ตอนที่2.หนทางที่เลือกเอง
ฉันปิดร้าน ยกเลิกออเดอร์ที่เพิ่งรับไว้หมาดๆ ทิ้ง ฉันคงไม่มีแก่ใจทำอะไร ความรู้สึกของฉันตอนนี้ดิ่งติดก้นเหว ฉันเดินโซซัดโซเซกลับเข้าไปด้านใน บ้านหลังเล็กที่เป็นที่ซุกหัวนอน และเคยเป็นรังรักของฉันกับผู้ชายที่เพิ่งเดินจากไป ฉันทิ้งตัวนอนแผ่บนโซฟาสีขาว รีบยกมือปิดหน้า เพราะภาพความทรงจำเก่าๆ ย้อนกลับเข้ามาทำให้ฉันรู้สึกเศร้ามากขึ้น
ทุกตารางนิ้วในบ้านหลังนี้ ฉันกับเขามีความทรงจำร่วมกัน
เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้น เป็นเขาและฉันที่เลือกซื้อมาด้วยกัน โดยหวังว่า บ้านหลังนี้จะเป็นจุดที่ทำให้ฉันกับเขาเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ฉันคงเพ้อฝันมากเกินไป ไม่ได้คิดถึงความเป็นจริงเลย
นวินเติบโตมาในคฤหาสน์หลังใหญ่ เขาไม่เคยชินกับการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย เขาเป็นคุณหนูที่ถูกฟูมฟักจากมารดาของเขา ทุกครั้งที่เขาหิวมักจะมีอาหารร้อนๆ รอให้เขาเลือกชิม เขาไม่ต้องกระเสือกกระสนและต้องทำงานขายแรงแบบฉัน
เขานั่งทำงานในห้องกว้างๆ เปิดแอร์เย็นฉ่ำ แบบไม่ยี่หระกับราคาค่าไฟฟ้า ครอบครัวมั่งคั่งของเขาหล่อหลอมเขาเป็นแบบนั้น ซึ่งเขาเคยทำให้ฉันหวัง เขาอาจจะชอบแบบที่ฉันเป็น
แต่ทั้งหมดนั่นเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ของฉันเอง
“อืออออ...” ความรู้สึกหมดหวังโถมใส่ฉันไม่หยุด
น้ำตาของฉันไหลออกมาเหมือนสายธารา ฉันจมอยู่กับความเศร้านานเท่าไหร่ ฉันเองก็ไม่แน่ใจนัก ตอนที่ฉันลืมตา ความมืดก็ปกคลุมรอบตัวฉันเสียแล้ว
ลำคอฉันตีบตัน แสบร้าวไปทั้งกระบอกตา
ร่างกายของฉันเหมือนคนหมดแรง ฉันทรงตัวนั่งเอนกายพิงพนักโซฟา นอนหลับตานิ่งๆ เกือบครึ่งชั่วโมง
ฉันโผเผเดินไปที่ห้องนอน แต่แล้วความทรงจำเก่าๆ ก็ย้อนกลับมาในห้วงความคิดทำเอาฉันแทบก้าวขาไม่ออก ฉันเคยบอกแล้วนี่ ทุกตารางนิ้วในบ้านหลังนี้ล้วนมีความทรงจำของฉันกับเขาที่ทำร่วมกัน ฉันยืนตัวแข็งทื่อ ความรู้สึกหมดอาลัยตายยากกระแทกเข้ากลางแสกหน้า จากนี้ไป ฉันจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง ในเมื่ออนาคตของฉัน จากนี้ไป ไม่มีทางเหมือนเดิม
ฉันไม่มีเขาอยู่ข้างตัวอีกต่อไปแล้ว
ฉันทิ้งตัวนอนแผ่ ไม่รู้สึกรู้สากับทุกสิ่งรอบข้าง ฉันนอนหลับตา แต่ฉันไม่ได้หลับ ฉันรับรู้ถึงเวลาที่เดินไปข้างหน้า แต่ฉันไม่มีแก่ใจจะทำอะไรอีก ฉันนอนอยู่แบบนั้น เหมือนคนที่ตายไปแล้ว ความคิดของฉันค่อนข้างสับสน ฉันไม่สามารถลืมความทรงจำที่มีร่วมกันได้ ฉันรู้สึกสิ้นหวังจนนึกอยากตาย...
ปี๊นๆ เสียงบีบแตรรถดังอยู่หน้าบ้าน ฉันพยายามลืมตา แต่ทว่ากลับไม่สามารถทำได้เหมือนเก่า เปลือกตาฉันหนักอึ้ง ฉันยกมือลูบใบหน้า เปลือกตาของฉันบวมปริบจนน่าตกใจ คงเป็นเพราะฉันร้องไห้ตลอดทั้งคืนนั่นเอง
“ไปไหนนะ ธรรมดาไม่เคยปิดร้าน” ฉันเหลือบมองเวลาหลังได้ยินเสียงบ่นพึมพำ สายแล้ว เสียงแตรนั่นคงเป็นรถส่งน้ำแข็งเจ้าประจำที่แวะมาส่งน้ำแข็งในทุกๆ เช้า ฉันฝืนความรู้สึกอ่อนล้าของตัวเอง พยายามทรงตัวยืน แต่เหมือนกับว่าเรี่ยวแรงที่เคยมีหดหายไปทั้งหมด เรื่องง่ายๆ เช่นการยืนเลยกลายเป็นเรื่องยากสำหรับฉันในตอนนี้
ตืดดดด....
เสียงโทรศัพท์ดังเตือน ฉันควานมือหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ไกลมาแนบข้างใบหู
“วันนี้ปิดร้านเหรอครับ” น้ำเสียงคนคุ้นเคยดังแทรกมา
“ฉันไม่สบายน่ะ” ฉันพยายามเค้นเสียงพูด คนปลายสายคงได้ยินเสียงแหบแห้งของฉัน
“ไหวไหมพี่?” เสียงผสมความเป็นห่วง ฉันอดน้ำตาคลอไม่ได้
“ไหว” ฉันตอบสั้นๆ
“นอนพักนะพี่ พรุ่งนี้ละยังปิดร้านต่อไหมครับ” คำถามต่อมาทำฉันอึ้ง
นั่นสิ ฉันจะนอนทอดอาลัยต่อ หรือลุกขึ้นมาสู้ต่อดี
“ไม่ละ เดี๋ยวดีขึ้นจะลุกไปเปิดร้านแล้ว” ฉันตอบหลังนิ่งไปหนึ่งอึดใจ
ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยท้อแท้อะไรง่ายๆ แค่อกหัก ไม่ได้ทำให้ฉันตายสักหน่อย
“น้ำแข็งวันนี้ พี่ยังรับไหมครับ หรือให้ผมแวะมาอีกทีตอนบ่ายๆ”
“เอาสิ สักเที่ยงๆ นะค่อยมา ขอนอนต่ออีกสักนิดเถอะ” ฉันตอบแล้วก็กดวางสาย มันรู้สึกเคว้งคว้างไปหมด ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรเริ่มต้นทำอะไรก่อน ฉันควรหาอะไรใส่ท้องเผื่อบางทีฉันจะมีแรงสู้ชีวิตต่อ
แต่ฉันไม่รู้สึกหิวเลย ทั้งที่ฉันไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ตอนสายๆ ของเมื่อวาน แม้แต่น้ำฉันก็ไม่ได้กิน
ฉันฝืนความรู้สึกตัวเองลุกขึ้นอาบน้ำเป็นสิ่งแรก ฉันใช้เวลาร้องไห้ใต้สายน้ำอีกเกือบครึ่งชั่วโมง ฉันรักเขามาก เลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง ฉันตั้งใจกับความรักครั้งนี้มากเกินไปสักหน่อย และวาดหวังอนาคตไว้ไม่น้อย
เมื่อจู่ๆ มันพังทลายลง ฉันเลยอดเฟลฟ์ไม่ได้
ตืดดดดด... ฉันเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ที่กะพริบถี่ๆ
“มีอะไรคะเฮีย?” หลังกดรับ ฉันก็ถามเสียงเนือยๆ
“เปล่า เฮียสิต้องถามเรา มีอะไรหรือเปล่าเสียงเราน่ะแปลกๆ” ปลายสายย้อนถาม
“เหนื่อยไงเฮีย ร้อนด้วย” ฉันหาข้ออ้างที่คิดได้สดๆ ตอนนั้น
“ถึงบอกไง จะลำบากไปทำไม ในเมื่อมีวิธีที่สบายกว่ารออยู่” เสียงบ่นตามมาติดๆ
“เฮียสัญญากับเขมแล้วนะ” ฉันทักท้วง
“รู้แล้ว แต่มันอดได้ที่ไหน นิสัยไม่ยอมคนแบบเราน่ะ มันใช้สมัยนี้ไม่ได้ผลแล้ว อะไรที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง ยอมได้ก็ยอมบ้างเถอะ” ฉันรู้ ทุกคำพูดนั่นเป็นเพราะหวังดีกับฉัน แต่ฉันเลือกทางนี้แล้ว รอให้ฉันไม่ไหวก่อน ฉันถึงจะยอมรับว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกน่ะผิด
“งานยุ่งไม่ใช่เหรอคะ?” ฉันเปลี่ยนเรื่องพูด
“รู้แล้วทำไมถึงไม่กลับมา หากมีเราเพิ่มมาอีกคน เฮียน่าจะเหนื่อยน้อยกว่านี้”
“ขอเวลาเขมอีกสักพักเถอะค่ะ”
“แน่นะ ระบุมาเลยกี่วันกี่เดือน เฮียไม่อยากคาดเดาเอาเอง” เสียงนุ่มๆ เปลี่ยนเป็นคาดคั้น
“เร็วๆ นี้แหละเฮีย” ฉันควรเลิกดันทุลังสักที
“วันนี้ดึกๆ เฮียจะแวะไปหา” คงเพราะหลายครั้งที่ฉันทำให้พวกเขาผิดหวัง ครั้งนี้คนที่เคยว่าง่าย เลยไม่เหมือนเก่า
“ไหนบอกงานยุ่ง”
“เขม สำหรับเราน่ะ ต่อให้ยุ่งแค่ไหนเฮียก็มีเวลาให้เสมอ”
“อือ...” ฉันตอบแล้วก็รีบกดวางสาย ฉันกลัวว่าคนปลายสายจะจับพิรุธของฉันได้
ฉันมีเวลากว่าสิบชั่วโมงสำหรับทำให้ตัวเองกลับมาอยู่ในสภาพเดิมและไม่มีใครจับได้ว่าฉันไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ฉันเปิดร้านตอนเที่ยงตรงพอดี พนักงานส่งน้ำแข็งมาตามเวลาที่นัดไว้ตรงเป๊ะ ฉันฝืนยิ้มกร่อยๆ ให้ สีหน้าของฉันคงซีดเซียว จนคนอื่นอดไม่ได้ที่จะทัก
“ไม่ไหวก็ไปพักเถอะครับ หน้าพี่สาวซีดมากเลย”
“หายแล้ว แค่ไม่ได้แต่งหน้าเอง” ฉันแก้ตัว หลังจากนั้นก็ฉวยตลับแป้งมาเกลี่ยรอยคล้ำใต้ดวงตา ฉันแต่งหน้าให้เข้มขึ้น ฝืนกลืนอาหารลงท้อง แม้จะไม่รู้สึกอยากกินอะไรเลย
ฉันพยายามโฟกัสแค่งาน และเหมือนรอบตัวจะรู้ หากฉันต้องการจะ 'ลืม' ฉันต้องทำตัวให้วุ่นวาย ออเดอร์จากแอพพลิเคชันเลยเข้ารัวๆ ฉันยุ่งแทบไม่มีเวลาพักหายใจ
ตกเย็นฉันค่อนข้างว่าง อาจจะเป็นเพราะถึงช่วงสิ้นเดือนแล้วก็ได้ ตอนค่ำๆ ผู้คนเลยออกไปเที่ยวเตร่ หรือไม่ก็จับจ่ายซื้อหาของใช้ในบ้าน ฉันเตรียมจะปิดร้านและตั้งใจว่าจะออกไปซื้ออุปกรณ์ที่พร่องลงไปมาตุนไว้ด้วย
แต่ทว่า...เพราะมีอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญแวะมาหา
ความตั้งใจเดิมของฉันเลยถูกพับเก็บไปก่อน
“ขอเวลาฉันสักสิบนาทีสิ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ” ผู้หญิงสาวสวยแปลกหน้า ฉันแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักกับหล่อนมาก่อน
กลิ่นน้ำหอมที่ระเหยของมาจากตัวหล่อน ทำเอาฉันผะอืดผะอมไม่น้อย
“คุณเป็นใครคะ มีธุระอะไรกับฉันเหรอ?” ฉันถามเพราะอยากรู้จริงๆ คนแปลกหน้าตรงหน้า ต้องการคุยธุระกับฉันด้วยเรื่องอะไร
“ฉันชุติภา จิรวินเธอน่าจะเคยได้ยินชื่อฉันผ่านหูเธอมาบ้าง” ฉันขมวดคิ้วคิดตาม และฉันแน่ใจ ฉันไม่เคยได้ยินชื่อเช่นนี้ผ่านเข้ามาในหน่วยความทรงจำของฉันมาก่อน
“ไม่นะคะ ฉันไม่เคยได้ยินใครพูดถึงคุณเลย”