1
******เจ้าสาวของทวยเทพ
*****ยื่อจิ้นโต้วจิน
ขอให้ได้รับชัยชนะ เงินทองไหลมาเทมา
*****จินอวี้หม่านถัง
ขอให้ร่ำรวยเงินทอง ทองหยกเต็มบ้าน
เสียงโห่ร้องสรรเสริญจากชาวบ้านดังลั่นไปทั่วเมือง ไม่นานนัก พวกเขาก็ชะโงกหน้าออกมาปิดหน้าต่างประตูทุกบาน ตะโกนออกมาจากภายในบ้านตนแทน ด้วยความเคารพยำเกรงเทพจนตัวสั่น บ้านไหนมีลูกเด็กเล็กแดงคงไม่อยากจะให้เห็นภาพนี้
เจ้าสาวรึ? น่าขันสิ้นดี!
อาเป้ยยิ้มหยันใต้ผ้าคลุมหน้าผืนบาง ซึ่งสามารถมองทะลุผ่านเห็นโลกภายนอกได้ไม่ชัดเจนนัก นางไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวโดยเด็ดขาดเพราะจะถือเป็นลางร้าย
นางใช้วิชาตัวเบากระโดดลงบนเรือ เหยียบยืนอย่างมั่นคงด้วยรองเท้าถักสานสีแดงอย่างดีของนาง
เมื่อเรือลำน้อยแล่นออกจากฝั่งด้วยแรงผลักขององครักษ์ที่พลิกฝ่ามือ ใช้พลังภายในดันสายน้ำ เสียงผู้คนป่าวร้องตะโกนด้วยความยินดี เว้นเพียงมารดาของนางที่กำลังคร่ำครวญปานขาดใจอยู่บริเวณท่าเรือ อาเป้ยเหลียวคอมองร่างสั่นเทาบนพื้นที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ เป็นครั้งสุดท้าย ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอหยาดน้ำตา ด้วยความสงสารมารดาจับใจ
นางจะยอมทำเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนของท่านแม่ก็แล้วกัน
นางคิด พลันหันกลับมายืนตรงอย่างสง่าผ่าเผย ทำความเคารพเทพเจ้าในแบบของนักปราชญ์ ยกฝ่ามือขึ้นเก็บปลายนิ้วโป้ง ก้มศีรษะลงคำนับเทพทั้งสี่ทิศเริ่มจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้แล้วจบที่ทิศเหนือ
การส่งสตรีพรหมจรรย์เป็นเครื่องสังเวยแด่เทพ เป็นเรื่องที่ทำทุกสิบสองปี ตามปีนักษัตรซึ่งท่านเจ้าเมืองเลือกที่จะบูชาแค่เทพหลงเหนียน ***เพียงเทพเดียวเท่านั้น
ท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินสืบสานงานสำคัญมาจากบรรพบุรุษ ด้วยความเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกได้ถือกำเนิดขึ้น และพัฒนาไปข้างหน้า ต้นเหตุทั้งมวลมาจาก 'น้ำ' ท่านจึงเลือกบูชาเทพแห่งน้ำเสียมากกว่าเทพแห่งการเกษตรอย่างเทพเฉินหนง ***และเทพอู๋กู่เซียนตี้ ปฐมกษัตริย์ห้าธัญพืช ******แค่นี้ก็นางก็ว่าแปลกประหลาดแล้ว ดันมีสตรีกล้าหาญลงเรือมาก่อนนางถึงสิบสองคน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตกลับมา แถมนางได้ยินสาวใช้พูดคุยกันอีกทีหนึ่ง ยังไม่เคยพบเห็นเทพด้วยสองตาตนเอง
ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินยังกำชับให้นางล่องเรือผ่านสายน้ำตามทิศทางลมทะเล เพื่อความเป็นสิริมงคล ให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข
เหตุผลของท่านไม่ว่าข้อใด ไม่เข้าท่าเลยสักนิด! เกรงว่านางจะเอาชีวิตมาทิ้งเปล่า ๆ น่ะสิ
อาเป้ยถอนหายใจออกมา นางหันหน้าไปทางทิศเหนือ หลับตาลงตั้งสติ เหยียดฝ่ามือออกชนชิดติดกัน จรดปลายนิ้วโป้งไว้กลางอกอย่างนักพรต อีกข้างนั้นกำลูกประคำของขวัญจากอาจารย์นางไว้มั่น ทันใดนั้นเอง นางได้ยินเสียงตะโกนก้องดังทั่วฟ้า
"อาเป้ย! ชะตาฟ้าลิขิตมิอาจฝืน แต่สำหรับข้าแล้ว..." แสงสีเหลืองทองผุดวาบขึ้นมา จากการวาดฝ่ามือสั้น ๆ ทว่าทรงพลัง สาดแสงสีทองอร่ามกระทบลงบนร่างของเจ้าสาวกลางลำน้ำ
"จะฝืนบ้างก็ได้... ฮ่า ๆ"
เสียงหัวเราะร่าเริงดังต่อเนื่องจากอีกฝั่งของแม่น้ำ เหล่าทหารนับสิบซึ่งประจำการอยู่รอบแม่น้ำทั้งสองฝั่งพยายามจะเข้าไปจับกุมตัวหลวงจีนนอกรีต
อาจารย์ฮุ่ยหมิงสวมอาภรณ์สง่างาม ในชุดนักบวชสีดำคาดสีเหลืองส้ม เพื่อไว้อาลัยและให้เกียรติแด่เจ้าสาวของทวยเทพ มือข้างหนึ่งกำลูกประคำสีขาวมุก เปล่งประกายสว่างไสวด้วยพลังแห่งหยาง
เซียนพรตระดับปรมาจารย์มิได้กลัวเกรงทหารองครักษ์ของเจ้าเมืองหลงอี้จิน ถีบฝ่าเท้าหนีขึ้นอากาศ วาดลีลาวิทยายุทธ์สูงส่งด้วยท่วงท่าสง่างาม ประหนึ่งร่ายรำส่งศิษย์เอก ผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา เป็นทั้งลูกศิษย์และข้ารับใช้ท่านมาตลอดชีวิตของนาง
พร้อมกันนั้น คลื่นน้ำขยับระลอกใหญ่ บอกถึงการปรากฏตัวของเทพ ทหารองครักษ์จึงหยุดการจับกุม วิ่งไปคนละทิศคนละทาง บางคนรีบหาที่กำบังด้านหลังกำแพง เคาะประตูที่พักซึ่งแน่นอนว่าตามธรรมเนียมแล้วจะไม่มีใครเปิดประตู
เจ้าสาวกลางลำน้ำเงยหน้าขึ้นมองแสงสีทองอร่ามราวดวงอาทิตย์ในยามราตรี แสงสว่างสุดท้ายเหนือศีรษะของนาง ด้วยความภาคภูมิใจ
"ข้าเชื่อว่าการเสียสละของเจ้าเพื่อบ้านเมืองครั้งนี้จะไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจิตวิญญาณของเจ้าอยู่ที่ใด จงจำไว้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ข้า อาจารย์ฮุ่ยหมิง! ***ข้ามีเมตตาต่อเจ้า จะนำทางแห่งแสงสว่างให้เจ้าเสมอ"
"ขอบคุณท่านอาจารย์ บุญคุณนี้ที่ท่านชุบเลี้ยงศิษย์มา อาเป้ยไม่มีวันลืม ขอบคุณที่มาส่งข้า!"
นางตะโกนก้องสุดเสียง จากนั้นโลกของนางก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด