“ขอบคุณ ..ฮึก ขอบคุณมากค่ะ” เธอละล่ำละลักพลางใช้มือขวาดันพื้นถนนเพื่อพยุงตนเองขึ้นแทน
แต่กลับเซซัดเกือบทรุดฮวบลงพื้นอีกครั้งหากเขาไม่รีบเอื้อมมือช้อนวงแขนเข้าช่วย
หมั่บ
“ฟู่วว”
มัวแต่ถือเนื้อถือตัวจนเกือบพาลูกล้มแล้วมั้ยเล่า
รังเกียจอย่างนั้นหรือ เหอะ เขาสิที่ควรจะเป็นฝ่ายรังเกียจมากกว่า
“เร็วๆ”
มาเฟียหนุ่มผละวงแขนออกพร้อมเดินนำหน้าไปเปิดประตูรถเบาะด้านหลังให้ก่อนขับพาเธอและลูกออกจากจุดอันตรายนี้ให้เร็วที่สุด
เสียงร้องไห้โยเยของทารกน้อยกับแม่ที่พยายามกล่อมให้หยุดนั้นช่างสะท้อนถึงปัญหาสงครามในซุนดาลีได้อย่างน่าเวทนานัก
อาจจะเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับความเดือดร้อนของชาวบ้านตาดำๆ ได้เห็นความทุกข์ทรมานมันกับตา จากที่รู้สึกเฉยๆกลับเกิดความเวทนาแทรกเข้ามาในหัว
“ชู่วว ไม่ร้องนะลูก ไม่ร้องนะคนดี”
เสียงหวานใสกล่อมลูกน้อยสะกิดใจให้เขาเผลอช้อนสายตาขึ้นมองกระจกเพื่อมองหล่อนบนเบาะหลัง
Oops!
ใบหน้าเข้มชะงักงันเมื่อดันเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้าหล่อนกำลังงัดเต้าขาวอวบออกมาให้ลูกดื่ม
มาเฟียหนุ่มขับรถไปเรื่อยๆทว่าใบหน้ากลับดูไม่จืดแววตาลอกแลกเมื่อกำลังบังคับสายตาไม่ให้มองกระจกหลัง ..ว่าแต่ แม่ลูกอ่อนอะไรป้านปทุมถึงได้เป็นวงเล็กยอดสีแดงสด.. อืม เมื่อดันเผลอคิดอะไรทะลึ่ง เขารีบสะลัดความคิดบ้าๆนั่นออกแล้วหาเรื่องคุย
“อะแฮ่ม..ไปหลบอยู่ที่ไหน?” ถามเสียงเข้มต่ำ
“ใต้สะพานค่ะ”
“นานแค่ไหนแล้ว?”
“สอง ..? น่าจะสองวัน”
“หา? แล้วมีอะไรตกถึงท้องเธอบ้างหรือยัง?”
เขาถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเธอเอาแต่ป้อนนมลูกทั้งที่ตัวเองอ่อนแรงขนาดนี้
“ยังค่ะ” เธอตอบเสียงแผ่วคล้ายใกล้จะหมดสติในไม่ช้า
“อ่ะนี่ รีบกินซะ”
เขาโยนแซนวิสสองห่อที่พกไว้ติดรถเผื่อหิวขณะเดินทางพร้อมด้วยน้ำเปล่าขวดใหญ่ยื่นไปให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ”
มือเล็กเปื้อนโคลนรีบแกะห่อแซนวิสเสียงดังกร็อบแกร็บก่อนกัดคำโตกลืนลงท้องแทบไม่ถึงนาทีด้วยความหิวโหย มืออีกข้างประคองลูกน้อยเข้าเต้า อีกข้างถือขวดน้ำขึ้นกระดก มาเฟียหนุ่มเหลือบมองกระจกเมื่อได้ยินเสียงเปิดฝาขวด จึงชะลอความเร็วและขับอย่างนุ่มนวลสุดเพราะห่วงว่าเธอจะสำลักน้ำ
“จอดค่ะ ฉันจะลงตรงนี้”
“หืม?” คิ้วหนาเลิกขึ้น หันไปมองเธอด้วยความงุนงง
..กินอิ่มแล้วจะลงเลย?
