EPISODE 05 เพื่อนคู่คิด มิตรคู่เรือน

3646 Words
EPISODE 05 เพื่อนคู่คิด มิตรคู่เรือน ‘เดี๋ยวตอนเที่ยงผมเข้าไปหานะ อย่าเพิ่งกินข้าวล่ะ รอกินพร้อมกัน ผมจะทำอาหารไปให้’ หลังจากรัญกรได้รับข้อความนี้เมื่อช่วงสาย เขาก็แขวนท้องรออาหารมื้อเที่ยงอย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้เหมือนกันว่าจิรากรจะทำอะไรมาให้เขาทาน แล้วรสมือจะอร่อยถูกปากเหมือนครั้งก่อนไหม แต่ปัญหาตอนนี้คืออยากลิ้มรสอาหารฝีมือเขา แต่ไม่อยากเจอหน้าเขา พอนึกถึงภาพกิจกรรมส่วนตัวที่แอบเห็นเมื่อคืนแล้วภาพมันติดตา ยังนึกภาพร่างสูงโถมเอวสอดใส่เจ้าหุ่นยางรูปบั้นท้ายนั้นเป็นจังหวะ พลางใช้สองมือใหญ่บีบเคล้นความกลมกลึงเต็มไม้เต็มมือ หากได้มาเจอหน้ากันจะทำอย่างไรไม่ให้มีพิรุธ ขนาดแค่คิดใบหน้ายังร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างง่ายดาย “พี่รัญไม่สบายหรือเปล่า ผมเห็นพี่จับหน้าตัวเองบ่อยมาก กินยาดักไว้ไหมพี่ เดี๋ยวผมไปหยิบให้” “ไม่เป็นไรซัน พี่โอเค ไม่ได้เป็นอะไรเลย” “วันนี้พี่งุ่นง่านแปลก ๆ มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือโดนลูกค้าตำหนิมา?” เมื่อซันคาดเดาไปเรื่องถูกตำหนิ ทั้งแซนและบีก็รีบเดินมาร่วมวงรับฟังด้วย ลูกน้องของรัญกรทั้งสามคนนี้ตั้งใจทำงานมาก เขาอยากได้รับประสบการณ์เต็มที่ในงานแรกของชีวิต หากเมื่อไรที่ถูกตำหนิและต้องแก้ไขงาน พวกเขาจะรีบแก้โดยไม่ปริปากบ่น อาชีพนี้มันไม่ได้ง่ายเลย ตัวรัญกรเองก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร เขาเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาแฟชั่นดีไซน์ หรือที่คุ้นหูกันว่าออกแบบแฟชั่นนั่นเอง พอเรียนจบมาได้มีโอกาสไปทำงานที่ห้องเสื้อของรุ่นพี่ เขาพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดเพราะฝันจะมีห้องเสื้อของตนเองเหมือนกัน ตอนกลางวันเป็นช่างเย็บผ้า ออกแบบชุด เป็นลูกมือให้ช่างที่เก่ง ๆ ส่วนตอนกลางคืนถ้ามีงานจากองค์กรเขาก็ต้องทำ มันไม่ได้มีบ่อย แต่เกือบทุกวันเขาต้องเข้าไปฝึกการต่อสู้และใช้มีด ใช้ความสามารถถีบตัวเองให้อยู่แถวหน้าเพื่อแลกโอกาสในการรับงาน หากได้ทำมาก ก็ได้เงินมาก จะได้ใช้หนี้หมดเร็ว รัญกรพยายามอย่างมากกว่าจะมีวันนี้ กว่าจะได้สานฝันในสิ่งที่เขาชอบ และเขาเห็นเงาสะท้อนของตนเองผ่านลูกน้องทั้งสามคน เข้าใจอย่างมากว่าอยากเก่งในอาชีพที่รักน่ะมันต้องฝึกฝนมากแค่ไหน “อย่ากังวลเลย ทุกคนทำงานดีมากอยู่แล้ว” “พี่รัญก็ชมพวกเราทุกที พี่ใจดีจนผมหลงตัวเองไปแล้วว่าทำงานเก่ง” “ลูกน้องพี่เก่งทุกคน พรุ่งนี้ก็จะเก่งกว่าวันนี้อีก ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ มีประสบการณ์มากเท่าไรยิ่งดี” การให้กำลังใจกันเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำงานร่วมกัน พยายามสร้างบรรยากาศดี ๆ อยู่เสมอ ไม่กดดันจนเกินไป ในทุกวันก็จะทำงานอย่างมีความสุขเอง แกรก “สวัสดีครับ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้น รัญกรรู้ทันทีว่าใครมาหา เขาพลิกข้อมือดูนาฬิกาก็พบว่านี่มันเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว แต่ก็ยังไวไปที่จะทานมื้อเที่ยง “มาไวจัง ไหนบอกจะมาเที่ยง” “คิดถึง เลยมาไว” คนพูดไม่นึกเขิน แต่คนฟังยกมือขึ้นลูบหน้าอีกแล้ว พอเจอหน้ากันเข้าจริง ๆ รัญกรกลับสลัดภาพบาดตาเมื่อคืนออกจากหัวไม่ได้จริงด้วย เขาไม่กล้าสบตาชายผมขาวคนนี้เลยสักนิด อาการงุ่นง่านแบบนี้ปรากฏขึ้นอีกจนได้ ซันที่ช่วยรัญกรขึ้นแบบชุดลูกค้าใหม่ตั้งแต่เช้าเห็นอยู่หลายครั้ง หรือว่าต้นเหตุของอาการดังกล่าวมาจากชายผู้นี้ ลูกน้องทั้งสามคนสัมผัสบรรยากาศหอมหวานบางอย่างได้อย่างชัดเจน ดูจากที่จิรากรมองเจ้านายด้วยแววตาหวานหยดก็รู้แล้ว “ปากหวานให้น้อยหน่อยเถอะ แล้วนี่ถืออะไรมาครับ?” “ผมทำปลากะพงนึ่งซีอิ๊ว ต้มยำปลาเก๋า แล้วก็หอยเชลล์ย่างเนย” รัญกรแสร้งทำเป็นลืมเรื่องกับข้าว เขาถามออกไปอย่างนั้นทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าภายในถุงผ้ากำมะหยี่ใบใหญ่ที่จิรากรถือย่อมเป็นอาหารที่เขาทำมาให้ แต่ก็ไม่แสดงออกว่ารู้ทัน กลัวอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาแขวนท้องรออาหารมื้อนี้ตั้งแต่ช่วงสายแล้ว น้อยครั้งมากที่รัญกรจะถูกใจรสชาติอาหารเป็นพิเศษ จากที่รู้สึกเบื่ออาหารมาระยะหนึ่ง กลับเจริญอาหารเพราะเสน่ห์ปลายจวักของจิรากรเสียอย่างนั้น “มีแต่ของย่อยง่ายดีนะครับ” “ก็เมื่อวานคุณกินหมูอบไปตั้งเยอะ ถ้าวันนี้ทำเมนูเนื้อหนัก ๆ ให้ คุณจะไม่สบายท้องนะ” คำว่า ‘หมูอบ’ ทำให้ลูกน้องสามคนที่กำลังแยกย้ายกันไปทำงานหันขวับทันที หรือว่าหมูอบที่รัญกรเอ่ยชมว่าอร่อยกว่าสเต๊กร้านเปิดใหม่คือหมูอบฝีมือจิรากร?! “อ๋ออออ เพราะเมื่อวานพี่รัญกินหมูอบอร่อย ๆ มานี่เอง ตอนเย็นถึงไปกินสเต๊กกับพวกเราแล้วบอกว่าอร่อยสู้หมูอบไม่ได้” “จริงด้วย ผมก็ว่าเมื่อวานทำไมพี่รัญไปส่งงานน้านนาน” คำแซวจากลูกน้องพาให้รัญกรก้มหน้างุด มือไม้หยิบของผิด ๆ ถูก ๆ จะหยิบสีชอล์กมามาร์กจุดบนผ้า กลับคว้าแป้งเปียกมาป้ายผ้าเฉยเลย “เหรอครับ รัญชมว่าหมูอบอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?” “ใช่ค่ะคุณจิรากร เมื่อวานเราไปกินสเต๊กร้านใหม่กัน ถามพี่รัญว่าอร่อยไหม เขาตอบว่าหมูอบอร่อยกว่า” “ปะ ไปทำงานเลย เด็กพวกนี้นี่!” คนถูกพูดถึงก็หาคำแก้ตัวไม่ทัน ได้แต่เสียงดังกลบเกลื่อนไล่ลูกน้องไปทำงานเท่านั้น รัญกรไม่ชอบที่ตัวเองเสียอาการอยู่ตอนนี้มาก เขาทำตัวไม่ถูก เดิมทีไม่กล้ามองหน้าอยู่แล้วเพราะเอาแต่คิดเรื่องลามกเมื่อคืน นี่ยังมาโดนหมัดฮุกเข้าอย่างจัง จิรากรรู้เข้าจนได้ว่าเขาชอบรสชาติอาหารเมื่อวานมาก เพียงอึดใจเดียวถุงกำมะหยี่ใบใหญ่ก็วางลงบนผ้าที่เขากำลังขึ้นแบบ โต๊ะกว้างตัวนี้มีอาณาเขตโดยรอบกว้างขวางนัก แต่กลับมีชายสองคนยืนเบียดกันราวกับไม่มีที่ว่างให้ยืน จิรากรเอียงไหล่ไปชนรัญกรทีหนึ่ง ก่อนโน้มหน้ากระซิบข้างใบหู “ดีใจที่รัญชอบ” “ไปนั่งรอผมที่โซฟาครับ เดี๋ยวผมออกไปคุยงานด้วย ส่วนอาหารเดี๋ยวผมเอาไปไว้หลังร้านก่อน” จิรากรทำตามอย่างว่าง่าย เขาเดินล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกมายังโซนรับแขกด้วยท่าทางอารมณ์ดี ขณะนั้นเองก็ได้ยินเด็กหนุ่มฝาแฝดสองคนที่เดินออกมาหยิบของคุยกันถึงเรื่องวันเกิดรัญกร เหมือนว่าจะเป็นวันนี้ของเดือนหน้า เขาพยายามเงี่ยหูฟังรายละเอียด แต่รัญกรก็เดินออกมาเสียก่อน “คุณได้หยิบแบบชุดกับแบบกระดุมที่โซฟามาด้วยไหม?” “เปล่า มีของแบบนั้นด้วยเหรอ ผมไม่ได้เปิดดูเลย” เจ้าของร้านเดินไปหยิบเล่มใหม่มาให้ ทิ้งตัวนั่งลงโซฟาอีกตัวหนึ่ง ก่อนจะเปิดหาแบบกระดุมที่เขาตั้งใจจะเสนอตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ก่อน “คุณจิ กระดุมลายสิงโตสีทองขอบดำของคุณเขาไม่ผลิตแล้วนะ คุณเลือกแบบกระดุมใหม่ได้หรือเปล่า ถ้าจะเอาแบรนด์นี้ผมขอคำตอบก่อนบ่ายสามนะคุณ เขาจะปิดรอบการสั่งแล้ว” “คุณมานั่งใกล้ ๆ ผมหน่อย ผมสายตาสั้น” จู่ ๆ ก็สายตาสั้นขึ้นมาเลย รัญกรรู้ทันตั้งแต่เห็นริมฝีปากหยักยกยิ้มที่มุมปากแล้ว แต่ก็ไม่คิดจะคัดค้าน เพราะรู้ว่าจิรากรเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเก่งมาก ถ้าไม่รีบคุยเรื่องงานให้จบตอนนี้ เกรงว่าจะหาโอกาสได้คุยยากหน่อย เขาขยับไปนั่งข้างจิรากรที่โซฟาใหญ่ วางหนังสือไว้บนตักแล้วเปิดแบบกระดุมให้ดู ก็คิดว่าเป็นการเสนองานที่ใกล้กันพอแล้ว แต่หน้าของจิรากรดันใกล้ยิ่งกว่า คางเรียวแทบจะยื่นเกยอยู่บนไหล่ หันไปหาทีหนึ่งปลายจมูกเกือบชนกัน! ทำตัวรุ่มร่ามจริง ๆ แต่ก็ช่างเถอะ... “แบบนี้ก็สวยนะครับคุณจิ สีทองล้วน ลวดลายสิงโตจะเปลี่ยนไปจากเดิมนิดหน่อย จากสิงโตหน้าตรงเป็นสิงโตหันข้าง” “คุณว่ามันเข้ากับแบบชุดไหมล่ะ” รัญกรเปิดแบบชุดเพื่อนำกระดุมไปเทียบ สร้างภาพในหัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ทรงสูทแบบนี้ กระดุมสีนี้จะเข้ากันไหม ขัดแย้งกับความเงาของเนื้อผ้าหรือไม่ “เลือกผ้าใหม่ดีไหมครับ ถ้าใช้ผ้าที่ลักษณะผิวด้านกว่าแบบก่อน จะดูตัดกับกระดุมสีทองล้วนมากกว่า” “ได้ คุณว่าผ้าแบบไหนดีล่ะ” เขาลุกไปหยิบหนังสือที่รวบรวมแบบผ้ามาเสนอ แนะนำไปสี่แบบให้จิรากรเลือก “อันไหนคุณว่าดี ผมก็เลือกอันนั้น” “ผมว่าแบบนี้น่าจะออกมาสวยครับ” “ได้ ผมเอาอันนั้น” รู้ตัวอีกทีชุดสูทของจิรากรก็แทบจะเปลี่ยนใหม่หมด ทุกสิ่งที่ถูกเปลี่ยน เขาตามใจรัญกรหมดเลยตั้งแต่หัวจรดเท้า เชื่อมั่นในรสนิยมการออกแบบของเจ้าของร้านว่าเขาจะตัดเย็บออกมาได้ดีแน่ ตึก ตึก ตึก “พี่รัญ พวกเราออกไปกินข้าวก่อนนะค้า” ลูกน้องสามคนเดินผ่านโซฟาเพื่อจะออกไปนอกร้าน แต่ละคนหันมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เป็นการหยอกเย้าเจ้านาย มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าตอนนี้รัญกรโดนชายผมขาวข้าง ๆ รุกจีบหนักมาก “รัญหิวหรือยัง กินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวเย็นกว่านี้จะไม่อร่อย” “ก็ได้ครับ เข้าไปกินหลังร้านแล้วกัน แต่หลังร้านร้อนหน่อยนะคุณ มีแต่พัดลม” “สบายมาก แค่รัญยิ้มหวานให้ผมก็รู้สึกเย็นอกเย็นใจแล้ว” นอกจากเบะปากใส่คำหวานเลี่ยนนี้ รัญกรก็ไม่ตอบโต้อะไรกลับไปสักคำ ผู้ชายเจ้าชู้นี่มันฝีปากแพรวพราวแบบนี้เองสินะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจิรากรเจ้าชู้จริงไหม เขาทั้งหล่อทั้งรวย คงมีคู่นอนเข้ามาให้เลือกไม่ขาดมือ ทว่าทำไมเมื่อคืนเขาถึงพึ่งของเล่นผู้ใหญ่ทรงบั้นท้ายกลมกลึงแบบนั้นในการสำเร็จความใคร่กันนะ โปรยเสน่ห์เก่งขนาดนี้ไม่น่าขาดคนมาอุ่นเตียงให้ คิดมาถึงเรื่องนี้มือเรียวสวยก็ต้องยกขึ้นกุมแก้มทั้งสองข้าง เขาหน้าร้อนผ่าวเข้าอีกแล้ว ประตูที่เชื่อมหน้าร้านกับหลังร้านถูกเปิดทิ้งเอาไว้ เพื่อที่รัญกรจะได้มองเห็นส่วนของหน้าร้านด้วย หากลูกค้าเดินเข้ามาเขาจะได้รีบมาต้อนรับ อีกอย่างเกรงใจแขกที่ทำอาหารมาให้ กลัวว่าจะร้อน เปิดประตูไว้แบบนี้แอร์จากหน้าร้านจะได้เข้ามาสมทบกับพัดลมด้วย อาหารสามอย่างถูกจัดใส่จานกระเบื้องอย่างเรียบง่าย จิรากรนั่งเท้าคางกับโต๊ะมองคนเตรียมน้ำและอาหารให้ จะมองตรงไหนก็เพลินตาไปหมดเลย รัญกรเป็นคนที่แต่งตัวเก่ง แฟชั่นที่เขาสวมใส่แต่ละวันมันลงตัวและดูดีมาก กระทั่งมือเรียวที่โผล่พ้นร่มผ้าออกมาก็ยังน่ามอง ไม่ว่าจะเคลื่อนย้ายไปหยิบจับอะไรก็ดึงดูดสายตาได้ทุกองศา เสียดายที่หลังมือด้านขวาต้องมีแผลเป็นจากการต่อสู้กันเมื่อสามปีก่อน จิรากรรู้สึกผิดที่ทำให้มือสวยมีมลทิน ตอนนั้นสู้เพื่อเอาตัวรอด ไม่ได้คิดว่าจะมีความรู้สึกบางอย่างหลงเหลือให้เขาอยากสานต่อมาจนถึงวันนี้ “คุณชอบมองมือผมจัง” “มือรัญสวย ไม่น่ามีแผลเพราะผม” “ช่างเถอะครับ ไม่เป็นไรหรอก กินข้าวกัน” คนหิวเก็บอาการไม่อยู่อีกต่อไปแล้วเมื่อเห็นหน้าตาอาหารและกลิ่นหอมโชย รัญกรตักอาหารเข้าปากอย่างน่าเอร็ดอร่อย เห็นตัวผอมสูงแบบนี้แต่ที่จริงแล้วกินเก่งมาก ตั้งแต่เปิดห้องเสื้อนี้แล้วทำงานหาเงินได้ เขาก็เลือกที่จะกินอะไรที่อยากกิน ซื้ออะไรที่อยากได้ เหมือนปลดล็อกชีวิตที่เมื่อก่อนทำได้แต่ประหยัดอดออม กินข้าวไม่ครบสามมื้อเพื่อเก็บเงินมาทำตามความฝันของตัวเอง “พรุ่งนี้รัญอยากกินอะไร ผมจะทำให้” “อืม... ไม่รู้สิครับ อะไรก็ได้ ผมกินง่ายนะ” “แล้วรัญไม่กินอะไรบ้างล่ะ” “ผมกินได้ทุกอย่างเลย ไม่แพ้อะไรด้วย” จิรากรดีใจมากที่อีกฝ่ายไม่ปฏิเสธการทานข้าวด้วยกันมื้อถัดไป ไม่เอะใจเลยด้วยที่เขาเรียกแค่ชื่ออย่างสนิทสนม มันจะดีแค่ไหนที่ได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกันทุกมื้อไปจนถึงวันที่เขาจะอยู่บนโลกนี้วันสุดท้าย ตั้งแต่เสียผู้เป็นพ่อไป ชีวิตจิรากรก็เคว้งคว้างมากขึ้นด้วยภาระใหญ่ที่แบกไว้บนบ่า เขาเหมือนถูกโรยด้วยปุ๋ยชั้นดีเร่งเติบโต เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งและมั่นคงพอที่จะปกป้องน้องชายอีกสองคนได้ ก็นอกจากน้องชายที่นานทีจะทานข้าวร่วมกันแล้ว เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะอาหารก็อ้างว้างเดียวดายมาหลายปีเหลือเกิน สองปีที่ตามหารัญกร เกือบครึ่งเดือนที่ได้รู้จักกัน จนถึงตอนนี้คนที่เขาตามหาได้นั่งทานข้าวตรงข้ามเขาแล้ว ความรู้สึกเหงาถูกเติมเต็มอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ควรจะชั่งใจและระวังตัวหน่อย แต่เหมือนมีเสียงในใจตะโกนประท้วงอยู่ตลอดเมื่อเผลอตั้งแง่ใส่รัญกร สุดท้ายแล้วแพ้ใจตัวเอง ชักมั่นใจแล้วว่าดีไซเนอร์หนุ่มร่างบางแต่กินจุคนนี้คงไม่มีพิษมีภัยอะไรต่อเขา ทีแรกจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดเพราะไม่เชื่อใจ คิดว่าถูกพวกแม่มดจ้างมาปั่นหัว ทว่ามองไปมองมาก็น่ารักดี อยากมองใกล้ ๆ แบบนี้ไปเรื่อย ๆ รู้สึกว่ารัญกรไม่ได้ร่วมมือกับพวกแม่มดหรอก “รัญกินข้าวบ้าง อย่ากินแต่กับ” “ผมกินข้าวไม่เยอะหรอก ชอบกินกับมากกว่า เห็นมันเหลือแล้วเสียดายน่ะคุณ” จริงอย่างที่ว่า เพราะอาหารตรงหน้าเกือบหมดแล้ว ตัวจิรากรอิ่มแล้วทั้งที่กินไปได้ไม่มาก สงสัยจะอิ่มอกอิ่มใจ ยอมยกกับข้าวที่เขาตั้งใจทำนี้ให้กับรัญกรหมดเลย “แล้วรัญจับพิรุธใครได้บ้างไหม หลังออกมาจากบ้านผมแล้วมีอะไรน่าสงสัยบ้างหรือเปล่า?” “ไม่เลย ทุกอย่างปกติมาก ผมคิดว่าบอดี้การ์ดคุณนั่นแหละที่ทรยศ” “ไม่หรอกมั้ง ไม่รู้สิ ผมดูแลการทำงานอย่างเคร่งครัด พวกเขาไม่กล้าหักหลังผมไปสมคบคิดกับพวกแม่มดหรอก” “คนที่มีอำนาจมากพอที่จะรู้ความเคลื่อนไหวของเจ้านายขนาดนี้ ก็มีแต่บอดี้การ์ดเท่านั้นแหละครับ เขาต้องสำรวจความเรียบร้อยของบ้าน รู้ทุกตารางนิ้ว รู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดี” ความเป็นไปได้ตามที่รัญกรว่ามามันก็พอมี เป็นจิรากรเองที่ทำใจเชื่อไม่ลงว่าลูกน้องจะหักหลังเขา ทั้งที่บริษัทรักษาความปลอดภัยนี้ฝึกอบรมบอดี้การ์ดฝีมือดีเพื่อมาดูแลเจ้านายสามคน เป้าหมายชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องปกป้อง หากมีใครมีความคิดสวนทางกับคนอื่น มันก็น่าจะได้กลิ่นอะไรบ้าง อย่างน้อยจิรากรต้องได้รับรายงานความไม่ปกตินี้ “เราลองคิดไหม ว่าทำไมช่วงเวลาที่มีเรื่องแปลกแบบนั้นเกิดขึ้น ต้องเป็นตอนที่รัญไปหาผมที่บ้านตลอดเลย” “ผมคิดออกอยู่สามอย่างครับคุณจิ อย่างแรกคือเพื่อขู่ให้คุณกลัว อาจเป็นคนที่รู้เรื่องคำสาปคุณ หรือเป็นพวกแม่มดอย่างที่คุณสงสัยก็ได้ อย่างที่สองคือเพื่อทดสอบความสามารถผม องค์กรที่ผมเคยทำงานอาจซื้อคนของคุณไปแล้วก็ได้ อย่างสุดท้ายคือเพื่อทำให้เราสองคนบาดหมางกัน แต่เพื่ออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน” “ทำไมรัญคิดแบบนั้น เราเพิ่งเคยเจอกัน มีเหตุจำเป็นอะไรต้องบาดหมางกันจนสร้างเรื่องแบบนี้ได้” “เป้าหมายมันยังไม่ชัดเจนว่ามันต้องการปั่นหัวผมหรือคุณ ผมก็เดาไม่ออกหรอกครับ แต่ผมคิดจนหัวแทบแตกแล้วก็คิดไม่ออกว่าเคยผิดใจกับใคร ถ้าคนที่เกี่ยวเนื่องกับผมมันมีแค่องค์กรนั้นที่เดียว ผมไม่มีครอบครัว ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน อดคิดไม่ได้ว่าพวกเขาส่งคนมาทดสอบอะไรผมหรือเปล่า” จิรากรเงียบเพื่อคิดตาม รู้สึกอุ่นใจมากที่เขามีเพื่อนคู่คิดอย่างรัญกร ทว่าพอคิดว่าใครเป็นคนทำทีไรก็จนมุมทุกที ฝั่งจิรากรเองก็นึกเรื่องอื่นไม่ได้นอกจากเรื่องคำสาป “ถ้าเราสองคนร่วมมือกัน ผมว่าเราต้องจับตัวมันได้ รัญช่วยอยู่ข้างผมต่ออีกหน่อยได้ไหม ตัวผมคนเดียวผมคิดไม่ออกหรอก” “ก็... ก็ได้แหละครับ” “รัญอยากได้อะไรผมให้หมดเลย ตอบแทนที่รัญคอยช่วยเหลือผม รัญรู้ใช่ไหมว่ามันเสี่ยงถ้ารัญคือเป้าหมาย ต่อให้เป็นอย่างนั้นผมก็อยากปกป้องรัญอยู่ดี” “ไม่เป็นไรครับ ผมปกป้องตัวเองได้ ที่ผมช่วยเพราะผมก็อยากรู้จุดประสงค์ว่าผมเกี่ยวอะไรด้วย ทำไมถึงพยายามยัดเยียดความผิดให้ผมตลอดเลย อยากให้ผมกับคุณแตกคอกันเพราะอะไรกันแน่” “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าทำให้เป้าหมายมันสำเร็จสิ เราควรจะสนิทกันไว้ ผมก็อยากรู้ว่าถ้าเป็นแบบนั้นมันจะทำอะไรต่อ” “นั่นสิครับ ผมเชื่อเหมือนคุณนะ ว่าถ้าเราร่วมมือกัน ช่วยกันคิด ยังไงเราก็ไม่ตกเป็นรองแน่” “งั้นรัญก็ไปหาผมที่บ้านบ่อย ๆ หรือไม่ผมก็มาหารัญที่ร้านบ่อย ๆ ทำให้รู้ว่าเราสนิทกันกว่าที่คิด มันต้องเผยพิรุธอะไรออกมาบ้างสิถ้าไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้” รัญกรยกมือขึ้นลูบคางแล้วพยักหน้ายอมรับความคิดนี้ของอีกฝ่าย เข้าใจว่าการร่วมมือกันเปรียบเสมือนการฮุกหมัดกลับ ตัวคนก่อเรื่องคงไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ได้ การที่พยายามยัดเยียดความผิดให้รัญกรแต่กลับไม่มีใครเชื่อ แบบนั้นจะมาไม้ไหนต่อกันแน่ ทว่าพอช้อนตามองจิรากรตอนนี้กลับพบเพียงใบหน้าเจ้าเล่ห์เพทุบาย ตอนนี้เองที่รัญกรฉุกคิดได้ว่าตกหลุมพรางอีกแล้ว แม้ว่าเขาจะไปหาจิรากรที่บ้าน หรือจิรากรมาหาเขาที่ร้าน ไม่ว่าแบบไหนผลลัพธ์ก็ต้องใกล้ชิดกันอยู่ดี “ผมร่วมมือกับคุณก็ได้ แต่แลกมาด้วยกับข้าวฝีมือคุณได้หรือเปล่าครับ?” “ทำไมครับ รัญชอบมากเหรอ?” “ก็รสชาติดีครับ ผมขี้เกียจออกไปหาร้านอื่นนั่งกินน่ะ” “ขอความจริง ถ้าไม่ชอบจะเอาไปชมลับหลังเหรอว่าหมูอบฝีมือผมอร่อย” “...” “ถ้ารัญไม่ชมจากใจจริง ผมจะเอากำลังใจที่ไหนไปทำอาหารให้กินล่ะ ปกติทำกินเองคนเดียวก็พอกินได้ จะทำให้รัญกินก็อยากได้ความมั่นใจหน่อยว่าคนกินชอบ ไม่งั้นผมไม่ทำให้นะ” “โอเค ผมชอบอาหารที่คุณทำ เวลากินของอร่อยแล้วสมองผมจะทำงานน่ะ คิดอะไรยาก ๆ ออก” รัญกรไม่ใช่คนปากหวาน มันยากมากที่เขาจะพูดเอาใจใครสักคนได้ ก็ไม่เชิงว่าไม่พูดเลยหรอก ตอนพูดกับลูกน้องเขาจะกล้าติ กล้าชม กล้าให้กำลังใจ แต่พอเป็นจิรากรเขากลับรู้สึกไม่กล้าพูดออกไป ไม่กล้าเงยหน้าสบตากันตอนที่ต้องยอมรับว่าอาหารฝีมืออีกฝ่ายอร่อยแค่ไหน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจเพราะรำคาญสายตาหวานหยดนั่นก็เป็นได้ “ผมก็ชอบครับ” “แน่นอนอยู่แล้ว คุณกินฝีมือตัวเองตลอดก็ต้องชอบสิครับ” “ชอบรัญ” เพราะเวลาชีวิตของจิรากรเหลืออีกไม่มาก กรอบเวลาบีบบังคับให้เขากล้ามากขึ้น แต่มันจะได้ผลหากคำหวานเหล่านี้ถูกส่งต่อไปให้คนอื่นที่ไม่ใช่รัญกร เพราะนอกจากจะไม่รู้สึกถึงความจริงใจของผู้พูดแล้ว รัญกรยังทำท่าคลื่นไส้อาเจียนใส่ด้วย “แหวะ ผมคลื่นไส้เลย เก็บคำหวานของคุณไว้เถอะครับ ผมไม่เคลิ้มตามคารมคนเจ้าชู้หรอก” จิรากรหัวเราะร่า ถูกใจที่อีกฝ่ายบอกว่าไม่เคลิ้มตามแต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มไม่หุบ ที่แท้แล้วรัญกรก็เป็นคนที่ชอบทำอะไรตรงกันข้ามกับความรู้สึกสินะ น่าสนุกดี ถ้าได้เพื่อนคู่คิดที่ทั้งฉลาดปราดเปรื่อง แถมอยู่ด้วยแล้วคลายเหงา มันก็ไม่มีอะไรเสียหาย อย่างน้อยได้เป็นมิตรภาพสุดท้ายก่อนตายก็ถือว่าคุ้มแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD