ตอนที่ 1 บทนำ
เมี้ยว~เมี้ยว~
จินหมี่ เด็กสาววัยแปดขวบ หน้าตาน่ารักสไตล์อาหมวยอยู่ในชุดเอี๊ยมกางเกงยีนขาสั้น เสื้อยืดซับในสีขาว เธอเดินเล่นในสวนหลังบ้าน แต่ต้องหยุดฝีเท้าพลางเงี่ยหูฟัง เมื่อได้ยินเสียงร้องลูกแมวดังแว่ว ๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่ เธอเดินตามเสียงจนกระทั่งเจอต้นมะม่วง ขนาดไม่สูงไม่ใหญ่จนเกินไป ครั้นแหงนหน้าขึ้นมอง ก็พบกับลูกแมวตัวเล็กติดตรงกลางซอกไม้ ส่งเสียงร้องไม่ขาดห้วงราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ
“เจ้าแมวน้อยลงเองไม่ได้สิท่า ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวจินหมี่สุดสวยคนนี้จะช่วยเอง” น้ำเสียงสดใสเอ่ย ดวงตาซุกซนรีบมองหาสิ่งที่จะพาลูกแมวลงมาได้อย่างปลอดภัย จึงสะดุดตากับบันไดที่พิงอยู่ตรงตัวบ้าน “เจอแล้ว”
ริมฝีปากจิ้มลิ้มฉีกยิ้มร่า สองเท้าเล็กรีบวิ่งตรงดิ่งไปที่บันได ออกแรงลากมาอย่างทุลักทุเล เพราะเกินกำลังที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอจะแบกมาอย่างคล่องแคล่ว…
“ปลอดภัยแล้วนะเจ้าแมวน้อย” จินหมี่อุ้มลูกแมวสู่อ้อมแขน แมวน้อยสีขาวส่งเสียงร้องเบา ๆ ต่างออกไปจากเสียงร้องที่ดังแจ้วเต็มไปด้วยความกลัวเมื่อครู่
เด็กสาวเตรียมตัวลงจากบันได แต่ยามที่ก้มหน้ามองด้านล่าง พบว่าจุดที่ตัวเองอยู่สูงพอสมควร จนทำให้ความกลัวแทรกเข้ามาแทนที่ความกล้า ขาทั้งสองข้างต่างพากันสั่นเทาโดยอัตโนมัติ
“อึก!” จินหมี่กลืนน้ำลายลงท้องอึกใหญ่ แววตาคู่สวยสั่นระริกรีบเงยหน้าขึ้น ไม่กล้าก้มมองข้างล่างอีก ครั้นจะก้าวขาก็ไม่กล้าเพราะกลัวตก “เรื่องแค่นี้อย่าป๊อดสิยัยคนสวย”
กึก ๆ !
จินหมี่หลับตาอย่างทำใจ แล้วเรียกความมั่นใจให้ตัวเองอีกครั้ง โดยที่ลูกแมวก็ส่งเสียงร้องเป็นระยะคล้ายส่งกำลังใจให้เด็กสาว แต่พอก้าวขาที่สั่นเทาเหยียบคันบันไดเท่านั้นแหละ บันไดกลับสั่นไหวราวกับกำลังจะทรุดตัว
“ไม่นะ!” เด็กสาวหลับตาปี๋พร้อมทั้งจับราวบันไดแน่น ขณะหัวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งด้วยความหวาดกลัว แต่ความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่…
“จับให้แน่น แล้วทรงตัวให้ดี”
“…” บันไดหยุดนิ่งพร้อมทั้งเสียงทุ้มของใครบางคน ทำให้จินหมี่ถอนหายใจออกมาโล่งอก เธอหลิ่วตามองด้านล่างอีกครั้ง พบกับเด็กหนุ่มแปลกหน้าผิวขาว หน้าตาดูดี จับประคองบันไดให้เธออยู่ เธอจึงพาลูกแมวลงมาได้อย่างปลอดภัย…
“ขาบันไดน่าจะชำรุดนานแล้วนะ พอถูกใช้งานซ้ำก็พังอย่างที่เห็น”
“อือ ขอบคุณนะ นายชื่ออะไร อายุเท่าไหร่? แล้วเป็นลูกหลานใคร? ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”
“ขอตอบทีละคำถามแล้วกันนะ” เฟิงเฮยเด็กหนุ่มวัยสิบขวบยกยิ้มมุมปากอย่างรู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวตั้งแต่แรกเห็น จากวาจาและท่าทางของเธอ น่าจะแลดูแสบไม่เบา “ฉันเฟิงเฮย อายุสิบปี พ่อเธอกับพ่อฉันน่าจะเป็นเพื่อนกัน”
“อ๋อ~ถึงนายจะอายุมากกว่าฉัน แต่ฉันไม่ขอเรียกพี่นะ ห่างกันแค่สองปีเอง ถือว่าไม่มาก”
“ไม่มีปัญหา” เฟิงเฮยไหวไหล่อย่างไม่ถือสาสรรพนามที่เด็กสาวใช้เรียกตนเอง
“ฉันชื่อ…”
“จินหมี่” เจ้าของชื่อไม่ทันจะได้แนะนำตัว เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นตัดบทเสียก่อน
จินหมี่พยักหน้าหงึก ๆ ริมฝีปากจิ้มลิ้มส่งยิ้มน่ารักให้เด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่า แล้วหลุบตามองลูกแมว ที่กำลังใช้ศีรษะถูไถบริเวณท้องของเธออย่างออดอ้อนเออเซาะ พร้อมทั้งส่งเสียงร้องเมี้ยว ๆ อย่างน่ารักน่าเอ็นดู โดยมีสายตาเฟิงเฮยมองจินหมี่พูดหยอกกับลูกแมวอย่างไม่ลดละ ริมฝีปากหยักได้รูปอมยิ้มแย้ม แววเป็นประกาย
“…”
หลังจากสวดอภิธรรมเสร็จ แขกคนอื่น ๆ ต่างก็ทยอยกันกลับ
“กลับก่อนนะครับคุณฟานเสี่ยว”
“ขอบคุณนะครับที่มาร่วมงานศพภรรยาผม” ฟานเสี่ยวรู้สึกโศกเศร้าและอ่อนแอไม่น้อย ที่ต้องสูญเสียภรรยาสุดที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับด้วยโรคร้าย แต่ทว่าด้วยความเป็นผู้นำและเป็นหัวหน้าครอบครัว จึงต้องเก็บอาการเป็นพิเศษ ซึ่งต่างจากลูกชายวัยสิบสองปี…
“…” เฟิงเฮยยังคงนั่งคุกเข่าร้องไห้เสียใจหน้าโลงศพของผู้เป็นแม่ไม่ยอมลุกไปไหน
“สงสารตาเฟิงเฮยจริง ๆ” กานดาภรรยาทศกร แม่ของจินหมี่เอ่ยออกมาน้ำตาคลอ สงสารและเห็นใจเด็กหนุ่มจับใจ ที่ต้องสูญเสียแม่ไปตั้งแต่เยาว์วัย คงรู้สึกเคว้งคว้างว้าเหว่น่าดู
“ถึงแม้คุณวรรณสาจะไม่อยู่แล้ว ผมว่าไอ้ฟานเสี่ยวต้องทำหน้าที่ ทั้งพ่อทั้งแม่ให้ตาเฟิงเฮยได้อย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่องแน่นอน” ทศกรเอ่ยน้ำเสียงเศร้า
“…” จินหมี่หญิงสาววัยสิบปีน้ำตาไหล มองไปที่เฟิงเฮยโดยไม่คาดสายตาด้วยความสงสารและเป็นห่วง ไม่ต่างจากพ่อและแม่ของเธอ
“หนูไปหาเฟิงนะคะ” ไม่รอคำตอบจากผู้เป็นพ่อและผู้เป็นแม่ เธอปาดน้ำตาออกจากพวกแก้มลวก ๆ แล้วเดินเข้าไปหาเฟิงเฮยทันที
เฟิงเฮยชำเลืองหางตามองคนที่เดินมานั่งข้าง ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองที่โลงศพของผู้เป็นแม่เช่นเดิม โดยที่น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งไหลอย่างไม่ขาดสาย ในขณะที่มือเล็กเอื้อมมากุมมือหนาบนหน้าขา ออกแรงบีบเล็กน้อยอย่างให้กำลังใจ แม้จะไร้คำพูดจากจินหมี่ แต่กลับทำให้เฟิงเฮยรู้สึกอบอุ่นใจเป็นที่สุด
“…”
-----------------------------