บทที่ 12 ผิดคาด
รามพยักหน้ารับแล้วขับรถไปตามเส้นทางที่เธอบอก เมื่อไปถึงที่หมายก็พาเธอไปติดต่อขอระเบียบการเรียนต่างๆ ปล่อยให้เธอได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่เงียบๆ
“พี่รามคะ นิดจะไปดูสถานที่กับคุณเจ้าหน้าที่ พี่รามจะไปด้วยไหมคะหรือว่าจะนั่งรออยู่ที่นี่”
“แล้วหนูนิดอยากจะให้พี่ไปด้วยไหมล่ะ”
“นิดตามใจพี่รามค่ะ ถ้าพี่รามเหนื่อยก็นั่งรออยู่ที่นี่ แต่ถ้ายังมีแรงก็อยากให้ไปด้วยกัน”
รามหรี่ตามองใบหน้าอมยิ้มของน้องเมีย ปิดหนังสือที่เปิดอ่านวางลงบนโต๊ะรับแขกแล้วลุกขึ้นยืน
“ดูถูกกันแบบนี้ใครจะยอม คอยดูนะว่าใครจะหอบก่อนกัน”
“ตกลงค่ะ” หญิงสาวยักไหล่พร้อมกับรอยยิ้มสดใส ก่อนจะเดินนำเขาไปหาเจ้าหน้าที่ที่รออยู่หน้าประตู
“อดแข่งกันเลย” รามเอ่ยขึ้นเมื่อถูกพาไปขึ้นรถกอล์ฟที่จอดอยู่ด้านข้างของอาคาร
“ไม่ดีเหรอคะ จะได้ไม่เหนื่อย”
“พี่อยากลบคำสบประมาทมากกว่า”
สิริญ่าคลี่ยิ้มกว้างด้วยความขบขัน ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก เพราะเจ้าหน้าที่เริ่มพูดแนะนำเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย
เที่ยงนิดๆ ทั้งสองก็ออกจากมหาวิทยาลัยและตกลงจะแวะกินข้าวกัน รามตัดสินใจแวะร้านอาหารที่มีห้องแอร์ให้บริการ เพราะรู้สึกว่าวันนี้อากาศร้อนอบอ้าวกว่าปกติ
“หนูนิดอยากได้ของหวานสักถ้วยไหม”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่หนูนิดจะกลายเป็นหมูอยู่แล้ว ป้าศรีทำของหวานให้ทานทุกวันเลยค่ะ”
“พี่เห็นเราก็ออกวิ่งทุกเช้านี่” ทุกเช้าเวลาที่ตื่นนอนเขาจะเดินไปเปิดประตูระเบียงห้องนอนเพื่อสูดอากาศสดชื่นยามเช้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้เขาก็จะเห็นแต่ดอกไม้ใบหญ้าในเขตบ้าน แต่เกือบสองอาทิตย์มานี้เขายังได้เห็นเธอที่วิ่งเหยาะๆ ไปตามทางเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง
“พี่รามเห็นด้วยเหรอคะ”
“เห็นสิ ที่จริงบ้านเราก็มีห้องฟิตเน็ตนะ หนูนิดไม่รู้เหรอ”
“รู้ค่ะ แต่นิดชอบวิ่งแบบธรรมชาติมากกว่า มันได้บรรยากาศและสดชื่นกว่าเยอะ ตอนที่อยู่บ้านนิดก็ไปวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้ๆ บ้านค่ะ จะวิ่งลู่ก็เฉพาะวันที่ฝนตกหรือติดเรียนเช้าเท่านั้น”
“ผิดกับแก้วนะ แก้วเขาชอบออกกำลังกายในห้องฟิตเน็ต ชอบเล่นโยคะ” เขานึกถึงภรรยาสุดที่รัก
“พี่แก้วเขาค่อนข้างคุณหนูค่ะ ผิดกับนิดที่ถึกทน” เธอเอ่ยถึงพี่สาวด้วยน้ำเสียงรักใคร่
รามคลี่ยิ้ม นึกถึงเมียรักที่แสนสุภาพและอ่อนหวาน ผิดกับเธอคนนี้ที่ดูแสบซ่าก๋ากั่นไม่ยอมคน
“พี่เชื่อจ้ะ ถ้าอิ่มแล้วพี่เรียกเขาคิดเงินเลยนะ”
“ค่ะ”
คิดเงินเสร็จแล้วพวกเขาก็กลับมาขึ้นรถ “หนูนิดบอกว่าจะไปไหนต่อนะ” รามถามหญิงสาว
“ถนนโพธิ์แก้ว ลาดพร้าวซอยหนึ่งร้อยหนึ่งค่ะ”
“โอเค เข้าซอยแล้วบอกพี่นะว่าไปยังไงต่อ”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน มองด้านข้างของชายหนุ่มที่กำลังขับรถออกไป “พี่รามไปไม่ถูกเหรอคะ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน พี่อาจจะจำชื่อซอยไม่ได้ ต้องลองไปดูถึงจะรู้” เขาตอบเธอตามความจริง เพราะเส้นทางนี้ก็เคยใช้สัญจรอยู่บ้าง “แล้วหนูนิดจะไปหาใครที่นั่นล่ะ”
เธออึกอักไปเล็กน้อยเพราะไม่ได้เตรียมคำตอบเอาไว้ “.. นิดว่าจะลองไปหาที่เรียนภาษาเพิ่มค่ะ”
“แล้วใครแนะนำให้มาเรียนที่นี่ ใกล้ๆ บ้านเราก็มีตั้งหลายที่”
“คุณแม่แนะนำค่ะ คุณแม่หาเจอทางอินเทอร์เน็ต บอกว่าที่นี่สอนดี เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับชาวต่างชาติที่อยากเก่งภาษาไทย”
“พี่ว่าหนูนิดมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว พูดค่อนข้างชัด เขียนได้ อ่านออกอยู่แล้ว ไม่ต้องเรียนเพิ่มก็ได้” เขารู้เรื่องของเธอมาบ้างจากภรรยา เกี่ยวกับการเรียนเขียนอ่านภาษาไทย ที่มารดาฝึกสอนอย่างเข้มงวดพอๆ กับภาษาประจำชาติอีกภาษาหนึ่งเลยทีเดียว
สำหรับภรรยาของเขานั้นการใช้ภาษาไทยไม่ใช่เรื่องยาก เพราะก่อนจะเดินทางตามมารดาไปอยู่ที่ออสเตรเลีย ก็มีพื้นฐานการเรียนไปบ้างแล้ว แต่สำหรับสิริญ่าที่เกิดและโตที่นั่นนับว่าเป็นเรื่องยากมากทีเดียว แต่เธอก็ทำได้ดีถ้าเทียบกับลูกครึ่งไทยคนอื่นๆ
“นิดรู้สึกว่าตัวเองอ่านเขียนภาษาไทยได้เหมือนเด็กประถมเลยค่ะ นิดอยากจะทำให้ดีกว่านี้ เพราะนิดจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยอีกนาน”
“อย่าคิดมากไปเลย ดูอย่างพวกดาราสิ บางคนเล่นละครเรื่องแรกพูดไทยแทบฟังไม่ออก แต่พอเล่นเรื่องที่สองเท่านั้นแหละ พลิ้วเชียว อย่างหนูนิดนี่ถือว่าเก่งกว่าเยอะ แต่ถ้าไม่มั่นใจเอาไว้ไปเรียนพร้อมกับหลานก็ได้นะ”
หญิงสาวค้อนใส่พี่เขยที่มองมาพร้อมรอยยิ้มล้อเลียน “นิดไม่เรียนกับหลานหรอกค่ะ นิดกลัวเรียนแพ้หลาน เสียหน้าเปล่าๆ”
เธอและพี่เขยคุยกันอย่างถูกคอจนรถเลี้ยวเข้าซอยเป้าหมาย เธอจึงเริ่มเงียบเสียงลงและตั้งใจกับการมองทาง เพราะเมื่อวานตอนที่มาถึงมันมืดแล้ว จึงกลัวจะหลงเลยซอยไป
“เลี้ยวขวาเลยค่ะพี่ราม ข้ามสะพานแล้วเลี้ยวเข้าซอยสองทางด้านขวามือนะคะ” บอกรายละเอียดกับเขา และหวังจะได้เห็นอาการแปลกใจจากเขาบ้าง แต่ก็ไม่มีเลยสักนิด เขาเลี้ยวเข้าซอยตามที่เธอบอกด้วยท่าทางที่ปกติมาก “พี่รามเคยมาแถวนี้บ้างไหมคะ”
“เคยมา เพราะเส้นนี้มันเป็นทางลัดออกนวมินทร์ได้ แต่พี่ไม่เคยเข้ามาในซอยนี้หรอก ไม่รู้ด้วยว่าที่นี่มีโรงเรียนสอนภาษา” เขาอยากเสนอให้เธอลองถามพินแพรดูอีกคน เพราะรู้ว่าพินแพรอยู่ย่านนี้ แต่ถ้าพูดออกไปอาจจะทำให้อารมณ์ที่กำลังบรรเจิดของเธอเปลี่ยนไป ก็เลยไม่พูดดีกว่า
“เลี้ยวเข้าซอยซ้ายมือนี่เลยค่ะ”
รามเลี้ยวซ้ายเข้าซอยหมู่บ้านตามที่หญิงสาวบอก แลกบัตรที่ป้อมยามพร้อมแจ้งความจำนงเมื่อถูกถาม
“ขับรถตรงไปสุดทางแล้วเลี้ยวขวา วิ่งตรงไปบ้านหลังสุดท้ายหัวมุมขวามือเลยค่ะ”
“ทำไมที่เรียนมันลึกลับซับซ้อนแบบนี้ล่ะ พี่ว่าอย่ามาเรียนเลยนะหนูนิด เดี๋ยวพี่จะหาที่เรียนใกล้ๆ บ้านให้ ไม่เอาดีกว่า หาครูไปสอนที่บ้านเลยดีกว่า”
“นิดก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะ แต่ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว นิดขอไปดูให้แน่ใจหน่อยนะคะ บางทีนิดอาจจะมาผิดที่ก็ได้” เธอยอมเชื่อฟังอย่างว่าง่าย เพราะจริงๆ แล้วไม่ได้มาหาที่เรียนอย่างที่พูด แต่มาเพราะต้องการให้เขาได้เห็นว่า พินแพรโกหกเรื่องทำบ้านต่างหาก แต่ก็ไร้ค่าเพราะเขาดันไม่รู้จักบ้านเธอ
“ได้จ้ะ”