“เธอจะอยู่ที่นี่ได้ยังไง ตายเปล่าๆ เดี๋ยวฉันไปส่งให้ถึงโซนตอนเหนือแล้วกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เมื่อกินอิ่ม สมองเริ่มไตร่ตรองได้ว่า ชายที่ช่วยเหลือเธอคงไม่ใช่นักท่องเที่ยวธรรมดาหรอก ใครกันจะกล้ามาเที่ยวซุนดาลีในช่วงสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ นอกเสียจากเขาคือคนใหญ่คนโตฝ่ายกบฏที่เธอเกลียดแสนเกลียดเพราะพวกมันคือตัวการสร้างความวุ่นวายจนเกิดสงครามในแถบโซนภาคตะวันตกที่เธออาศัยอยู่นี้
“ฉันมาจากอิตาลี เป็นนักท่องเที่ยวหลงทางมา ไม่ใช่คนซุนดาลี และไม่ทำอะไรเธอหรอกน่า”
เขาตอกกลับชนิดอ่านใจเธอออกจนเธอต้องเงียบกริบ
“ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยจอดให้ฉันลงตรงทางขึ้นเขาอีกประมาณสิบห้ากิโลเมตรข้างหน้านะคะ”
“หืม?” เขาตวัดหางตาเหลือบมองเธออย่างหงุดหงิด
ตกลงแม่นี่ปกติไหม คนอุตส่าห์จะไปส่งในพื้นที่ปลอดภัยกลับเลือกจะพาลูกไปลำบากบนเขา
มาเฟียหนุ่มเลือกที่จะไม่เสวนากับหล่อนต่อ หยิบมือถือติดต่อลูอิสเพื่อถามไถ่ถึงสถานการณ์แถบภาคกลางของซุนดาลีด้วยภาษาอิตาเลียนเพราะไม่ต้องการให้เธอทราบตัวตนเขาพาลตื่นกลัวจนกระโดดรถหนี
“ที่นั่นเป็นไงบ้าง”
‘กำลังเกิดจลาจลใหญ่ครับ กบฏขับไล่ผู้นำสำเร็จ ใกล้จะเป็นเมืองร้างเหมือนทางแถบทิศตะวันตกแล้วครับนาย เดี๋ยวผมกำลังกลับ นายรีบกลับเขตรอยต่อเถอะนะครับ ตอนนี้กลุ่มกบฏกำลังวางแผนใช้ระเบิดใหญ่พังเขื่อนกะจะให้ฝั่งตะวันตกเป็นเมืองใต้น้ำเลยครับ’
“หืม? ..ตอนนี้กูกำลังไปหมู่บ้านเชิงเขา”
‘หา กลับรถเดี๋ยวนี้เลยครับนาย มันมีด่านดักยิงพวกชาวบ้านที่ยังหลงเหลืออันตรายนะครับถึงไม่ยิงนายแต่ก่อนจะเห็นหน้า รถเจ้านายโดนกระสุนต้อนรับจนเยินแน่ครับ’
“มึงก็แจ้งพวกมันไว้เซ่”
‘ยากครับนาย ตอนนี้สัญญาณขาดหายติดต่อลำบาก’
“เห้อ งั้นมึงส่งพิกัดมา”
‘โอย กลับเถอะครับ’
“หุบปาก รีบส่งพิกัดด่านนั่นแล้วขับรถออกมาหากูซะ”เสียงทุ้มตวาดลูกน้องลั่น ทำให้เธอหวาดกลัวจนตัวสั่น กอดลูกไว้แน่น ตอนนี้เธอไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
‘โอยนาย มาทำไมครับเนี่ย’ ลูกน้องคนสนิทของเขาโอดครวญแต่ยังทำตามคำสั่ง
ฟรังค์โกเปิดดูพิกัดแล้วเบรกรถกะทันหันทำเอาหล่อนหลุดอุทานเสียงหลง
“อุ๊ย ลูก!”
“ข้างหน้ามีด่านดักยิง รีบๆล้างหน้าล้างตาให้สะอาดแล้วมานั่งเบาะข้างๆฉันซะ!”
“ค่ะๆ” เธอรีบทำตามคำสั่งอย่างรนราน
ขณะที่ใบหน้าเรียวยื่นออกนอกกระจกถูไถคราบสกปรกแล้วถอดผ้าคลุมศีรษะมาซับใบหน้าเกลี้ยงเกลาลวกๆ
มาเฟียหนุ่มอ้าปากตะลึงราวกับถูกมนต์สะกดเมื่อมองผ่านกระจก หล่อนปล่อยผมดำขลับยาวสยาย ใบหน้าเรียวเล็ก ผิวเนียนละเอียด จมูกโด่งเชิดรับกับริมฝีปากบางกระจับได้รูป ดวงตากลมโตน่ารักราวกับหญิงสาววัยใสก็ไม่ปาน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เสียงหวานปลุกให้เขาหลุดจากภวังค์ความคิด
“อาห์ อืม”เมื่อเพิ่งนึกได้ว่าต้องถอดแจ๊คเก็ตยีนส์ให้เธอสวม “อ้อ เดี๋ยวฉันต้องถอดเสื้อตัวนี้ให้เธอใส่นะ”เขารีบถอดทันที
“สวมซะ แต่ก่อนอื่นเธอต้องถอดชุดคลุมเน่าๆออกแล้วสวมแจ็คเก็ตฉันแทน..”
“เอ่อ ได้ค่ะ แต่”
“เห้อ ฉันไม่มองหรอกน่า” เอ่ยอย่างรู้ทัน และเอื้อมมือไปปิดกระจกมองหลังเพื่อให้มั่นใจหล่อนจึงถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกเผยเสื้อกล้ามสีขาวกับหน้าอกหน้าใจที่ใหญ่จนล้นขอบเสื้อกล้าม สวนท่อนล่างนั้นโชคดีที่กระโปรงด้านในไม่เปื้อนมาก
“เสร็จแล้วก็มานั่งเบาะข้างฉันสิ”
“ค่ะ” หล่อนช้อนลูกน้อยที่กำลังหลับปุ๋ยไว้แนบอกก่อนก้าวเท้าข้ามมานั่งเบาะข้างเขา
“เอาล่ะ พวกนั้นมันเลือกกำจัดเฉพาะคนซุนดาลีที่หลงเหลืออยู่ ฉันคือนักท่องเที่ยวมันไม่ทำอะไร ฉะนั้น เธอต้องแสดงว่าเป็นเมีย และนี่ก็คือลูกฉันนะ ห้ามทำหน้าตื่นกลัวเด็ดขาด โอเคไหม?”
“ค่ะ” หล่อนหายใจเข้าลึกสุดก่อนผ่อนลมหายใจออกช้าๆ เมื่อด่านอันตรายนั้นเข้าใกล้ทุกขณะ เขายกฝ่ามือชูนิ้วขึ้นเป็นสัญญาณให้เธอเตรียมพร้อม
“สาม
สอง
หนึ่ง..เริ่ม”