บอกปัด

1574 Words
พิธีปักปิ่นของหลี่จือหยา เดิมฮูหยินหลี่ก็ตั้งใจจัดอย่างยิ่งใหญ่อยู่แล้ว เพียงแต่ตอนแรกเป้าหมายในการจัดให้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพื่อหลี่จือหยาแต่เพื่อหลี่เจินเจินบุตรของนาง เพราะว่ายิ่งจัดยิ่งใหญ่เท่าใดหลี่จือหยาหญิงไร้ค่ายิ่งต้องขายหน้าเท่านั้น ทำให้วงตระกูลเสียหน้านายท่านหลี่ย่อมหมดความรักความเอ็นดู แต่พอหลังเกิดเหตุการณ์ในวันนั้น ก่อนหน้านี้ที่ส่งเทียบเชิญไปยังไม่มีตระกูลใดกระตือรือร้นตอบรับกลับมา แต่ตอนนี้เล่า เทียบเชิญตอบรับกลับมาทั้งหมด ทั้งฮูหยินตาตั้ง ฮูหยินตระกูลใหญ่ และยังมีข่าวจากในวังว่าจะมีแขกผู้สูงศักดิ์มาร่วมงานด้วย “ขอบใจเหนียงจือมาก งานปักปิ่นของจื่อหยาเอ๋อร์ ครั้งนี้ต้องรบกวนเจ้าแล้ว” ก่อนหน้านี้ที่ฮูหยินหลี่กล่าวแจ้งเขาเกี่ยวกับพิธีปักปิ่นของหลี่จือหยา ตอนนั้นนายท่านหลี่ยังไม่เห็นด้วยเท่าไรนัก แต่ไม่ได้เอ่ยปากขัดข้องอะไร มาวันนี้กลับรู้สึกว่าฮูหยินหลี่ช่างมองการณ์ไกลยิ่งนัก อย่างที่เขาว่าครอบครัวที่สามัคคีกันโชคดีไปทุกเรื่อง เสนาบดีหลี่ย่อมไม่รู้ถึงความคิดในใจของ ฮูหยินหลี่ซึ่งตอนนี้เดือดดาล แค้นใจยิ่งนัก ถ้านางไม่ได้เตรียมการไว้ก่อน ย่อมหาข้ออ้างจัดเล็กๆ ได้ ตอนนี้นางต้องจัดงานนี้ให้ดี จะอย่างไรก็ต้องวางสาวยาวเพื่อตกปลาใหญ่ ครั้งนี้พลาดแต่ครั้งหน้าต้องไม่มีเหตุการณ์แบบนี้แน่นอน “นายท่าน…วันก่อนฮูหยินตระกูลเซียวส่งเทียบเชิญมาเชิญข้าไปร่วมดื่มน้ำชา” กล่าวถึงตระกูลเซียวที่มีสัญญาณหมั้นหมายกับหลี่จือหยา นายท่านต้องเข้าใจเจตนาของเทียบเชิญนี้แน่นอน “นายท่าน …ข้าน้อยขอกล่าวสักคำสองคำเถิด..คุณหนูใหญ่มีความสามารถเพียงนี้ สมควรให้อยู่เรือนอีกสัก 1-2 ปี ไม่แน่ว่าจะสามารถเพิ่มพูนความรู้ปรุงยาออกมาได้หลายเทียบ หากออกเรือนไปก็ต้องปฏิบัติสามีและดูแลเรือนเวลาศึกษาปรุงยาย่อมไม่มีเป็นแน่” วาจานี้ของฮูหยินหลี่ดูผิวเผินคิดอ่านเพื่อประโยชน์ของตระกูลหลี่ จึงทำให้หลี่จงหยางหวั่นไหวต่อคำกล่าวนั้น “เหนียงจือ..ย่อมคิดรอบคอบ เช่นนั้นถ้าทางตระกูลเซียวเร่งรัดมา เจ้าก็บอกปัดไปก่อน บุตรสาวคนนี้ข้ารักยิ่งนักยังตัดใจให้ออกเรือนไปยังไม่ได้ รอสัก 1-2 ปี เถิด” หญิงสาวเมื่อแต่งงานออกไปย่อมเป็นคนของตระกูลสามี บุตรสาวเขาเพียบพร้อมยิ่งนักเรื่องแต่งงานไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ “เจ้าค่ะ ข้าจะจัดการอย่างรอบคอบ” ตงฮูหยิบยิ้มบางๆ อย่างพอใจ ได้เวลาเพิ่มขึ้น 1-2 ปี ก็เพียงพอแล้ว เรือนเหมันต์ “ลูกคารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” หลี่จือหยางคารวะฮูหยินหลี่อย่างสุภาพเรียบร้อย วันนี้หลี่จือหยางใส่ชุดสีขาวทำให้นางดูละเมียดละเมียดเป็นหญิงสาวที่น่าทะนุถนอมอย่างยิ่ง ฮูหยินหลี่วางถ้วยน้ำชาลง มองหลี่จือหยาด้วยสายตารักใคร่ “เจ้ามาแล้วหรือ แม่มีเรื่องจะบอกกล่าวเจ้าสักหน่อย เมื่อเจ้ามีสัญญาหมั้นหมายกับคุณชายเซียวหลีหยวน เดิมทีก็ควรกำหนดวันแต่งงานหลังพิธีปักปิ่น วันก่อนแม่ได้บอกกล่าวกับนายท่านให้เจ้าแล้ว นายท่านกล่าวว่ายังตัดใจให้เจ้าออกเรือนไม่ได้จึงได้ขอให้แม่บอกปัดหยินเซียวไปอีกสัก 1-2 ปี ในใจเจ้าคงไม่ตำหนิแม่กระมัง” เมื่อกล่าวคำออกไป ฮูหยินหลี่หวังจะได้ยินคำต่อว่าหรืออาการไม่พอใจของหลี่จือหยาบ้างเล็กน้อย แต่หลี่จือหยา แม้กระทั่งสีหน้าเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีให้เห็น “เรื่องการแต่งงานล้วนต้องให้ท่านพ่อท่านแม่และแม่สื่อจัดการ ลูกไม่มีความคิดเห็นเจ้าค่ะ” กล่าวเสร็จหลี่จือหยาก็ก้มหน้า ไม่เอ่ยอะไรต่อ “เจ้าช่างรู้ความยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้นเจ้ากลับไปก่อนเรื่องนี้แม่จะต้องไปแจ้งเหล่าไทไท สักหน่อย” เมื่อชกมือออกไปเจออากาศฮูหยินหลี่ก็รู้สึกเบื่อ นางสู้วางแผนตั้งนานแต่กลับไม่ได้แม้กระทั่งสีหน้าเสียใจของหลี่จือหยา นางคิดว่า หลี่จือหยาอาจจะเพียงเก็บอาการเท่านั้น “เจ้าค่ะ ลูกขอลา” สำหรับเรื่องการออกเรือน หลี่จือหยาได้ปรึกษากับเหลยหลิงมาแล้วว่าตอนนี้ยังไม่ควรออกเรือนเพราะ หลี่จือหยาต้องฝึกฝนวิชาปรุงยาให้ชำนาญ หากต่อไปจะเพียงอาศัยเลือดของจิ้งจอกเก้าหางย่อมเป็นไปไม่ได้ เวลา 1-2 ปี แม้ไม่เชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์แต่ก็ทำให้ผู้คนย้ำเกรงได้ หลี่จือหยาย่อมรู้ฝีมือตัวเองดีจึงไม่ได้คัดค้านยอมปฏิบัติตามคำแนะนำของเหมยหลิงทันที เรือนอี้ถาน เรือนคุณหนูใหญ่ ข่าวเรื่องการที่ฮูหยินหลี่กล่าวปัดการกำหนดวันแต่งงานหลังพิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ไม่ใช่ความลับอะไร แม่นมหลูเสียใจและแค้นฮูหยินหลี่ยิ่งนัก หากแต่ไม่ได้เอ่ยวาจา ซ้ำคุณหนูก็ไม่สนใจงานบ้านงานเรือน สนใจศึกษาเพียงสมุนไพรและเรื่องการปรุงยา “คุณหนูจะขึ้นหุบเขาอีกหรือเจ้าคะ” แม่นมหลูเอ่ยถาม ขณะกำลังแปรงผมแล้วรวบขึ้นเป็นชายหนุ่มให้คุณหนูขึ้นหุบเขาไปเก็บสมุนไพรเกือบจะทุกวัน นางสงสารคุณหนูเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปและอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันปักปิ่นแม่นมอยากให้คุณหนูอยู่เรือนบำรุงผิวพรรณ เตรียมตัวให้ตัวเองงดงาม “แม่นมหลู ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้ารับรองว่าก่อนวันพิธีปักปิ่นข้าจะหยุดพักบำรุงผิวพรรณเพื่อท่านแน่นอน” หลี่จือหยากล่าวหยอกล้อแม่นมหลูเล็กน้อย แม่นมหลูมองค้อนหลี่จือหยาไปยกหนึ่ง “วันนี้ท่านพ่ออยู่จวนใช่หรือไม่ ข้าจะไปคำนับท่านพ่อก่อนออกเดินทาง พี่เหมยรุ๋ยไปแจ้งท่านพ่อด้วย” “เจ้าค่ะ” สิ้นคำกล่าวหลี่จือหยา เหมยรุ๋ยก็รับคำรีบเร่งฝีเท้าไปทันที ห้องหนังสือนายท่านหลี่ “ลูกคารวะท่านพ่อค่ะ” หลี่จงหยางมอบดูลูกสาวของตัวเองอย่างปลาบปลื้ม “จือหยาเอ๋อร์ แต่งกายเช่นนี้เจ้าจะขึ้นเขาอีกแล้วรึ สมุนไพรของหุบเขาไม่ใช่โดนเจ้าขุดมาหมดแล้วกระมัง” เสนาบดีกล่าวยิ้มอย่างอ่อนโยน เรื่องที่หลี่จือหยาแต่งกายเป็นบุรุษออกไปหาสมุนไพรเขาได้รับรายงานมาบ้างแล้ว “ท่านพ่อล้อข้าแล้ว ลูกกลัวว่าพอเข้าฤดูหนาวหิมะตกจะไม่ค่อยมีโอกาสได้ขึ้นเขาอีกเจ้าค่ะ และลูกอยากใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่าทดแทนที่ก่อนหน้านี้ลูกยังฝึกฝนไม่เพียงพอ” หลี่จือหยายิ่งกล่าวถ่อมตัว ยิ่งดูน่ารักน่าใคร่ “อย่างที่ท่านพ่อกล่าว ตอนนี้ลูกสำรวจหุบเขาตระกลูเกือบจะหมดแล้ว ลูกอยากไปลองดูที่ป่าศักดิ์สิทธิ์สักคราว” เรื่องการไปหาสมุนไพรที่ป่าศักดิ์สิทธิ์เป็นเหมยหลิงที่แนะนำหลี่จือหยา เพราะหลังจากที่จือหยาไปหาสมุนไพรที่หุบเขาเป็นประจำ ก็มีเหตุผลที่เหมาะสมได้ “ถ้าโชคดีลูกเก็บสมุนไพรล้ำค่าได้ ลูกจะได้ปรุงเป็นเก็บไว้เป็นสมบัติของตระกูล มีเพียงสิ่งนี้ที่ให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อวงศ์ตระกูล ลูกขอให้ท่านสนับสนุนลูกด้วยเจ้าค่ะ” หากเป็นความมั่งคั่งของตระกูลจะอย่างไรเสียย่อมทำให้นายท่านหลี่เริ่มไตร่ตรองได้ “จะอันตรายเกิดไปหรือไม่” หลี่จงหยางกล่าวถามจะอย่างไรก็ยังมีความเป็นห่วงบุตรสาวอยู่บ้าง ป่าศักดิ์สิทธิ์เป็นเขตป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยพืชสมุนไพรและสัตรอสูรมากมาย และด้วยความสมบูรณ์นี้ย่อมเป็นอันตรายต่อผู้มีพลังลมปราณระดับต่ำ มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถเข้าได้ “ลูกจะลองเพียงหาสมุนไพรในเขตป่ารอบนอกเจ้าค่ะ ลูกใคร่ขอองค์รักษ์จากท่านพ่อติดตามลูกมากหน่อย ลูกสัญญาว่าจะระวังตัวเองให้ดีเจ้าค่ะ” หลี่จือหยารีบให้เหตุผลทันที “ถ้าเช่นนั้น ...ได้!! พ่ออนุญาตเจ้า เรื่ององค์รักษ์พ่อจะให้อู่จงจัดเตรียมไว้ให้ วันนี้สายมากแล้วเจ้ารีบออกเดินทางเถอะ” เมื่อหลี่จงหยางรับปากแล้ว หลี่จือหยาก็ขอลาและออกเดินทางไปเก็บสมุนไพรที่หุบเขาของตระกูลหลี่ทันที เรือนปรุงยาของคุณหนูใหญ่ เหมยหลิงเป็นบ่าวที่ดูแลเรือนปรุงยา ส่วนอื่นๆ ไม่ได้รับผิดชอบและยังได้ห้องพักส่วนตัวพร้อมของใช้มากมาย การเป็นอยู่ของเหมยหลิงตอนนี้ สุขสบายกว่าอนุในเรือนคุณท่านหลี่เลยก็ว่าได้ ส่วนตงซิงหยวน เหมยหลิงไม่ได้คิดกังวลแต่อย่างไร เพราะนางรู้ดีว่าช่วงนี้ตงซิงหยวนกำลังยุ่งกับกลุ่มปีศาจที่มาจากถิ่นแคว้นใต้พิภพที่แฝงเข้ามาเป็นชาวเมืองฟูฟง ยังไม่มีเวลามาวุ่นวายกับนางแน่นอน นางจึงใช้เวลานี้ฝึกฝนปรุงยาที่ใช้ในกลุ่มชาวบ้านอย่างเต็มที่ ทุกๆ 10 วัน นางและคุณหนูจะนำยาที่ปรุงไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้านที่ยากจนนอกเมืองทุกวัน ทำให้ตอนนี้ในหมู่กลุ่มชาวบ้านหลี่จือหยาได้รับสมญานามว่า “เทพธิดาแห่งเมืองฟูฟง” //แผนPRของเหมยหลิงเลยนะคะนิ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD