ร้ายกาจที่สุด (60%)

1740 Words
หลังจากกลอกตาด้วยความไม่สบอารมณ์ เขาก็ยื่นมือมาผลักไหล่มนอย่างหาเรื่อง ทำเอาร่างบางผวาเฮือก เงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางตื่นๆ และนั่นก็ทำให้คนที่ได้เห็นเสี้ยวหน้าใสๆ ถึงกับขมวดคิ้วมุ่น        “เฮ้! ฉันว่าฉันคุ้นๆ หน้าเธอนะ…ไหนดูซิ” ขาดคำหัวโจกของโรงเรียนก็คว้าหมับเข้าที่ปลายคางมน แล้วบิดไปมาพลางจ้องใบหน้าขาวซีด แล้วกระตุกยิ้มตรงมุมปาก นัยน์ตาเต้นระริก    “จุๆๆ นึกว่าใคร ที่แท้ก็ยัยแว่นปากเก่งจอมอวดดีนี่เอง” วาจาที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายทำให้คิริมาหูผึ่ง เงยพรึ่บขึ้นมองหน้าคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ ก่อนจะเบิกตากว้าง และหลุดอุทานออกมา      “นาย!” “หึ…ได้ยินเขาพูดกันว่ามีนักเรียนใหม่ย้ายมาเรียนที่นี่เป็นเธอเองหรอกเหรอ ทำไมไม่ย้ายมาตั้งแต่ม.4 ย้ายมาทำไมตอนม.5” ถามไม่พอยังจับผมเธอเล่นอย่างหน้าตาเฉย “เรื่องของฉัน” หลังจากปัดมือเขาออกคิริมาก็เอ่ยตอบห้วนๆ ตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่ไอ้คนที่ทำตัวเป็นนักเลงกลับกดไหล่มนให้ลงไปนั่งจุมปุกอยู่กับพื้น แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกดึงแก้มเบาๆ   “ปากดี!” “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” ท่าทางขู่ฟ่อเหมือนลูกแมวน้อยทำให้เขานึกสนุก ครั้นเธอปัดมือเขาออกอย่างรำคาญ เขาก็เปลี่ยนมาดึงแก้มใสๆ อีกข้าง ทำเอาคนหวงตัวมองตาวาววับ    “จะแตะมีไรมะ” “ไม่ให้แตะ” “หวงตัวซะด้วยแฮะ”   “อย่ามาถูกตัวฉันนะ! ไอ้เด็กบ้า!” คิริมาตะเบ็งเสียงด่าทออย่างหมดสิ้นความอดทน คำว่าเด็กบวกกับท่าทางคล้ายรำคาญเสียเต็มประดาทำให้เขาถึงกับของขึ้น เท้าสะเอวสวนกลับเสียงขุ่น   “ยัยแว่น! เกิดก่อนฉันแค่ปีเดียวอย่ามาทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยนักเลย”    “ก็นายมันเด็กจริงๆ นี่นา ไอ้เด็กไม่รู้จักโต”   “นี่เธอกล้าหือกับฉันเหรอยัยจืด!” น้ำเสียงดุกระด้างถามด้วยท่าทางเอาเรื่อง ทว่านอกจากจะไม่ปริปากตอบโต้แล้ว คิริมายังจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาวาวโรจน์ ท่าทางขลาดกลัวแต่ก็ยังเผยอเชิดหน้าสู้ไม่ถอยทำให้เขานึกอยากเอาชนะขึ้นมาครามครัน   “ว่าไง…ฉันถามทำไมไม่ตอบ” เขาไล่บี้ด้วยท่าทางยียวน ใบหน้าเย่อหยิ่งแฝงไปด้วยความกวนประสาทอย่างร้ายกาจ ก่อนจะโก่งตัวไปข้างหน้า เท้าแขนกับขอบผนังปูนของดาดฟ้า โดยมีร่างเล็กๆ ของคนที่ถูกคุกคามนั่งอยู่ด้านล่าง เธอมองเขาอย่างหวั่นๆ ขยับขามาชันเข่าแล้วกอดมันไว้ราวกับจะเป็นหลักยึด แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายก้มลงมากระซิบคาดคั้น “ฉันถาม…ก็ตอบสิวะ”        “อย่ามายุ่งกับฉัน!” คราวนี้เธอหลับหูหลับตาตะเบ็งเสียงไล่ตะเพิด   “โห...หลงตัวเองชิบหาย ใครอยากยุ่งกับเธอไม่ทราบ ผู้หญิงอะไรร้องไห้ได้ทุเรศสุดๆ ทั้งขี้มูกขี้ตา” เขามองเธออย่างหยันๆ ขณะสวนกลับด้วยนำคำยโสชวนหมั่นไส้     “ไม่อยากยุ่งก็ไปไกลๆ เลย ไปให้พ้น!” “อย่ามาปากดีนะโว้ย! ดาดฟ้าเนี่ยคือที่ของพวกฉัน ถ้าไม่อยากโดนดีก็รีบเช็ดขี้มูกขี้ตา แล้วไสหัวไปซะแม่นักเรียนใหม่” เขาขึ้นเสียงไล่ตะเพิดพลางชี้มือไปยังประตู ไม่รอให้ถูกไล่ซ้ำคิริมาก็ผุดลุกขึ้น ยกหลังมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลืออย่างลวกๆ แล้วผลักอกกว้างแรงๆ พร้อมตะโกนด้วยถ้อยคำที่ทำให้พงษ์สวัสดิ์นิ่งงันไปชั่วขณะ     “ไอ้คนใจร้าย! ฉันเกลียดนาย!” จากนั้นร่างบางก็วิ่งจากไปไม่เหลียวหลัง “ยัยบ้าเอ๊ย! บังอาจมาเกลียดฉันได้ยังไงวะ” คนไม่เคยถูกสาวตะโกนใส่หน้าว่าเกลียดกะพริบตาอย่างเรียกสติ ก่อนจะหลุดสบถออกมาด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้น     “ชอบหรือไง ถึงได้แกล้งเขา” ยังไม่ทันจะขาดคำเผ่าก็เดินล้วงกระเป๋าออกมาจากที่ซ่อนตรงหลังประตูดาดฟ้า หลังจากแอบดูฉากเด็ดอยู่เป็นนานสองนาน โดยมีคิมหันต์เดินตามมาติดๆ และตบท้ายด้วยคุณชายธีรเดช   “นั่นดิวะ สเปกมึงคือสาวที่อายุมากกว่านี่หว่า” คิมหันต์เอ่ยอย่างเห็นด้วย เพราะแฟนของพงษ์สวัสดิ์คนก่อนๆ ล้วนเป็นรุ่นพี่ทั้งนั้น อย่างคนล่าสุดนี่ก็เป็นถึงดาวมหา’ลัยเอกชนชื่อดัง         “ไม่ได้ชอบโว้ย! ใครจะไปชอบยัยแว่นจอมเชยนั่นลง แฟนกูสวยกว่าเยอะ” พงษ์สวัสดิ์หลุดปากปฏิเสธเสียงสูง ครั้นรู้ตัวว่าตนกำลังถูกพวกไอ้เพื่อนตัวแสบไล่ต้อนให้จนมุมเขาก็ปรับสีหน้าและท่าทางให้นิ่งสงบ     “ไม่ชอบแล้วไปยุ่งกับเขาทำไมวะ” คิมหันต์ยังไม่เลิกเซ้าซี้     “กูรำคาญเสียงร้องไห้ของยัยนั่น…ก็แค่นั้น” คนหน้าตายทำเพียงไหวไหล่เบาๆ คำตอบที่ดูไม่มีน้ำหนักทำให้คนฟังต่างไม่เชื่อ เพราะปกติพงษ์สวัสดิ์จะไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วยิ่งไม่เด็ดขาด     “รำคาญก็ไม่ไปยุ่งกับเขาก็สิ้นเรื่อง รู้ไหมก่อนที่เขาจะวิ่งร้องไห้มาที่นี่เขาเจออะไรมาบ้าง” คนที่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยจนน่าหมั่นไส้อย่างธีรเดชเอ่ยหน้านิ่ง   “จะพูดก็พูดมาเถอะว่ะไอ้คุณชาย ทำมามีลับลมคมในอยู่ได้” เสียงห้าวกระด้างสวนกลับทันควัน ท่าทางอยากรู้จนใจจะขาดแต่ยังฟอร์มจัดทำให้คุณชายธีรเดชคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา “ยัยนั่นเจอกิ๊กเก่ามึงอย่างยัยพิมมี่กับเพื่อนรุมทึ้งมา หัวเดียวกระเทียมลีบ น่าสงสารสุดๆ ไปเลยว่ะ” ธีรเดชล้วงกระเป๋าขณะเอ่ยบอกด้วยท่าทีสบายๆ อีกทั้งลอบจับสังเกตท่าทางของพงษ์สวัสดิ์อยู่อย่างเงียบๆ ครั้นเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่นสีหน้ายุ่งเหยิงก็เกือบจะหลุดยิ้มออกมา       “แล้วไปทำอีท่าไหนวะ ยัยนั่นถึงวิ่งขากะเผลกแบบนั้น” วาจาที่หลุดออกมาจากปากคนไม่แคร์โลกทำให้สามหนุ่มต่างลอบอมยิ้ม ปากบอกไม่สนใจสาวแต่กลับจับสังเกตทุกอากัปกิริยาจนรู้ว่าอีกฝ่ายวิ่งกะเผลก ก่อนที่คิมหันต์จะเอ่ยออกมา       “พวกกูเห็นเธอชนขอบม้านั่งหินอ่อน ก่อนจะวิ่งกระเซอะกระเซิงมาถึงนี่ ก็อย่างว่าล่ะว่ะ เพิ่งย้ายมาเรียนยังไม่ถึงเทอม เพื่อนไม่ค่อยจะมี แถมยังโดนขาใหญ่ประจำโรงเรียนแกล้งอีก ไม่ร้องไห้ก็ให้มันรู้ไปสิวะ”   “ยัยพิมมี่นับวันชักจะนิสัยเสีย เขาเป็นนักเรียนใหม่ ทำไมต้องไปแกล้งเขาด้วยวะ” พงษ์สวัสดิ์บ่นอุบ ใบหน้าถมึงทึงด้วยความไม่สบอารมณ์ ท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองทำให้ทั้งสามหนุ่มที่เหลือต่างนึกแปลกใจเหลือคณา เพราะปกติพงษ์สวัสดิ์จะไม่สนเรื่องของใครหน้าไหนทั้งสิ้น     “เฮ้ย! ไอ้ป๋า นึกไงวะคนเทาๆ อย่างมึงถึงอยากเป็นคนดีผดุงคุณธรรมขึ้นมา” “ไอ้เชี่ยเผ่า มึงหยุดแซวกูแล้วคิดสักนิดสิวะ ถ้ามึงเพิ่งย้ายโรงเรียนมาแล้วถูกแกล้งจนร้องไห้ขี้มูกโป่งแบบนั้นมึงจะทำยังไง” ความอาทรที่แฝงอยู่ในความกระด้างที่มีต่อคนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาทำให้เผ่า คิมหันต์ และธีรเดช ต่างมองคนเทาๆ อย่างพงษ์สวัสดิ์ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ      “แล้วที่มึงทำกับเขาเมื่อกี้ ไม่เรียกว่าเเกล้งหรือไงวะ” เผ่าเลิกคิ้วถาม น้ำเสียงกลั้วหัวเราะบวกนัยน์ตาเต้นระริกเจือขบขันทำให้พงษ์สวัสดิ์เกือบหลุดฟอร์ม     “ก็แค่รับน้องใหม่” คนหน้าตายไหวไหล่เบาๆ เดินไปคว้าถุงเท้าที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ แล้วเดินไปสวมรองเท้า ท่าทางปากไม่ตรงกับใจทำให้อีกสามหนุ่มต่างหมั่นไส้จนทนไม่ไหว    “น้องใหม่บ้าอะไร เขาเกิดก่อนเราเว้ย” คิมหันต์แย้ง   “รู้…แต่ไม่ได้อยากมีพี่สาวนี่หว่า ไม่เรียกพี่โว้ย” เสียงห้าวกระด้างสวนกลับอย่างฉะฉาน ท่าทางมั่นใจปนเย่อหยิ่งทำให้สามหนุ่มที่เหลือต่างส่ายหน้าอย่างยิ้มๆ     “เฮ้ย! แล้วนั่นจะไปไหนวะ” “ไปดูยัยนั่นหน่อย” วาจาที่หลุดออกมาจากปากหนุ่มหล่อผู้ไม่สนโลกทำให้คนฟังต่างพากันอ้าปากค้าง ด้วยคาดไม่ถึงว่าพงษ์สวัสดิ์จะนึกเป็นห่วงเป็นใยคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม “เฮ้! ไหนว่ารำคาญเขาไงวะ” เผ่าร้องตะโกนไล่หลังคนที่กำลังเดินลิ่วไปยังประตูดาดฟ้า และน้ำเสียงเจือขบขันนั่นก็ทำให้เท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าชะงักกึก   “เด็กใหม่คงยังไม่รู้ว่าห้องพยาบาลไปทางไหน” พงษ์สวัสดิ์หันกลับไปเอ่ยตอบหน้าตาย ดูมีเหตุผลและแคร์โลกจนทั้งสามหนุ่มต่างกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่     “แต่นี่มันจะปลายเทอมแล้วนะเว้ย ย้ายมาเรียนที่นี่ตั้งนานน่าจะรู้แล้วมั้ง” คุณชายธีรเดชเอ่ยแย้งเสียงนิ่งๆ ทว่านัยน์ตากลับเต้นระริกด้วยความขบขัน   “ไม่แน่หรอก ยัยนั่นอาจจะยังไม่รู้ก็ได้ คนแบบนั้นเซ่อจะตาย” ยังไม่ทันจะขาดคำคนฟอร์มจัดปากหนักก็เดินเร็วๆ ไปยังประตูดาดฟ้า ส่งผลให้สามหนุ่มที่เหลือต่างพากันหลุดหัวเราะออกมา เพราะรู้นิสัยของเพื่อนดีว่าไม่เคยสนใจและแคร์ความรู้สึกของใครหน้าไหนทั้งสิ้น แต่นักเรียนใหม่คนนั้นกลับต่างออกไป   “คนเกลียดกันทำแบบนี้ก็ได้เหรอวะ” เผ่าเปรยขึ้นเบาๆ ใบหน้าหล่อคมแต้มยิ้มน้อยๆ ซึ่งวาจาที่หลุดออกมาจากปากเขาก็ทำให้คนที่ยืนข้างๆ กันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง    “นั่นดิ ปากบอกไม่สนใจเขา แต่ตากลับเห็นว่าเขาวิ่งขากะเผลก แถมยังจะตามพาเขาไปห้องพยาบาลอีก” คิมหันต์เอ่ยอย่างระอากับนิสัยปากไม่ตรงกับใจของเพื่อนซี้        “นั่นแหละคือวิธีเรียกร้องความสนใจของคนฟอร์มจัด” 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD