ตอนที่ 4 นายหญิงสำนักคุ้มภัย
ก่อนที่หญิงชราเมิ่งจะเดินออกไป ได้พบกับชิงเสียนที่เข้ามาในห้อง พร้อมกับยาสงบใจ “ชิงเสียน เจ้าเองรึ”
“เจ้าค่ะ ข้าเอง” นางยอบกายลงเล็กน้อย ขานรับแก่หญิงอาวุโส “ว่าแต่ท่านยายรู้จักข้าด้วยหรือเจ้าคะ” นางแน่ใจว่าไม่เคยพบหญิงชราคนนี้มาก่อน
“ตอนนั้นเจ้ายังเด็กมาก ตอนนี้เติบโตเป็นสาวสะพรั่งแล้ว ว่าแต่เจ้ามีคนรักหรือไม่” เมิ่งลู่ยิ้มแย้ม เห็นเด็กสาวในวันนี้ ก็ชวนให้ย้อนนึกถึงครานั้น เมื่อสิบปีก่อน นางเด็กคนนี้อายุเพิ่งจะสี่ห้าหนาวกระมัง บัดนี้กลับเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักยิ่งนัก
“ท่านยาย วัน ๆ ข้าทำแต่งาน ไม่มีเวลาหาความรักหรอกเจ้าค่ะ อีกอย่างบุรุษชอบมักมาก ข้าชิงชังนัก” ชิงเสียนตอบกลับอย่างใจคิด แม้จะพูดจาดูโผงผางไปบ้าง แต่นางก็เป็นสาวใช้ที่จงรักและภักดีต่อผู้เป็นนาย
“เอาละ ข้าไปแล้ว รักษาตัวดี ฝากดูแลนางด้วย เอาไว้ข้าจะกลับมาใหม่” เมิ่งลู่หัวเราะเบา ๆ ในมือของนางยังถือไม้เท้าเอาไว้ เดินหลังค่อมออกนอกประตูไป ชิงเสียนเหลือบมองหญิงชราผู้นี้ก็ยิ่งชวนให้คิ้วขมวดมุ่นอย่างสงสัย
เมื่อชิงเสียนวางถ้วยยาสงบใจลงบนโต๊ะ แม่นมฝูก็ดูหายใจเหนื่อยหอบ ชิงเสียนรีบเขย่าตัวของแม่นมด้วยความร้อนรน “แม่นมฝูเจ้าคะ แม่นมฝู”
“เจ้าอย่าเสียงดัง ข้ายังไม่เป็นอะไร เพียงแค่รู้สึกเหนื่อยมากเท่านั้น ว่าแต่หว่านหนิงเล่า ข้าให้นางเฝ้าที่หน้าประตูไว้นี่นา” หญิงชราหายใจอย่างอ่อนล้า ราวกับว่าจะสิ้นใจลงเสียให้ได้ แต่ทำไมกันไม่เห็นหว่านหนิง แต่กลับมีชิงเสียนเดินเข้ามาในห้องเพียงลำพัง
“คุณหนูรองเรียกหาเจ้าค่ะ ข้าก็เลยนำยามาให้ท่าน ท่านหมอป่านนี้แล้วก็ยังไม่มา แม่นมท่านอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะเจ้าคะ” ชิงเสียนเป็นห่วงเหลือเกิน ขณะพูดคุยก็ยังลอบสังเกตสีหน้าของแม่นมผู้นี้
แม่นมฝูเป็นคนใจเย็น และเป็นคนใจดี บรรดาสาวใช้ในเรือน ต่างก็เคารพนางเหมือนญาติผู้ใหญ่ จะมีเพียงแค่บางคน บางกลุ่มเท่านั้นที่ไม่พอใจ ก็เห็นจะเป็นคนของฮูหยินรองที่พากันผยองอวดเบ่งวางก้ามใหญ่โตในเวลานี้
เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นชิงเสียน หว่านหนิงหรือหรูหรัน ก็ล้วนเป็นห่วงแม่นมฝูยิ่งนัก ยามนี้นายสาวเพิ่งจากไป แม่นมฝูก็ล้มป่วยอีกคน ท่านหมอก็ยังไม่มา อากาศก็หนาวเยียบเย็นจนแทบจะทำให้ก้าวเท้าไม่ออก
ด้านนอกก็มีแขกเหรื่อมาเคารพศพไม่ขาดสาย อีกไม่นานจวนนี้จะเป็นเช่นไรกัน หลังจากที่ไป๋ฮูหยินจากไป จะกลับไปเป็นเช่นเดิมคือความสงบสุขหรือไม่ หรือว่านับจากนี้พวกนางอาจถูกคนของเถาซื่อรังแกจนต้องระเห็จออกจากจวนเซียวเช่นนั้นใช่หรือไม่
ยามนี้ชิงเสียนยังคงมองใบหน้าของแม่นมเฒ่าอย่างห่วงใย ใบหน้าที่ดูสดใสกลับเคร่งเครียด จนทำให้แม่นมฝูที่จิบยาสงบใจ ถึงขั้นต้องเอ่ยปากหยอกเย้าแม่เด็กสาวคนนี้ขึ้น “นางเด็กคนนี้ ข้ายังไม่ตาย แค่ไม่สบายนิดหน่อย กินยาที่เจ้าเอามา พรุ่งนี้ข้าก็คงตื่นขึ้นมาวิ่งไล่ตีเจ้าได้แล้วกระมัง”
ชิงเสียนรู้แก่ใจว่าแม่นมพูดเล่นแบบนี้ได้ ไม่ใช่เพราะร่างกายยังแข็งแรง แต่ที่นางพูดก็เพื่อให้นางสบายใจต่างหาก เช่นนั้นเด็กสาวคนนี้จึงพยักหน้าน้อย ๆ รับคำของแม่นม “เห็นท่านพูดแบบนี้ได้ ข้าก็เบาใจนัก ด้านนอกมีแขกมาไม่ขาดสายเลยเจ้าค่ะ”
แม่นมฝูระบายยิ้มอ่อน พลางกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินเป็นคนสะสวย ยามอยู่แม้จะมีสหายน้อย แต่สหายของนางก็ล้วนเป็นฮูหยินในวงน้ำชา แวดวงคนชั้นสูง ไม่แปลกที่เหล่าฮูหยินจะมาในวันนี้ ส่วนใต้เท้าเซียว ก็ทำงานราชการมาหลายปี ก็ย่อมมีสหายคบค้าอยู่มาก”
พอพูดจบก็วางถ้วยยางลงบนโต๊ะ รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ชิงเสียนยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ แต่ยามนี้กำลังบีบนวดขาให้แม่นมชรา เผื่อว่าอาจปวดเมื่อยเนื้อตัว เหลือบมองไปยังกระถางใส่ถ่านเพิ่มความอบอุ่นในห้อง ก็พบว่ายังมีอยู่
“นอนสบายเชียวนะ ป่วยเพียงแค่นี้ยังไม่ตายเสียหน่อย เหตุใดจึงอู้งาน ลุกขึ้นไปทำงานได้แล้ว” เถาซื่อเดินเข้ามา เห็นแม่นมผู้นี้ถูกบีบนวดจึงตะคอกเสียงดังก้องอย่างไม่พอใจ
“ฮูหยินรอง” ชิงเสียงตกใจอุทานเสียงดัง
ส่วนแม่นมฝูยิ้มเยาะ “ไม่ทันไร ฮูหยินรองก็วางอำนาจเสียแล้ว คนแก่ใกล้ตายเช่นข้า ไหนเลยจะกล้าขัดคำสั่งเจ้าค่ะ ยามนี้ข้าเจ็บป่วยพักผ่อนเล็กน้อย หากฮูหยินรองไม่สบายใจเห็นพวกข้าขัดหูขัดตาละก็ ให้พวกข้าออกจากจวนนี้ก็ย่อมได้”
“เหอะ ท่านพี่มีคำสั่งลงมา ห้ามให้พวกเจ้าออกจากจวนนี้ หากใครกล้าขัดคำสั่งละก็ ข้าจะตีให้ตาย ไม่เชื่อก็ลองดู” เถาเหมยฮัวตวาดเสียงดัง ยืนเท้าเอวยกมือชี้หน้าหญิงต่างวัยทั้งสอง
ชิงเสียนก้มหน้าก้มตา อย่างหวาดกลัว “ข้าน้อยจะไปทำงานตามที่ฮูหยินรองบอกเจ้าค่ะ”
“หากยังปากเสียเช่นนี้อีก แม่นมฝูระวังจะอยู่ไม่ถึงวันพรุ่งนะ ข้าเตือนเจ้าแล้ว ว่านางเด็กคนนั้นเป็นกาลกิณี ทำให้คนในจวนเดือดร้อน ดูสิพอไปได้ไม่ถึงวัน แม่นมฝูก็ล้มป่วยเสียแล้ว เจ้าเห็นหรือไม่ นางคือตัวอัปมงคลกาลกิณีอย่างไม่ต้องสงสัย”
เถาเหมยฮัวยังคงขึ้นเสียงดัง วาดหวังว่าน้ำเสียงของนาง อาจจะดังเข้าหูฮูหยินของขุนน้ำขุนนางสักคน ที่เดินอยู่ในจวนนี้ก็เป็นไปได้ ทว่ากลับเป็นฝันร้ายมาเยือน เมื่อนางเถาเหมยฮัวถูกสามีเดินเข้ามา แล้วตวัดมือฟาดเข้าที่ใบหน้าของนางอย่างจัง
เกิดเสียงดังเพี๊ยะ...จนทำให้เถาเหมยฮัวทรุดกายนั่งลงบนพื้น ยกมือขึ้นมากุมแก้มข้างหนึ่งที่ถูกฟาดลงมา เงยหน้ามองผู้เป็นสามีอย่างเจ็บแค้น “ท่านกล้าตีข้าเชียวหรือ ท่านบ้าไปแล้วหรือไรกัน”
“ใช่ ข้ามันบ้า วันนี้มันคือวันอะไร เจ้าจะทำตัวอย่างนี้ได้เช่นนั้นหรือ กลับเรือนไปสำนึกผิดเสีย” นางทำให้เขาขายหน้า ถูกเหล่าฮูหยินเหยียดหยาม ซ้ำยังถูกสหายด้วยกันออกปากว่า ให้ท้ายฮูหยินรองเสียจนเคยตัว ภายภาคหน้าจะทำอันใดต้องอยู่ใต้เงื้อมมือของฮูหยินรองเช่นนั้นหรือ
ใต้เท้าเซียวจึงเอาโทสะนั้น มาระบายกับฮูหยินรอง ที่กระทำตัวเหิมเกริมไม่ไว้หน้า แม้ในงานศพของฮูหยินที่เขารักมาก จากไป สตรีนางนี้ยังกล้าชักสีหน้า ซ้ำยังแผดเสียงดังลั่น ทำให้ตระกูลเขาขายหน้ายิ่งนัก
“ท่านพี่” เถาเหมยฮัวหน้าชาตัวชา ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนี้นางจะถูกสามีตีเข้าให้ ซ้ำยังอยู่ในห้องของนางแก่คนนี้ที่ใกล้ตาย นางเหลือบมองสามีอย่างเคียดแค้น “ท่านทำข้าได้วันนี้ หากวันหน้าข้า...” ทำบ้าง ท่านก็อย่ามาแค้นในภายหลังก็แล้วกัน
ทางด้านเมิ่งลู่ที่ออกจากจวนเซียวไปแล้ว ก็ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์บนรถม้า เอ่ยกำชับเสียงดังแก่สารถีว่า “กระจายข่าวออกไป ค้นหาคุณหนูใหญ่เซียวอิ๋นฮวาให้พบ”
“ขอรับนายหญิง” สารถีรับคำ จากนั้นหยิบนกหวีดหยกขึ้นมา แล้วเป่าส่งเสียง ในนั้นเสียงที่เขาเป่าออกไปนั้น ล้วนมีคำสั่งอยู่ด้วย มีเพียงแค่พวกเดียวกันเท่านั้นที่รู้ความหมายของเสียงเพลงที่ถูกเป่าออกไปเป็นทอด ๆ
“ข้าอยู่สำนักคุ้มกันมาหลายสิบปี ไม่มีครั้งไหนเลยที่ข้าหดหู่เท่าครั้งนี้มาก่อน” เมิ่งลู่คือนายหญิงผู้เฒ่าของสำนักคุ้มภัย รู้จักกับแม่นมฝูมาหลายปี ไม่กี่วันก่อนเพิ่งได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือ
ไม่คิดว่าการเดินทางหนนี้จะได้มาพบกับความโศกเศร้าเสียได้ จึงทำทีมาเคารพศพของไป๋ฮูหยิน แล้วจึงขอตัวเดินเล่นในจวนก็พบว่าสหายของนางก็มาล้มป่วยอีก คาดว่าอาจป่วยทางใจก็เป็นไปได้
แต่เรื่องที่น่าหนักใจก็เห็นจะเป็นเรื่องของเซียวอิ๋นฮวา เด็กน้อยอายุเพียงแค่สิบหนาว ก็ต้องออกเดินทางเพียงลำพังเสียแล้ว ไม่รู้ว่ายามนี้จะเป็นเช่นไร
“นายหญิงอย่าเพิ่งร้อนใจไปเจ้าค่ะ คุณหนูเซียวย่อมต้องปลอดภัยเป็นแน่” สาวใช้คนนี้ถูกให้นั่งอยู่บนรถม้า ไม่ให้ออกไปข้างนอกโดยพลการ ตัวตนของเมิ่งลู่ก็ไม่มีใครทราบว่าเป็นใครมาจากไหน
“เด็กคนนั้นมีชาติกำเนิดที่ปกปิดตัวตน ต้องหานางให้พบแล้วส่งนางกลับไปหาบิดาที่แท้จริง” เมิ่งลู่กล่าวขึ้น สีหน้าของหญิงชราค่อนข้างจะมีความกังวลใจนัก ในมือของนางข้างหนึ่งยังถือห่อผ้าเอาไว้ ด้านในนางเก็บป้ายหยกล้ำค่า ด้านล่างประดับด้วยพู่ทอง คาดว่าอาจจะเป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวย ถึงได้มีพู่ห้อยที่ทำจากพู่ทองเช่นนี้
“มีเรื่องประหลาดเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ” นางเลิกคิ้วขึ้นสอบถาม “เช่นนั้นก่อนที่ฮูหยินไป๋จะแต่งเข้าจวนเซียวก็....” คงไม่ต้องให้คาดเดาอีกแล้ว ไป่จินจูผู้นี้ช่างเก็บความลับได้แนบเนียนนัก
“ข้าเองยังแปลกใจ เร่งออกเดินทางเถิด หากพบนางช้าไป อาจจะเกิดอันตรายแก่นางก็เป็นไปได้” ได้ยินจากปากสหายพูดมา นางก็ยังประหลาดใจ
แต่ก็ไม่กล้าซักถามต่อ อีกทั้งป้ายหยกนี้มีค่ายิ่งนัก ผู้มั่งคั่งคนนั้น เป็นใครกัน เหตุใดทุกอย่างจึงมีลับลมคมในแอบแฝงเช่นนี้
ไม่นานนักระหว่างเดินทาง ผ่านมาได้ราว ๆ สักสองก้านธูป ก็ได้ยินเสียงนกหวีดหยกเป่าขึ้นแจ้งข่าวตอบกลับมาอีกครั้ง
สีหน้าของหญิงชราพลันซีดเผือด “เร่งมือเร็วเข้า” หญิงชราร้อนใจยิ่งนัก สิ่งที่นางกังวลมากที่สุดก็คือความปลอดภัยของเด็กคนนั้น
“นายหญิงขอรับ หิมะทับถมเช่นนี้ จะให้เร่งความเร็วก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้นะขอรับ” ข่าวที่ได้รับแจ้งคือ พบรถแต่ไม่พบคน นายหญิงจึงร้อนใจบอกกล่าวสารถีให้เร่งมือควบรถม้าด้วยความเร็ว
ทว่าถนนหนทางก็เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาวโพลนกองทับถมเช่นนี้ เดินทางก็ค่อนข้างลำบากอยู่มากโข แล้วยังจะเพิ่มความเร็วอีกก็เกรงว่าอาจจะเกิดอันตรายต่อนายหญิงผู้เฒ่าก็เป็นไปได้
“ต้องหานางให้พบ หากตายต้องเห็นศพเข้าใจหรือไม่ ออกคำสั่งไปให้ค้นหาในละแวกนั้นให้ทั่ว”