ตอนที่10.แค่คนทรยศ
เหมือนที่เขตคามคาดคะเนไว้ วันรุ่งขึ้นคฤหาสน์คัมภีรดาก็ได้ต้อนรับอาคันตุกะที่ไม่ได้เชิญสองคน ซึ่งบุคคลทั้งสองไม่ใช่ใครอื่น เขตคามที่เตรียมตัวรอ เลยลงมารับหน้าคนแรก
“ไม่คิดว่าคุณทั้งสองคนจะมาไวเช่นนี้” คำแรกที่เขตคามใช้ ทำเอานวินสะอึก เขาก้มหน้าหลบ ไม่กล้าสู้สายตาเจ้าของบ้าน ส่วนมารดาของเขาท่านคงรู้สึกแหละ สีหน้าของฉายรวีเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เมื่อตั้งสติได้ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“แหม ทำไมพูดอย่างนั้นละคะ เราใช่คนอื่นคนไกลกันเมื่อไหร่”
เขตคามเลิกหัวคิ้วขึ้นสูง “ผมจำไม่ได้ว่าคุณกับผมเคยรู้จักกันมาก่อน”
“อย่าตัดพ้อกันนักสิคะ ลูกชายฉันเป็นคนผิดจริงๆ นั่นแหละ แต่เราแม่ลูกก็ไม่ได้หนีความผิดเสียทีเดียว ยังไงเขาสองคนก็รักกัน” ฉายรวีพูดหน้าตาย
เขตคามส่ายหน้า โชคดีที่วันนี้เขานอนดึกตื่นสาย เลยยังไม่ได้กินอาหารเช้า ไม่อย่างนั้นเขาคงสำรอกออกมาแล้ว
“ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เรื่องใหญ่อย่างที่คุณพูด เอาไว้ให้พ่อกับแม่ผมพิจารณาเองดีกว่า ผมขอไม่ยุ่ง อีกอย่างนะ ยัยเขมบอกผมตั้งแต่วันแรกที่กลับมาว่าเขาสองคนหมดรักกันแล้ว เตรียมจะหย่ากันไม่ใช่เหรอครับ”
ในเมื่อหน้าด้านหน้าทนบากหน้ามาเผชิญหน้ากัน เขตคามก็อดไม่ได้ที่จะเหน็บแนม
“แค่เรื่องเข้าใจผิด ตามประสาผัวเมียกันนั่นแหละค่ะ” ฉายรวีรีบแก้ตัวแทนบุตรชาย
“ผมคิดว่าไม่น่าใช่เรื่องเข้าใจผิดกันนะครับ ผมให้ทนายความเตรียมเอกสารไว้บ้างแล้ว หากตกลงกันได้...ก็จบแค่นี้ หากตกลงกันไม่ได้จริงๆ คงต้องไปเจอกันในศาล” เขตคามไม่ได้ขู่ เขาสั่งให้ฉัตรธรเตรียมเอกสารไว้จริงๆ เท่าที่สืบประวัติคร่าวๆ ครอบครัวขรินทร์ทิพย์ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
“เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว หย่าเย่ออะไรกันคะ”
“ไม่น่าเข้าใจผิดมั้งครับ ผมว่าพวกคุณยอมรับความจริงดีกว่า อย่าให้ถึงกับมองหน้ากันไม่ติดเลย ลูกชายคุณเองก็มีคนใหม่แล้วไม่ใช่หรือไง” เขตคามเริ่มคุมตัวเองไม่อยู่
“เฮีย ขอเขมคุยเองนะคะ” ฉันเดินออกมาเผชิญหน้ากับเขา ความจริงฉันควรจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อน ไม่ควรลากปัญหากลับมาบ้าน พลอยทำให้ทุกคนร้อนใจได้ด้วย
“คุยกันต่อหน้าเฮียนี่แหละ หรือจะรอให้ไอ้ฉัตรมันมาถึงก่อนค่อยคุยก็ได้” เขตคามแบ่งรับแบ่งสู้
“ก็ดีค่ะ เขมเองก็อยากจบปัญหาเหมือนกัน มันน่าหงุดหงิดค่ะ” ฉันหันไปมองเขา ไม่แม้แต่จะทักทายหรือทำความเคารพมารดาของเขาตามมารยาท ความอดทนของฉันมันต่ำ หากฉันต้องทำเช่นนั้น ฉันกลัวว่าตัวเองจะระเบิดอารมณ์ใส่ ก่อนที่จะได้พูดคุยกัน
“เชิญนั่งสิครับ คงไม่ว่านะครับหากผมจะเสียมารยาท ผมไม่ชอบรับรองแขกที่ผมไม่ชอบหน้า ดังนั้นเรื่องมารยาทผมเลยไม่ค่อยใส่ใจ” เขตคามออกตัว เขาสั่งคนของเขาไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามแล้ว ดังนั้นคนงานในบ้าน จะไม่โผล่หน้ามาให้เห็น หากเจ้านายของบ้านไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเรียก
“ใจคอน้ำสักแก้วก็จะไม่มีให้กันเลยเหรอคะ” ฉายรวีแดกดัน
“ผมไม่ใช่คนตระหนี่หรอกนะครับ ผมแค่ไม่อยากสร้างความประทับใจกับคุณสองคน เอาเป็นว่าเกลียดผมได้ตามสบาย หากออกไปจากบ้านผมแล้วคุณจะโพนทะนาให้คนนอกฟังก็ยังได้ ผมไม่แคร์”
คนใจร้ายที่ทำร้ายน้องสาวตนเองเจ็บปวดแทบปางตาย เขตคามใจดีด้วยไม่ลง
“ฉันมาดีนะคะ ความรักน่ะเป็นเรื่องของคนสองคน หากพวกเขาตกลงกันได้ ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอคะ” ฉายรวีพยายามประนีประนอม
“ขว้างหินใส่น้องสาวผม จะให้ผมยื่นช่อดอกไม้ให้คุณงั้นเหรอครับ ผมไม่ใช่คนโลกสวยครับคุณนาย ใครๆ ก็ว่าผมเป็นหมาบ้า ผมกระหายเลือดครับ” เขตคามตะคอกกลับ เขาขยับพื้นที่เพราะเห็นบิดา มารดาเดินลงมาจากบันไดวนกลางบ้านพอดี
ฉันยิ้มกร่อยๆ ให้มารดาที่เดินตรงมาหา
“วันนี้คึกคักดีนะ” บัวงามเปรยลอยๆ “อ้าว ทำไมไม่เอาน้ำมาเสิร์ฟแขก” นางทักหลังกวาดตามองแล้วสิ่งที่ควรมีกลับไม่เห็น “เรานี่นะตาเขต เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ มารยาทพื้นฐานน่ะ ต้องให้ควรมี ไม่อย่างนั้นคนเขาจะว่าเอาได้ว่าพ่อ แม่ไม่สั่งสอน”
นวินสะอึก แม้หญิงสูงวัยตรงหน้าจะทำเพียงแค่ต่อว่าต่อขานบุตรชายของท่าน แต่เขาก็อดสำนึกไม่ได้ คำต่อว่านั่นมันอาจมีเขารวมอยู่ด้วย เขาทนให้มารดากะเกณฑ์เรื่องของตัวเอง รวมถึงเรื่องส่วนตัวด้วย หลายครั้งที่มารดาล้ำเส้น แต่เขาก็ยังนิ่งเฉย เขาทำเหมือนกับว่าเขมิกาไม่มีหัวจิตหัวใจ คงเพราะตอนนั้นความเข้าใจของเขา ไม่เหมือนกับตอนนี้
เขมิกาเป็นแค่หญิงสาวกำพร้า นอกจากเขาแล้วเธอไม่มีใคร
หากเขมิการักเขา เธอต้องทนเพื่อจะผ่านวันคืนที่เลวร้ายไปจนได้
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เขมิกามีครอบครัว เขาเอาเปรียบเธอมากเกินไปจนน่ารังเกียจ วันที่เขาไม่ต้องการเธอ เขาก็ผลักไสเธอหน้าตาเฉย ครั้นเมื่อมองเห็นผลประโยชน์จากเธอในวันนี้ เขาก็รีบกระเสือกกระสนกลับมา หวังจะยื้อเธอไว้อีก
“ผมจะรีบจัดการให้ครับแม่” เขตคามอาสา
เขาเป็นคนผิดที่เจ้ากี้เจ้าการเรื่องมารยาทพื้นฐานในสังคมนี้ ดังนั้นเขาต้องเป็นคนแก้ตัวด้วยตัวเอง
“ตาฉัตรใกล้ถึงหรือยังเขต” บิดาที่นั่งนิ่งไม่พูดอะไรตั้งแรกแรกเปิดปากถาม
“น่าจะใกล้ถึงแล้วครับ” เขตคามตอบแล้วก็เดินเร็วๆ จากไป
“พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนว่าหนูเขมเป็นบุตรสาวของท่าน” ฉายรวีออกตัว
“ไม่แปลกหรอกครับ ยัยเขมไม่เคยบอกคนอื่น เธอไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตา” ทินภัทรตอบพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย เขาแอบผ่อนลมหายใจ หลังสำรวจชายหนุ่มหนึ่งเดียวในที่นี้คร่าวๆ
ผู้ชายที่ปล่อยให้มารดาครอบงำ ไม่เคยคิดจะปกป้องผู้หญิงที่เขารัก ชีวิตคู่ไม่มีทางยืนยาว
“เราเองก็เถอะ เพราะความเอาแต่ใจ เรื่องมันเลยวุ่นวายแบบนี้” บัวงามหันไปตำหนิบุตรสาว
ฉันไม่ได้ตอบโต้ ความผิดนี้ฉันยอมรับ
ฉันประมาทเกินไป ใช้ชีวิตแบบไม่ได้วางแผน เลยนำปัญหากลับมากวนใจบุพการี
“เขมผิดเองค่ะ”
“ก็ยังดีที่ยอมรับ แล้วคิดไว้ว่าไงบ้าง จากนี้ไปจะจัดการกับปัญหานี่ยังไง” บัวงามถามต่อ ไม่ใด้สนใจบุคคลที่สามเลย นางใส่ใจแค่คนในครอบครัวเท่านั้น
“วินเขาอยากหย่า เขมก็ไม่คัดค้านค่ะ”
“อ้อ...แบบนี้เอง”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ แค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย แค่สื่อสารผิดพลาด ตาวินไม่ได้ต้องการแบบนั้นสักหน่อย” ฉายรวีพูดแทรก พร้อมกับแก้ตัวแทนบุตรชาย
“ชื่อวินเหรอคะคุณ” บัวงามถามเสียงเย็นชา แววตาก็เช่นกัน
“ดิฉันเป็นแม่ตาวินค่ะ”
“อ้อ...แม่”
“ใช่ค่ะ สองคนนี่เขารักกันดี แค่ผิดใจกันเล็กน้อย” ฉายรวีพูดต่อ
บัวงามกดยิ้มจนมุมปากโค้งลง “ว่าไง อยากพูดอะไรไหม หรือเป็นอย่างที่แม่คุณพูดแทนทั้งหมด” บัวงามหันไปถามนวินที่นั่งก้มหน้ากุมมือ
“ลูกชายดิฉันเป็นเด็กดีค่ะ เขาเชื่อฉันทุกอย่าง”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ เท่าที่เห็นอะนะ แต่สำหรับฉันแล้ว เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ให้พวกเขาตัดสินใจเองดีกว่าไหมคะ เขาไม่ใช่เด็กสามขวบที่แม่ต้องคอยป้อนข้าวป้อนน้ำสักหน่อย”
บัวงามตอกกลับจนฉายรวีสะอึก นางเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
นวินทบทวนตัวเอง เขาคงต้องทำอะไรสักอย่าง “ที่คุณแม่พูด เป็นความจริงแค่บางส่วนครับ ผมผิดเรื่องนี้จริง แต่ผมก็ยอมรับว่าผมยังรักเขมอยู่จริงๆ ครับ ผมคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้คือผมกับเขมควรหย่ากัน” นวินไม่อยากให้ตัวเองน่าสมเพชมากไปกว่านี้ หากเขายังเป็นผู้ชาย เขาควรมีความรับผิดชอบ ไม่อย่างนั้นจะเสียใจทุกคน