9
*******สตรีผู้โง่เขลา
อาเป้ยเพิ่งปลอบประโลมสัตว์อสูรให้กลับมาร่าเริงแจ่มใส ระหว่างที่นางกำลังเดินเล่นกับมัน ใช้เวลาส่วนใหญ่ของนางอยู่กับมัน โดยไม่แยแสอีกหนึ่งเทพแม้แต่น้อย
ในเมื่อเทพอู่เฉินไม่สนใจนางก่อนนางคงไม่ผิดอะไร นางแอบย่องไปดูท่าน เห็นเอาแต่นั่งหลับตาไม่ขยับเขยื้อนใต้ต้นไม้สูงตระหง่านในเมืองเทพ ตั้งใจบำเพ็ญเพียรตั้งสติอยู่กับตน ไม่รู้เป็นเพราะเรื่องวิบากกรรมที่นางพูดหรือไม่ แต่นางคิดว่าใช่เพราะเทพอู่เฉินไม่มาหานาง ไม่ส่งของกำนัลมาให้นางอีก
นางไม่พบหน้าเทพอู่เฉินตั้งแต่ที่นางพูดเรื่องวิญญาณอาฆาตของสตรีทั้งสิบสองนาง
ก็ควรจะเป็นเรื่องดี... กับการกลับสู่ความอ้างว้างเงียบเหงา เมื่อเทพอู่เฉินไม่ใคร่ไยดีนางอีก ทั้งที่เอ่ยปากเองว่าจะมาชื่นชมสมบัติของท่านอย่างสม่ำเสมอ
****,******คำพูดที่พูดออกมา ยากจะเอากลับคืน
เทพอู่เฉินเพียงนำมันกลับคืนไปทั้งหมด! ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับท่านแต่อย่างใด
ใบหน้างามสลดเศร้าก้มลงมองพื้น รองเท้าถักสานอย่างดีเหยียบย่างไปข้างหน้า เคียงข้างเปลวอัคคีซึ่งกลับมาเป็นสีทองอร่ามดังเดิม สภาพจิตใจของเจ้าอสูรพยัคฆ์กลับมาเป็นปรกติเพียงไม่กี่วันต่างจากนาง ผู้กำลังเงยหน้าขึ้นมองตะวันลาลับขอบฟ้าด้วยนัยน์ตาที่ฉายประกายทุกข์ตรม
ดวงจันทร์ปรากฏขึ้นบนท้องนภากว้างในยามโหย่ว ยังไม่มืดค่ำนัก เพียงมีแสงตะวันทอทอดรำไรใกล้อำลาไปในอีกไม่ช้า อาเป้ยย้อนกลับไปห้องนอนในชั้นใต้ดินของนาง จัดแจงผมดำขลับให้นุ่มหอมและไม่ยุ่งเหยิง กระทั่งอาภรณ์ของนางก็ตรวจตรามันให้งดงามอยู่เสมอ ด้วยความหวังเล็ก ๆ ว่าเจ้าของสมบัติจะมาเหลียวแลนางบ้าง ก่อนที่นางจะแอบลอบมองสองบ่าวงูในครัว กำลังเตรียมสมุนไพรไว้ทำการใดสักอย่าง นางเดินอย่างระวังไม่ให้มีผู้ใดสังเกตเห็นนาง บ่าวในเรือนคงยุ่งวุ่นวายกับการทำงานจุกจิกก็คงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นนางทำด้อม ๆ มอง ๆ นางหยิบผ้าผืนเล็กสีขาวบนโต๊ะในห้องครัวคาดหน้าผากของนางเอาไว้ ตั้งใจว่าจะหนีเที่ยวเพื่อคลายเหงาเสียหน่อย
นางคงไม่ไปไหนไกลมากนัก เพราะนางเองก็ไม่อยากจะมีปัญหา
ร่างบางในอาภรณ์สีดำสนิทเดินเลียบกำแพงหินสีขาวซึ่งปกคลุมด้วยไอหมอกสีดำ ฝีมือของเทพอู่เฉินที่กางเขตอาคมเอาไว้ไม่ให้ใครผ่านเข้ามาหากไม่ใช่คนภายในเรือน สะบัดปลายเท้าอย่างผู้ช่ำชองวิทยายุทธ์ กระโดดข้ามต้นไม้ในป่าไผ่ ซ่อนเร้นกายอยู่บนยอดไม้อย่างเงียบเชียบ เพื่อหลบเซียวอี้หรู ซึ่งกำลังพูดคุยกับบ่าวงูคนน้องว่าตอนนี้ข่าวลือของเทพอู่เฉินไม่ค่อยดีนัก
นางแอบฟังเรื่องเทพอู่เฉินให้ความช่วยเหลืออสูรพยัคฆ์อัคคีเพราะนาง พังบ่อบัวของใต้เท้าจีกงเสียราบคาบก็เพราะนาง เทพส่งสารได้รายงานเบื้องบน ราชาแห่งสวรรค์ได้รับคำตอบจากเทพอู่เฉินอีกด้วย เมื่อท่านส่งสารผ่านปลาทองวิเศษ ****īnyú ผ่านทางน้ำไป ตอบด้วยเหตุผลเรื่องความเมตตาของเทพ
การกระทำของเทพอู่เฉินไม่ใช่ความผิด และถ้าหากว่าเทพจะช่วยเหลือปีศาจหรืออสูรตัวเล็ก ๆ เพราะความสงสาร ในอดีตก็เคยมีมา บรรดาปีศาจอสูรจึงชอบใช้บุตรเป็นข้ออ้างในการหลอกลวงเทพ บางตนถึงกับจำแลงกายเป็นเด็กน้อย ทารก เป็นสัตว์ในวัยแบเบาะ ทำให้ตนดูน่าสงสารเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
ท่านราชาแห่งสวรรค์เพียงตักเตือนให้เหล่าเทพระวังตัว ใช้สติปัญญาตรึกตรองในการช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตว่าสมควรหรือไม่ก็เท่านั้น
การที่เทพอู่เฉินเคยเก็บไข่งูสองใบมาชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่ นางก็เพิ่งรู้
เซียวอี้หรู ซื่อหยูอี้เป็นปีศาจงู ตระกูลใกล้เคียงอสรพิษทว่าคงไม่แข็งแกร่งเทียบเท่า ทั้งสองฝักใฝ่กับฝ่ายเทพ ไม่ระรานผู้ใด แม้แต่การแต่งตัวของพวกเขา วาจา กิริยาดูอย่างไรก็เป็นเทพมากเสียกว่าปีศาจหรืออสูร
นี่มันเรื่องอะไรกัน... นางชักจะเริ่มงง สองบุรุษเทพผู้นี้เป็นปีศาจด้วยหรือ?
“ท่านพี่อย่าได้ละวางตาจากนางเป็นอันขาด ข้าว่านางร้ายกาจไม่เบา ถึงนางชอบประพฤติตนเป็นบุรุษ ข้าว่านางรู้จักวางตนให้มีจริตมารยาเยี่ยงสตรี เทพอู่เฉินถึงได้หวงแหนนางนัก”
“ตอนนี้นางอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“นางนอนอยู่ในห้องนอนของนาง นางคงไม่กล้าไปไหน เทพอู่เฉินใช้ตรีเนตรจับตาดูนางอยู่ตลอด”
“เอ๊ะ... ข้าว่าแปลกนัก โดยปรกติแล้วท่านไม่เคยสนใจธิดาบนสวรรค์ สตรีรูปงามเท่าไรท่านไม่เคยแม้จะชำเลืองมองพวกนางด้วยซ้ำไป...”
พวกท่านเองก็ร้ายกาจใช่ย่อย ชื่นชอบการนินทาผู้อื่นลับหลัง ทำนิสัยเช่นสตรี ข้าเป็นสมบัติแสนสวยงามของท่านต่างหากเล่า!
อาเป้ยกัดฟันเข่นเขี้ยวอยู่บนต้นไม้ ต่อว่าพวกเขาอยู่ในใจ แต่พอสองปีศาจอสรพิษเดินไปในอีกทางหนึ่ง นางรีบอุ้มพยัคฆ์อัคคี กระโดดลงมาแล้ววิ่งออกไปอย่างว่องไว ค่อยปล่อยเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนให้เป็นอิสระ เจ้าเหลียนเหลียนก็คอยเดินตามหลังนางอยู่ไม่ห่าง
ถัดจากป่าไผ่ไปเป็นพงไพรอันอุดมสมบูรณ์ พฤกษานานาพรรณชุ่มชื้นเขียวชอุ่ม เหล่ามวลบุปผาบนผืนหญ้าออกดอกอย่างงดงามหลากสีสัน ไม่ไกลนักเป็นแหล่งน้ำสีมรกตซึ่งมีหินมากมายวางเรียงกันอยู่ข้างใต้ เป็นรูปทรงอย่างพอดี
ด้วยความที่นางนึกสงสัยตั้งแต่ตอนอยู่กับสองเทพแห่งสายน้ำแล้วแต่ลืมเลือนมันไปเสีย เมื่อคืนนี้นางนึกขึ้นได้ จึงตั้งใจว่าจะกลับมาดูมัน นางคงได้แต่หวังว่าเทพปีศาจผู้เกรี้ยวกราดจะไม่มาเห็นนางเข้า
“ข้าว่าหินใต้น้ำบริเวณนี้ช่างแปลกประหลาด เทพแห่งสายน้ำบอกกับข้าว่าพวกมันเรียงตัวกันได้เป็นแผนผังของเรือนใต้เท้าจีกง โดยบังเอิญหรือไม่ ข้าไม่คิดว่าจะมีเรื่องโดยบังเอิญบนเทวโลกนี่บ่อยนัก แม้แต่โลกมนุษย์ก็ตาม”
“ข้ามีความคิดเช่นเดียวกับเจ้า แต่หลังจากที่เจ้าพิจารณามันเรียบร้อยดีแล้วเจ้าควรจะกลับไปนั่งเล่นในป่าไผ่เช่นเดิม ให้ดูเหมือนกับว่าเจ้าไม่เคยออกมานอกกำแพงเรือนเทพอู่เฉิน”
เจ้าเหลียนเหลียนถึงเป็นพยัคฆ์อัคคีเด็กไร้ความมั่นใจ มันกลับช่างบ่น ช่างจู้จี้จุกจิกเหมือนเทพอู่เฉิน คอยห้ามปรามนางไม่ให้นางไปไหนต่อไหน อาเป้ยนั่งยองลงตรงหน้าแหล่งน้ำ หันหลังกลับไปหามัน นางกำลังจะเอ่ยปากต่อว่าทำไมมันถึงไม่เข้าข้างนางเลย แล้วไม่เบื่อป่าไผ่รึยังไง ดันสบนัยน์ตาสีแดงฉานเข้าพอเหมาะพอดี
“เทพอู่เฉิน!”
บุรุษเทพในอาภรณ์สีดำยืนถลึงตามองนางอย่างเอาเรื่องเอาราว พูดกับนางด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ
“ตรีเนตรเกิดจากเวทของปีศาจ ไม่ว่าเจ้าจะเอาอะไรมาปิดทับ เจ้าไม่สามารถปิดบังสายตาของข้าได้อาเป้ย ข้ามองผ่านหน้าผากของเจ้าและมองเห็นทุกสิ่งอย่างแม้แต่ที่เจ้ากระโดดขึ้นต้นไม้นั่น หลบซื่อหยูอี้ เซียวอี้หรู เจ้าหัวเสียใส่พวกเขา ข้าก็เห็น...”
เวรกรรมอันใดของนาง! หลุดพ้นจากเทือกเขานักพรตมาได้ กลับต้องมาพานพบอาวุธเวทติดตามตัวของปีศาจ อานุภาพร้ายแรงเช่นนี้
------------------------
****,******หนึ่งคำหลุดจากปาก สี่ม้ายากตามกลับคืน ตามความหมายก็จะหมายความว่า คำพูดที่พูดออกมา ยากจะเอากลับคืน
ถ้าเป็นสำนวนไทยก็ประมาณว่าคนไม่รักษาคำพูดตนเอง แนวๆว่า กลืนน้ำลายตนเอง
คือนางก็งอนอ่าค่ะ บอกจะมาชื่นชมนาง ไยท่านไม่มาหานางเลย แต่นางก็ไปกวนประสาทท่านก่อนอ่าเนอะ
ขอบคุณที่แวะเวียนมาแปะกำลังใจกันนะจ้าา