..เช้าวันรุ่งขึ้น...
องค์ฮ่องเต้จงไท่หยวนทรงรีบรุดมาหาอนุชาของตนถึงในตำหนักที่อ๋องเจ็ดนอนพักรักษาตัวด้วยสีหน้าที่ระงับความตื่นเต้นดีใจเอาไว้แทบไม่อยู่
“น้องเจ็ด น้องเจ็ด”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นหน้าตำหนักทำให้อ๋องเจ็ดจงไท่หยางค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ เนื่องด้วยตนต้องทนทรมานจากการปวดศีรษะไปหลายชั่วยาม เพิ่งจะข่มตาให้หลับลงได้เมื่อยามอิ๋น (เวลา 03.00น.) นี้เอง
“ถวายพระพรพี่สี่พ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องเจ็ดจงไท่หยางลุกขึ้นมาคุกเข่าถวายพระพรข้างเตียงทันทีเมื่อพบว่าฮ่องเต้จงไท่หยวนได้เสด็จเข้ามาหาตนถึงในห้องนอนแล้ว
“ลุกขึ้นเร็วเข้าน้องเจ็ด เมื่อคืนข้านอนคิดทั้งคืนถึงวิธีในการช่วยรักษาเจ้าและแล้วข้าก็คิดออกแล้วหนึ่งวิธี” ฮ่องเต้จงไท่หยวนเอ่ยขึ้นอย่างดีพระทัย
“วิธีการใดหรือพ่ะย่ะค่ะพี่สี่?” อ๋องเจ็ดจงไท่หยางเอ่ยขึ้นอย่างมีความหวัง
“ในเมื่อรักษาเจ้ามาหลายวิธีแล้วอาการของเจ้ายังไม่ดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ข้าเลยคิดว่าจะเชิญไต้ซือที่วัดต้าลู่บนภูเขาเทียนซานลงมาช่วยทำนายดวงชะตาของเจ้าและแนะนำถึงวิธีการรักษาเจ้าอย่างไรเล่าน้องเจ็ด”
“พี่สี่ ไต้ซือที่ท่านพูดถึงคงไม่ใช่ไต้ซือเมี่ยวซ่านหรอกนะ?”
อ๋องเจ็ดจงไท่หยางเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้วน้องเจ็ด คนที่ข้าพูดถึงก็คือไต้ซือเมี่ยวซ่านนั่นเอง ทำไมหรือ?” ฮ่องเต้จงไท่หยวนตรัสถามขึ้นด้วยความสงสัย
“พี่สี่ ไต้ซือเมี่ยวซ่านนั้นผู้คนล้วนร่ำลือกันไปทั่วว่าท่านได้บรรลุธรรมขั้นสูงเปรียบดังเทพเซียนในร่างของมนุษย์ ชอบปลีกวิเวกยิ่งนัก ใช่ว่าจะพบตัวและเข้าถึงท่านได้ง่าย ๆ แล้วพี่สี่จะไปขอให้ท่านมาช่วยทำนายถึงแนวทางการรักษาข้าได้อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“น้องเจ็ดเจ้าไม่รู้อันใดเสียแล้ว ทุกสามปีไต้ซือเมี่ยวซ่านจะลงจากเขามาโปรดสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก และช่วยพยากรณ์ถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ หากเราหาไต้ซือเมี่ยวซ่านพบ ข้ามีความเชื่อว่าไต้ซือนั้นย่อม
ต้องมีวิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้าได้เป็นแน่”
องค์ฮ่องเต้ตรัสขึ้นอย่างมีความเชื่อมั่นในวิธีที่ตนเพิ่งคิดขึ้นมาได้เป็นอย่างมาก
“แล้วไต้ซือเมี่ยวซ่านจะลงจากเขามาเมื่อไหร่รึพ่ะย่ะค่ะพี่สี่?”
“สองวันข้างหน้า ข้าจะให้คนไปดักพบและเรียนเชิญไต้ซือมาเมี่ยวซ่านมาที่วังหลวงให้จนได้” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น
“ขอบพระทัยพี่สี่ยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องเจ็ดจงไท่หยางเอ่ยขึ้นอย่างซึ้งใจ
“แล้ววันนี้อาการปวดหัวของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างน้องเจ็ด?”
“หลังจากกินยาแก้ปวดที่หมอหลวงจัดให้ อาการปวดหัวของข้าก็พอทุเลาลง แต่ก็ยังปวดอยู่บ้างเป็นพัก ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนก่อนเถิดนะน้องเจ็ด หากเชิญไต้ซือเมี่ยวซ่านเข้าวังมาได้แล้ว ข้าจะให้ไต้ซือเข้ามาพบเจ้าทันที” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นพร้อมทั้งเดินออกจากตำหนักไปอย่างเงียบ ๆ
ณ ภูเขาเทียนซาน ยามซวี (เวลา 20.00น.) เวลากลางคืนที่ดวงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้า ไต้ซือเมี่ยวซ่านได้แหงนหน้าขึ้นมองดูดวงดาวบนท้องฟ้ามาได้นานหลายเค่อแล้ว จนลูกศิษย์ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า
“เรียนถามท่านอาจารย์ มิทราบว่าท่านเฝ้ามองดูดวงดาวบนฟ้ามาเนิ่นนานด้วยจุดประสงค์อันใดหรือขอรับ?”
“อาหลง อีกสองวันข้างหน้าอาจารย์ต้องลงจากเขาไปโปรดสัตว์แล้ว อาจารย์จึงต้องทำนายดวงชะตาผ่านดวงดาวว่าบุคคลที่มีวาสนาตรงกันกับอาจารย์และควรได้รับการช่วยเหลือนั้นเป็นใคร อยู่ยังทิศใดอย่างไรกันเล่า” ไต้ซือเมี่ยวซ่านตอบพร้อมทั้งลูบเครายาวสีเงินยวงของตนอย่างใช้ความคิด
“แล้วท่านอาจารย์จะไปโปรดสัตว์ยังที่ใดกันหรือขอรับ?”
“วังหลวงแคว้นลู่ โปรดท่านอ๋องเจ็ดจงไท่หยาง” ไต้ซือเมี่ยวซ่านตอบเพียงเท่านั้นจึงหมุนตัวเดินกลับไปยังอารามเพื่อทำสมาธิต่อทันที
สองวันผ่านไปขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า
ไต้ซือเมี่ยวซ่านและอาหลงลูกศิษย์คนสนิทได้พากันเดินทางลงจากเขาเพื่อไปโปรดสัตว์ตามคำทำนายจากดวงดาวตั้งแต่ยามเช้าตรู่
“ท่านอาจารย์ วังหลวงแคว้นลู่นั้นอยู่ห่างไกลจากภูเขาเทียนซานของเราหลายร้อยลี้ยิ่งนัก เดินทางหลายวันหลายคืนกว่าจะถึง เหตุใดเราจึงมิไปยังวัดต้าเจาที่อยู่ใกล้ชานเขาเหมือนเช่นครั้งก่อนเล่าท่านอาจารย์ ผู้ใดต้องการความช่วยเหลือจากเราก็ต้องเป็นฝ่ายที่ต้องเดินทางมาหาเรามิใช่หรือขอรับ?” อาหลงโอดครวญขึ้นเมื่อเดินทางลงจากเขามาได้เพียงห้าลี้เท่านั้น
“สวรรค์ลิขิตแล้วอาหลง ไยเจ้าจะต้องพูดบ่นให้มากความเช่นนี้ด้วยเล่า?” ไต้ซือเมี่ยวซ่านเอ่ยขึ้นอย่างสงบ
“หากเจ้าไม่อยากลงจากเขาไปกับอาจารย์ เจ้าก็กลับขึ้นเขาไปเสียเถิดอาหลง อาจารย์ไม่ตำหนิเจ้าหรอก แต่อาจารย์จะตำหนิตนเองมากกว่าที่สั่ง
สอนศิษย์ไม่ได้เรื่องเอง”
“ข้าผิดไปแล้วอาจารย์ ขออาจารย์ยกโทษให้ข้าด้วยเถอะนะ นักบวชย่อมต้องบวชเพื่อแสวงหาความหลุดพ้นและมีเมตตาโปรดสัตว์ มิใช่มีเพียงการพูดบ่นและไม่ยอมอดทนต่ออุปสรรคกับเรื่องที่ต้องได้ประสพพบเจอเช่นนี้” อาหลงเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งคุกเข่าลงตรงหน้าท่านอาจารย์
“ลุกขึ้นเถิดอาหลง เห็นเจ้าคิดได้เช่นนี้ อาจารย์ก็มีกำลังใจในการสั่งสอนศิษย์ต่อไปแล้ว” ไต้ซือเมี่ยวซ่านเอ่ยขึ้นอย่างมีเมตา
การเดินทางผ่านไปอีกหลายชั่วยามจนกระทั่งตะวันเริ่มจะลับขอบฟ้า สองลูกศิษย์อาจารย์จึงได้เดินทางลงมาถึงตีนเขาเทียนซานพอดี
เมื่อเดินทางลงมาถึงก็พบเข้ากับขบวนรถม้าและองครักษ์ฝีมือดีราวหกคน ทุกคนต่างเข้ามาเข้ามาแสดงความคำนับ และหนึ่งในองครักษ์ได้ถามขึ้นมาว่า “ไต้ซือ ท่านจะเดินทางไปยังที่ใดหรือ แล้วท่านคือไต้ซือเมี่ยวซ่านใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วอาตมาคือไต้ซือเมี่ยวซ่านเอง ประสกมีธุระอันใดกับอาตมาเช่นนั้นรึ?” ไต้ซือเมี่ยวซ่านเอ่ยถามด้วยความสงบ
“ข้าได้รับพระบัญชาจากองค์ฮ่องเต้ให้มารับไต้ซือเข้าไปยังวังหลวง” องครักษ์คนหนึ่งกล่าวขึ้น
“เจ้ามีอันใดบ่งบอกว่าองค์ฮ่องเต้ทรงส่งเจ้ามาเช่นนั่นรึ?” อาหลงกล่าวแทรกขึ้นมาด้วยความหวาดระแวง
“ข้ามีตราหยกประจำพระองค์มาด้วย” องครักษ์ที่ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น
“จะเป็นตราหยกประจำพระองค์จริงหรือเท็จก็ไม่มีผู้ใดรู้นะท่านอาจารย์” อาหลงกระซิบกระซาบกับอาจารย์ของตนเสียงเบา
“องค์ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เชิญไต้ซือเมี่ยวซ่านเข้าไปยังวังหลวง รบกวนท่านไต้ซือกับลูกศิษย์ขึ้นนั่งในรถม้านี้ด้วยเถิด”หนึ่งในองครักษ์กล่าวเชิญ
“อมิตาพุทธ” ไต้ซือเมี่ยวซ่านเอ่ยขึ้นพร้อมกับขึ้นนั่งในรถม้าทำให้อาหลงต้องรีบวิ่งตามอาจารย์ของตนไปติด ๆ
ขบวนรถม้าใช้เวลาทั้งสิ้นสองชั่วยาม (สี่ชั่วโมง) จึงเดินทางเข้ามาถึงเขตของวังหลวง
“ขอเชิญไต้ซือพักผ่อนที่ตำหนักรับรองนี้ไปก่อน ข้าจะให้คนจัดเตรียมอาหารมาให้ พรุ่งนี้ยามเฉิน (เวลา 07.00น.) จะมีคนพาท่านไต้ซือไปเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้” องครักษ์ที่พาไต้ซือเมี่ยวซ่านมาส่งยังตำหนักเอ่ยขึ้น
“อมิตาพุทธ” ไต้ซือเมี่ยวซ่านกล่าวเพียงเท่านั้นก็นั่งประจำที่ทำสมาธิต่อไปทันที
วันพรุ่งเมื่อยามเฉินมาถึง ขันทีผู้หนึ่งจึงได้มานำทางพาไต้ซือเมี่ยวซ่านไปยังตำหนักที่ท่านอ๋องเจ็ดพักรักษาตัวอยู่ เมื่อขันทีนำส่งไต้ซือที่หน้าตำหนักเสร็จแล้วจึงรออยู่ที่หน้าตำหนัก และให้ไต้ซือเมี่ยวซ่านกับลูกศิษย์เดินเข้าไป
ภายในตำหนักกันสองคน
เมื่อก้าวเข้าไปในตำหนักได้สักพัก ไต้ซือเมี่ยวซ่านก็พบเข้ากับบุรุษในชุดคลุมมังกรกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยท่าทีที่สง่าผ่าเผยเปี่ยมล้นไปด้วยบารมี ส่วนบุรุษอีกผู้หนึ่งนั้นอยู่ในชุดสีดำเข้มปักด้วยดิ้นทองรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ดูมีกลิ่นอายของการฆ่าฟันและกลิ่นอายของบุรุษเพศอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
“คารวะฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงมีพระชนม์มายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี คารวะท่านอ๋องเจ็ด ขอพระองค์ทรงมีพระชนม์มายุยืนพันปี พันพันปี”
ไต้ซือเมี่ยวซ่านเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งประสานมือคำนับผู้สูงศักดิ์ทั้งสองพระองค์ ทางด้านอาหลงก็ถวายความคำนับตามแบบอาจารย์ของตนด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ
“คารวะท่านไต้ซือ”
ฮ่องเต้จงไท่หยวนและองค์เจ็ดจงไท่หยางตรัสขึ้นและยกมือขึ้นคำนับไต้ซือเมี่ยวซ่านเช่นเดียวกัน
“ตามสบาย ไม่ต้องมากพิธีนะ ขอบใจไต้ซือมากที่ตอบรับคำเชิญของข้ามายังวังหลวงในวันนี้” องค์ฮ่องเต้ตรัสขึ้นพร้อมกับยกชาขึ้นจิบไปด้วย
“ไม่ทราบว่าประสกทรงมีพระประสงค์ใดให้อาตมาช่วยเหลือเช่นนั้นหรือ?” ไต้ซือเมี่ยวซ่านเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง
“ข้าทราบมาว่าไต้ซือนั้นมีความสามารถทางด้านโหราศาสตร์อย่างยิ่ง เลยอยากขอให้ท่านช่วยทำนายทายทักให้กับอ๋องเจ็ดจงไท่หยางถึงการรักษา
อาการปวดศีรษะของเขาด้วยจะได้หรือไม่?”ฮ่องเต้ตรัสขึ้นอย่างมีความหวัง
“ทูลประสก อาการปวดหัวของท่านอ๋องเจ็ดนั้นรักษาได้ง่ายนิดเดียว เพียงแต่.....” ไต้ซือเมี่ยวซ่านเอ่ยอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ
“เพียงแต่อันใดหรือท่านไต้ซือ?” อ๋องเจ๋ดจงไท่หยางเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เพียงแต่ท่านอ๋องเจ็ดทรงมีพระชายาที่เป็นคู่แท้ของพระองค์มาคอยดูแลอยู่เคียงข้างกาย อาการปวดหัวของท่านอ๋องเจ็ดก็จะหายลงไปแล้วถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว” ไต้ซือเมี่ยวซ่านตอบพร้อมกับหลับตานับลูกประคำในมือไปด้วย
“ไต้ซือกล่าวราวกับว่าหวางเฟยของข้าเป็นดั่งยาวิเศษอย่างไรอย่างนั้นเลยนะ” อ๋องเจ็ดจงไท่หยางเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ
“แล้วถ้าหาก ข้าอยากหายขาดจากอาการปวดหัวไปเลยต้องทำอย่างไรเช่นนั้นรึ?”
“เมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านอ๋องเจ็ดย่อมต้องรู้ด้วยตนเองโดยมิต้องให้ใครมาบอกแน่นอนว่าต้องทำวิธีการใด ถึงจะสามารถหายขาดจากอาการปวดหัวได้” ไต้ซือเมี่ยวซ่านตอบพร้อมทั้งระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย
“แล้วใครกันเล่าที่จะมาเป็นชายาของน้องสี่ได้?” ฮ่องเต้จงไท่หยวนทรงตรัสถามขึ้นด้วยความสงสัย
“บุคคลที่เกิดวันที่แปด เดือนแปด ขึ้นแปดค่ำ ปีทู่เหนียน (ปีกระต่าย) จะมาย้ำเตือนความรักให้สว่างไสวขึ้นภายในใจของท่านอ๋องเจ็ด พลังแห่ง
ความรักนั้นจะช่วยรักษาอาการปวดหัวของท่านอ๋องเจ็ดได้พ่ะย่ะค่ะ"
ไต้ซือเมี่ยวซ่านตอบ
“แล้วอีกนานแค่ไหน ข้าถึงจะได้พบเจอกันกับนาง?”
อ๋องเจ็ดจงไท่หยางเอ่ยถามขึ้นอย่างมีความหวัง
“แล้วข้ากับนางจะรักชอบกันได้อย่างไร ข้าเดาทางไปไม่ถูกเลยจริง ๆ” อ๋องเจ็ดจงไท่หยางเอ่ยขึ้นพร้อมกับนวดคลึงขมับของตนไปมาเบา ๆ
“เรื่องนี้คงสุดแท้แต่สวรรค์ลิขิต ขอประสกอย่าได้วิตกกังวลมากจนเกินไปนักเลย”
ไต้ซือเมี่ยวซ่านเอ่ยขึ้นพร้อมกับค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และพูดต่อไปว่า
“หมดธุระของอาตมาแล้ว อาตมาต้องขอตัวไปโปรดสัตว์ที่อื่นต่อ คงต้องได้ขอตัวลาไปก่อนแล้วนะ”
“ขอบคุณไต้ซือมากที่ช่วยสละเวลามาช่วยทำนายทายทักและให้คำแนะนำในการรักษาอาการปวดหัวให้กับข้าในวันนี้” อ๋องเจ็ดจงไท่หยางเอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งตัวลงมาเล็กน้อย
“ไม่ทราบว่าไต้ซือจะเดินทางไปยังที่ใดต่อ ข้าจะได้ให้องครักษ์ไปส่ง” ฮ่องเต้จงไท่หยวนตรัสขึ้น
“ขอประสกอย่าได้ยุ่งยากอันใดกับอาตมาต่อไปเลย ด้วยอาตมาจะเดินทางไปเรื่อย ๆ ตอนนี้ยังไม่มีจุดหมายใด จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้องครักษ์ไปส่ง อาตมาขอทูลลา”
ไต้ซือเมี่ยวซ่านเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งยกมือขึ้นคำนับก่อนจะเดินออกจากตำหนักไปพร้อมกันกับลูกศิษย์ ทิ้งให้องค์ฮ่องเต้จงไท่หยวนและอ๋องเจ็ดจงไท่หยางต่างนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดไปกันคนละแบบ