ข่าวร้าย #1

1366 Words
[ ชีวิตสอนให้รู้ว่าความไม่เท่าเทียมนั้น คือสิ่งที่ถูกยื่นให้กับทุกชีวิตอย่างเท่าเทียม ] หนึ่งในข้อความจากหนังสือเล่มหนาที่เธอเคยได้อ่าน และมันก็แสนจะจริงเพราะช่วงชีวิตในอายุวัย 21 ปีของเธอช่างแตกต่างจากวันเวลาที่ผ่านมาราวฟ้ากับเหวลึก ขณะที่ย้อนคิดถึงบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตตลอด 21 ปีที่ผ่านมา หญิงสาวยืนเหม่อมองออกไปจากระเบียงห้องพัก ท้องฟ้าวันนี้เป็นสีครามสดใส เรื่องราวก่อนหน้า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการแสดงโปรเจกต์จบการศึกษา ท่ามกลางครอบครัวของคนอื่น ที่ได้ยินเสียงหัวเราะและหยอกล้อกันดังมาเป็นระยะๆ มีแค่เธอที่ยืนอยู่หน้างานของตัวเองคนเดียว ไม่มีครอบครัวมาแสดงความยินดี แม้กระทั่งช่อดอกไม้หรือของขวัญที่ได้รับ ก็เป็นของรุ่นพี่ รุ่นน้อง และเพื่อนด้วยกันเอง ที่เข้าอกเข้าใจในสภาพครอบครัวของเธอทั้งนั้น ช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน... แต่เธอก็เข้าใจว่าครอบครัวที่เธอมี มันไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนคนอื่นๆ เพราะมีเพียงคุณพ่อที่เลี้ยงดูส่งเสียมาด้วยความรักโดยปราศจากคุณแม่ ซึ่งไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นรูป แต่คุณพ่อก็มักจะพูดอยู่เสมอว่าตัวเธอหน้าเหมือนแม่มากๆ ส่วนคนในครอบครัวอีกคนคือพี่ชาย ที่ป่วยหนักและรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจากการเสพยาเกินขนาด มันไม่ใช่เกิดจากเพราะนิสัยแหลกเหลวอย่างที่คนอื่นตราหน้า แต่เป็นเพราะพี่ชายของเธอถูกรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยบังคับให้เสพและข่มขู่ จนอาการหนักถือขั้นประสาทหลอน และไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ ใครว่าสถานศึกษาคือที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ก็คงต้องยกเรื่องนี้ให้เห็นเป็นตัวอย่างกันชัดๆ ตั้งแต่นั้นมาฐานะทางบ้าน จากปานกลางก็เริ่มดิ่งลงสู่ความอัตคัด เพราะค่ารักษาพยาบาลนั้นมากมายท่วมหัว ซึ่งมีแค่คุณพ่อที่แบกรับภาระคนเดียว ตัวเธอถึงพยายามทุกทางในการช่วยเหลือ ทั้งการเลือกใช้ทุนสำหรับการเรียน และการลดความฝันมาเป็นแค่การเรียนสายจิตวิทยา แทนที่จะเป็นจิตแพทย์ ที่ค่าใช้จ่ายไม่พ้นหลายหลัก แต่ตอนนี้... วันนี้ที่เธอจบการศึกษา พร้อมแล้วสำหรับการเริ่มทำงานตามความฝัน พร้อมแล้วสำหรับการจะต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมของชีวิต หนทางข้างหน้าจะต้องไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้ ‘ยายน้ำ คิดอะไรเศร้าๆ อีกแล้วใช่ไหมเนี่ย... มานี่มา ฉันจะเรียกพลังให้... โอมเพี้ยง! พลังงานลบจงหายไป... ไฮยะ!!’ เสียงพูดพร้อมฝ่ามือคาราเต้ฟาดเข้าที่กลางหน้าผากเบาๆ แต่ก็เจ็บจนรชนิชลสะดุ้ง เป็นฝีมือของเพื่อนสนิทที่สุดของเธอ ที่ดิ่งตรงเข้ามาแสดงความยินดี ‘โอ๊ยๆ ๆ พอเลย มันเจ็บนะ ซี!’ ซี เพื่อนสนิทของเธอที่เรียนการโรงแรมในชั้นปีเดียวกัน เพื่อนเธอคนนี้มีฐานะทางบ้านค่อนข้างดีและมีชื่อเสียงพอสมควร ทว่าซีก็ไม่เคยรังเกียจเธอ กลับคอยอยู่เคียงข้าง คอยให้ช่วยเหลือทุกครั้งที่เธอเอ่ยปาก หรือทุกครั้งที่ซีมีโอกาส ซีคอยโพสต์ประกาศหางานช่วยเธอ จนมีนักศึกษาหลั่งไหลมาให้เธอทำรายงานให้ จนเธอทำไม่ทัน เธอซาบซึ้งใจมาโดยตลอด แถมชื่อของพวกเราทั้งสองยังมีความหมายว่า ‘น้ำ’ เหมือนกันอีกด้วย ซีโชคดีที่ได้เกิดมากับครอบครัวที่เพียบพร้อม แต่เธอก็ไม่เคยมีความอิจฉาริษยาซีเลย เพราะน้ำใจที่ซีหยิบยื่นให้มาโดยตลอด เป็นความรู้สึกโชคดีมากที่ได้รู้จักกับซี ‘วันนี้แด๊ดไม่มาเหรอ?’ รชนิชลเอ่ยถามซี เมื่อเห็นแต่ครอบครัวของซีอยู่อีกฝั่ง ‘ไม่มา แด๊ดติดธุระ... มีแต่คุณแม่ที่มา อยู่ด้านโน้น... คุณแม่บอกให้มาเรียกเธอไปหา ท่านคิดถึง ไม่เจอหน้าเธอตั้งนาน’ ซีชี้ไปทางที่คุณแม่ยืนอยู่ ‘ไปสิ ฉันก็คิดถึงท่านเหมือนกัน’ ‘วันนี้วันสำคัญแท้ๆ แด๊ดกลับติดธุระมาไม่ได้... มันน่าน้อยใจนัก’ ซีบ่นแบบลูกคุณหนูที่โดนตามใจจนเคยชิน รชนิชลจึงช่วยปลอบ ‘อย่าบ่นเลย พ่อของฉันก็ไม่ได้มาเหมือนกัน’ ซีเห็นแบบนั้นก็เลยลากเธอไปร่วมวงกับครอบครัวของตนเอง คงเพราะกลัวว่าเธอจะเหงา และเศร้าที่ไม่มีใครมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ซึ่งทางครอบครัวของซีก็ต้อนรับรชนิชลอย่างอบอุ่นเหมือนเดิม พร้อมด้วยช่อดอกไม้ช่อใหญ่ รชนิชลจึงคิดอีกครั้งว่าโชคดีที่ได้เจอเพื่อนอย่างซี และซีโชคดีมากๆ ที่มีครอบครัวที่พร้อมสมบูรณ์ลงตัว ก่อนเวลาจะผ่านไป ช่วงงานแสดงโปรเจกต์จบลง ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน มีแต่เธอที่นั่งรอให้พ่อมารับ เพราะของที่ต้องขนกลับค่อนข้างเยอะ ตอนแรกซีอาสาจะขับไปส่ง แต่เพราะเธอเกรงใจเลยไม่ได้ไป บวกกับแม่ของซีก็เอ็ดลูกตัวเองว่า ‘ขับรถเหมือนรถไฟเหาะ แถมยังหลงทิศอีก ให้แม่ขับเองดีกว่า สงสารเพื่อนว่าจะปวดหัวสลบก่อน’ พอคิดย้อนไปก็ขำๆ ว่าโลกให้ความไม่เท่าเทียมจริงๆ นั่นแหละ ซีที่เก่งทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่อาการหลงทิศ แยกซ้ายขวาไม่ออกเนี่ยล่ะ นั่งยิ้มอยู่สักพักเธอก็กลับมานั่งคิดถึงคุณพ่อ ว่าจะเซอร์ไพรส์พ่อยังไงดี เพราะตัวเองได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง แต่ยังไม่ได้บอกพ่อ ทว่าไม่ทันไร ความคิดก็หายลับไป แทนที่ด้วยหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบขึ้นมาพร้อมข้อความ ที่ทำให้เธอรู้สึกว่า... โลกช่างเป็นวัตถุทรงกลมที่หมุนเดินอย่างโหดร้าย โดยไม่ส่งสัญญาณใดๆ บอกเลย 19.42 น.. พ่อ : น้ำลูก พี่เมฆเขา...ติดเชื้อในกระแสเลือด เลขเวลาอันโหดร้าย ที่เธอจะจำฝังใจ ไม่มีวันลืม... รชนิชลรีบกดโทรศัพท์หาพ่อทันทีที่ได้รับข้อความด้วยความร้อนใจ ‘พ่อคะ ตอนนี้พี่เมฆเป็นยังไงบ้างคะ’ (ตอนนี้หมอกำลังดูอาการอยู่ลูก... พ่อขอโทษที่ไปรับลูกไม่ได้) ‘ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวน้ำเอาของไปเก็บที่ห้อง แล้วจะรีบตามไปนะคะ’ (จ้ะลูก) เธอขนของออกไปรอแท็กซี่ที่ด้านหน้าอย่างทุลักทุเล ดีที่เพื่อนบางคนยังไม่กลับ และมีน้ำใจมาช่วยเธอ หลังจากเอาของมาเก็บที่อะพาร์ตเมนต์เรียบร้อย เธอก็นั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปโรงพยาบาลเพื่อความรวดเร็ว เมื่อถึงที่หมาย เธอก็รีบพุ่งตรงเข้าไปทางห้องฉุกเฉิน หญิงสาวเห็นพ่อยืนอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เธอก็รีบปรี่เข้าไปหา ก่อนพ่อจะพาเธอเดินเข้าไปในห้อง ในห้องนั้นเธอเห็นพี่ชายที่นอนใส่สายออกซิเจนและสายอื่นระโยงระยางเต็มไปหมด พ่อของเธอน้ำตาซึม แล้วพูดทั้งเสียงสั่นๆ ว่าตัวยาที่รักษามาตลอดมันเกิดต่อต้านทำให้อาการของพี่ทรุดลง เชื้อของยาที่ค้างอยู่ในร่างกายก็เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้อาการหนักขึ้นจนต้องส่งเข้ารักษาฉุกเฉิน แต่อาการของพี่วิกฤตหนัก โรงพยาบาลนี้ไม่มีทรัพยากรหรือแพทย์เฉพาะทางที่จะสามารถรักษาอาการต่อได้แล้ว คงต้องหาโรงพยาบาลใหม่ที่พร้อมกว่านี้ ซึ่งคิวการรักษาของโรงพยาบาลรัฐที่มีทรัพยากรและแพทย์เฉพาะทางพร้อมเพียงพอ ที่เธอและพ่อพอจะจ่ายไหวก็ไม่สามารถรับเคสเพิ่มได้อีกแล้ว ตอนนี้จึงเหลือทางเลือกแค่โรงพยาบาลเอกชนที่ราคาค่อนข้างแพง ทำให้พ่อไม่รู้จะทำยังไงกับพี่ชาย และอาจจะเลือกวิธีการการุณยฆาต เพราะต่อจากนี้... คงไม่สามารถรักษาต่อได้แล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD