ห้าปีก่อน
รถยุโรปคันหรูสีดำทะมึนวิ่งไปตามเส้นทางแสนทุรกันดานจากแถบชายแดนอิตาลีมาจนถึงซุนดาลี ประเทศเล็กๆที่กำลังเกิดเหตุการณ์รุนแรงจนกลายเป็นเมืองร้าง วิวสองข้างทางที่เคยเขียวขจีมีป่าทึบสลับกับทุ่งหญ้า ภาพชินตาคือชาวบ้านเดินแบกขนของป่าที่หาได้เพื่อนำกลับไปประกอบอาหารเลี้ยงครอบครัว กลุ่มเด็กๆที่รีบวิ่งหลบลงข้างทางและยืนมองความงามของรถอย่างตื่นตา ภาพเก่าๆเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้นถูกแทนที่ด้วยควันดำโขมงคลุ้งเกิดจากร่องรอยระเบิด การเผาไหม้ แม้แต่ท้องฟ้ายังมืดครึ้มหยาดฝนเริ่มหยดแหมะบนกระจกรถจนมาเฟียหนุ่มต้องครางเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อรถราคาแปดหลักต้องโดนทั้งฝุ่นซ้ำด้วยฝน
สภาพรอบนอกกับภายในรถที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำและเพลงคลอเบาๆ ช่างต่างกันราวกับอยู่คนละโลก ปลายนิ้วเคาะพวงมาลัยตามจังหวะเพลงดวงตาคู่คมเหลือบมองหลุมใหญ่จากแรงระเบิดข้างทางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
‘ผมพอใจกับสินค้าล็อตใหม่ของคุณมาก’
“ขอบคุณ”
เสียงเข้มตอบรับปลายสายก่อนดึงหูฟังทิ้งไว้เบาะข้างๆ
“จะเปลี่ยนการปกครองใหม่อีกแล้วสินะ ซุนดาลี”
เขาพึมพำเมื่อรถเคลื่อนผ่านหมู่บ้านขนาดเล็ก มองสภาพอาคารบ้านเรือนมอดไหม้ ผู้คนคงอพยพหนีตายไปทางเหนือ หลงเหลือเพียงซากปรักหักพังและร่องรอยของการสูญเสียด้วยพลังทำลายล้างจากแรงระเบิดที่นำเข้าจากอิตาลี ผลิตโดยบริษัท “DARK”
..ใช่ เขามาชื่นชมผลงานเพื่อพัฒนาปรับปรุงอาวุธให้ก้าวล้ำขึ้นกว่าเดิม
ขณะขับรถด้วยความเร็วเพียงเก้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง สัญญาณในรถดังขึ้นเมื่อระบบตรวจจับอันทันสมัยเจอวัตถุบางอย่างขวางทางบนกลางถนนในอีกห้าร้อยเมตรที่จะถึง
ติ๊ด ติ๊ด
“อะไร” คิ้วหนาขมวดขึ้นพลางเอื้อมไปสัมผัสหน้าจอเพื่อขยายภาพเพ่งมองบางอย่างด้วยความสงสัย
นั่นคน!
ไม่อยากจะเชื่อว่าที่นี่ยังมีมนุษย์หลงเหลืออยู่ รอดระเบิด กระสุนมาได้อย่างไรกัน แต่หากหนีทันก็คงสำลักควันตายไปแล้วสินะ แต่นี่อะไร ไปหลบที่ไหนมา?
“ทำบ้าอะไรน่ะ”
มาเฟียหนุ่มชะลอความเร็วลงเกินครึ่งเพื่อสังเกตการณ์เมื่อมีคนยืนโบกสองมือขึ้นเป็นเชิงสัญลักษณ์เพื่อขอความช่วยเหลือ ดูจากลักษณะรูปร่างน่าจะเป็นผู้หญิง
เมื่อขับไปใกล้จนกระจ่างชัดเขาพบห่อผ้าสีขาวเปื้อนคราบดินโคลนจนกลายเป็นสีกากีแกมเทาวางอยู่ข้างทาง ข้างในมีทารกนอนดิ้นขลุกขลักอยู่ ทันใดนั้นมาเฟียหนุ่มรีบเบรกล้อรถกะทันหัน หยิบแว่นตาดำขึ้นสวมก่อนก้าวเท้าลงจากรถ
“ฮึก ช่วยด้วย ได้โปรดช่วยเราด้วย”
เสียงขอความช่วยเหลือปนสะอื้นนั้นส่งผลให้ร่างล่ำสันรีบสาวเท้าไปถึงตัวหล่อนที่สวมชุดยาวกรุยกรายเลอะโคลนแห้งกรัง ด้านบนใช้ผ้าอ้อมผืนใหญ่ที่เคยเป็นสีขาวปกคลุมศีรษะมุมผ้ารัดคางไว้
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้ามอมแมม ร่างบางรีบโผไปช้อนห่อผ้านั้นขึ้นมาแนบอกพร้อมหันไปมองชายร่างใหญ่ด้วยแววตาร้องขอ
“ช ช่วยฉัน กับลูกด้วย”
หญิงร่างบางฮวบลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ทว่าวงแขนทั้งสองเกร็งแน่นไม่ยอมปล่อยคล้ายว่าฝืนมีชีวิตอยู่เพื่อทารกน้อย
ฟรังค์โก้ เมแกน มอนเดอริโอ ทรุดกายนั่งยองๆเคียงข้างหล่อนพลางถอดแว่นดำออก เพ่งมองทารกน้อยใบหน้าเกลี้ยงเกลาในห่อผ้าแสนโสโครกนั้นด้วยสายตาขุ่นขวาง
...เด็กน้อยคนนี้รอดมาได้อย่างไร? ดูทำหน้าเข้าสิ ช่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย
“แอ๊ะ.. แอ้..”
เด็กน้อยตะเบงเสียงอ้อแอ้แข่งกับเสียงฟ้าร้องได้อย่างเหมาะเจาะ
“...!”
ความคลางแคลงในดวงตาทำให้มาเฟียหนุ่มชะงักไป กลายเป็นขมวดคิ้วขึ้นสูงพลางยกมุมปากขึ้นอย่างประหลาดใจ เมื่อทารกน้อยนั้นส่งเสียงร้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับทักทายเขา แต่ที่น่าทึ่งสุด คงเป็นมือของเด็กน้อยนั่นที่บังเอิญชูนิ้วกลางให้เขาอีกด้วย
“ขึ้นรถ!”
ร่างใหญ่ลุกขึ้นพลางยื่นมือรอรับหล่อน
“เร็วๆ ฝนจะตกแล้ว”
ใบหน้าเรียวมอมแมมเงยขึ้นมองเขาด้วยแววตาแสนเศร้า