิน แต่นอกจาก
เฉินเหยียนแล้วไม่มีแซ่เฉินคนใดอาศัยอยู่ที่นี่เพราะพ่อแม่ของเขาอาศัยอยู่อีกบ้านหลังหนึ่ง
การพาตัวเองออกจากรถนั้นยากเย็นมากจริงๆ สิ่งแรกที่ควรทำนอกจากค้นหาทางกลับโลกเดิมคือนำไขมันนี้ออกจากร่างกายให้หมดสิ้นเพราะมันเป็นสิ่งขัดขวางการบ่มเพาะและการดำเนินชีวิตอย่างมาก
หญิงรับใช้สองคนรีบเข้ามาช่วยยกของ ส่วนหญิงชราซึ่งเป็นหัวหน้าคนรับใช้เพียงมองคนมาใหม่นิ่ง ดวงตาที่จ้องบ่งบอกว่าไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย หลิงฮันรู้สาเหตุดีเพราะด้วยนิสัยของหลิงฮันคนก่อนทำให้พวกเขาต่างเกลียดชัง
โวยวายด่าทอ ดูถูก เอะอะฟ้องพ่อแม่ คือสิ่งที่มักพูดออกมาดังนั้นจะให้คนอื่นหรือหญิงชราผู้รับใช้ตระกูลเฉินเคารพย่อมไม่มีทาง แต่หลิงฮันคนนี้ไม่สนใจเขาพาร่างอ้วนเข้าบ้านแล้วทรุดนั่งโซฟาด้วยความเหนื่อยล้ารู้สึกสมเพชตัวเองที่เดินไม่กี่ก้าวก็เหงื่อโทรมขนาดนี้แล้ว
แก้วน้ำถูกวางลงตรงหน้าอย่างรวดเร็วเพราะกลัวถูกตะคอกด่า เมื่อยกน้ำขึ้นดื่มหลิงฮันพลันขมวดคิ้วทันที
“น้ำมีสิ่งเจือปนอยู่”
คำพูดแรกที่ได้ยินทำให้คนที่เพิ่งยกน้ำมาตัวสั่นเทาแทบร้องไห้ ที่
หลิงฮันรู้เพราะเขายังมีประสาทสัมผัสที่ไวมันไม่ได้เกี่ยวกับการบ่มเพาะแต่มันคือสัญชาตญาณดังนั้นมันย่อมไม่หายไป
“ถะ..ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะเปลี่ยนให้ใหม่นะคะ”
“ไม่ต้องแค่นี้ไม่อาจทำร้ายร่างกายข้าได้แต่ตัวกรองคงมีปัญหาให้ช่างซ่อมซะ” พูดเพียงเท่านั้นไม่ว่าอะไรอีก ทั้งที่เธอเตรียมรอรับเสียงดุด่าแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเพียงนั่งมองไปรอบๆ ไม่มีท่าทีจะตวาดใส่เธอจึงโล่งใจ
“มีใครพอจะรู้บ้างไหมว่ายังมีสำนักต่อสู้หลงเหลืออยู่ที่ไหนอีก”
เมื่อได้ยินคำถามพวกเธอต่างมองหลิงฮันอย่างสงสัยก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกัน แต่คนงานชายที่ได้ยินก็รีบกล่าวประจบประแจง
“ผมรู้จักครับ”
หลิงฮันสีหน้าดีขึ้น “พูดมา”
“เส้าหลินของประเทศจีนครับ!”
หลิงฮันพลันขมวดคิ้วเพราะจากความทรงจำของร่างนี้สำนักเส้าหลินไม่ใช่สำนักที่เขาต้องการ และนั่นก็ทำให้ทุกคนเริ่มกลัวเพราะท่าทางหลิงฮันเริ่มไม่พอใจแล้ว
“เอาล่ะช่างมันเถอะ แล้วมีใครรู้จักหญ้าฉีบ้างไหม”
เหล่าคนใช้ต่างมึนงงไม่ใช่เพียงชื่อหญ้าที่แปลกแต่พฤติกรรมนายหญิง (?) ของบ้านได้แปลกไปด้วย ไม่ดุด่าทั้งยังบอกว่าช่างมันเถอะและยังถามหาสำนักต่อสู้ ตอนนี้ยังถามถึงหญ้าฉีอีก
ทุกคนพร้อมใจส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียงพลางลอบมองพฤติกรรมใหม่ของหลิงฮัน