น้ำเสียงกระด้างฟังดูวางอำนาจและถือดีที่ดังขึ้นทำให้คนที่กำลังนั่งเหม่อถือช้อนค้างถึงกับสะดุ้งน้อยๆ ครั้นได้สติเธอก็เงยหน้าขึ้นไปมองต้นเสียงที่กำลังยืนค้ำหัวอยู่ แล้วก็แทบจะอยากหายตัวไปจากตรงนั้นเสียให้ได้ เมื่อวานเขายังกลั่นแกล้งเธอไม่พอหรือไง ไอ้เด็กบ้านั่นต้องการอะไรจากเธอกันแน่
“ที่อื่นมีตั้งเยอะแยะทำไมไม่ไปนั่ง”
น้ำคำห้วนๆ ดูไม่ยินดียินร้ายกับการที่มีหนุ่มหล่อมาขอนั่งร่วมโต๊ะทำให้คนมั่นใจในตัวเองสูงถึงกับชะงักเล็กน้อย ขบกรามเข้าหากัน แทบจะออกอาการงุ่นง่านหากไม่ระงับใจเอาไว้ จากนั้นร่างสูงใหญ่เกินวัยก็เดินอ้อมโต๊ะ แล้วจงใจนั่งลงข้างๆ เธออย่างหน้าตาเฉย เห็นดังนั้นคิริมาก็กระเถิบตัวหนี และท่าทางคล้ายรังเกียจเสียเต็มประดาก็กระตุ้นให้หนุ่มหล่ออยากเอาชนะขึ้นมาครามครัน ยิ่งเธอกระเถิบหนีไปตามความยาวของม้านั่งเขาก็ยิ่งจงใจขยับตามประชิด ที่สุดคิริมาก็ไปจนมุมอยู่ริมม้านั่ง เพราะถ้าเธอขยับอีกเพียงนิดคงได้ร่วงลงไปกองกับพื้นเป็นแน่
“ก็อยากนั่งกับนักเรียนใหม่อย่างเธอ…มีอะไรไหม”
หลังจากไล่ต้อนคนไว้ตัวด้วยการขยับเข้าหาจนทั้งคู่นั่งชิดกันท่ามกลางเสียงฮือฮาของสาวๆ ทั้งโรงอาหาร พงษ์สวัสดิ์ก็ลอยหน้าเข้าใกล้ แล้วเอ่ยยียวนกวนประสาท ความใกล้ชิดชนิดหายใจราดรดซึ่งกันและกันทำให้คิริมาถึงกับผงะด้วยท่าทางตื่นๆ สีหน้าที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทำให้เขากระตุกมุมปากเล็กน้อย
“งั้นก็เชิญนั่งให้สบายใจไปเลย ฉันอิ่มแล้ว” ขาดคำร่างบางก็ผุดลุกขึ้น
“อิ่มบ้าอะไร เธอเพิ่งไปซื้อข้าวมายังกินไม่ถึงห้าคำเลยด้วยซ้ำ นั่งลงแล้วกินข้าวให้หมดซะ” เสียงแข็งๆ ที่ออกแนวบีบบังคับทำให้คิริมาหันขวับไปจ้องหน้าหล่อๆ อย่างเอาเรื่อง
“อย่ามาสั่งฉัน!” เธอกดเสียงต่ำ แล้วพยายามปรับสีหน้าให้เรียบสนิท การกักเก็บอารมณ์ความรู้สึกด้วยการแสดงความเย็นชาทำให้พงษ์สวัสดิ์ยิ่งอยากยั่วให้อีกฝ่ายสติแตก
“ทำไม ที่ไม่กล้านั่งลงกินต่อเพราะกลัวฉันล่ะสิ อีโธ่…ป๊อดว่ะ”
เขาลอยหน้าเลิกคิ้วท้าทาย ท่าทางยียวนกวนประสาทแต่ไม่ยอมให้สาวเจ้าไปไหนทำให้อีกสามหนุ่มที่เหลือต่างกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ ดูก็รู้ว่าไอ้คนฟอร์มจัดกำลังเรียกร้องความสนใจอย่างเนียนๆ
“ว่าไง…ป๊อดเหรอ”
รอยยิ้มเย้ยทำให้คิริมาทนไม่ไหว กำหมัดและเม้มปากเข้าหากันขณะมองเขาตาขุ่น ที่สุดก็ต้องจำใจทรุดกายลงนั่ง จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารในจานของตัวเองต่อ ท่าทางอ่อนข้อให้ทำเอามุมปากของคนเอาแต่ใจยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเอ่ยขอบคุณเจ้าของร้านที่นำจานข้าวมาส่งให้เขาและเพื่อนๆ
“ไม่ชอบกินผักเหรอ” เห็นเธอเขี่ยผักไปไว้ข้างจานเขาก็เอ่ยถามหน้านิ่งๆ คนที่กำลังจัดการเอาของที่ตนไม่ชอบออกไปจากกุ้งถึงกับชะงักเล็กน้อย เงยขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างงงๆ
“ถามว่าไม่ชอบกินผักหรือไง” การชวนคุยอย่างเนียนๆ แถมยังออกอาการเซ้าซี้อยากรู้เรื่องของสาวเจ้าเสียเหลือเกินทำให้คนที่นั่งเงี่ยหูฟังต่างลอบอมยิ้ม
“ยุ่ง!” เธอหันมาสวนกลับห้วนๆ แล้วเขี่ยผักที่เหลือออกจากข้าวผัดกุ้งจนหมด แม้กระทั่งเศษเล็กๆ ก็ไม่ให้มีเหลือ และกำลังจะเอาแตงกวาที่หั่นเป็นแว่นๆ ออก หากว่าเสียงหนึ่งไม่เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“เอามานี่มา…”
ขาดคำคนหน้าตายก็ถือวิสาสะตักแตงกวาที่เธอกำลังจะเขี่ยไปไว้ข้างจานไปวางบนจานข้าวของตัวเอง การกระทำสุดประหลาดไม่เพียงทำให้คิริมานิ่งอึ้ง แต่เพื่อนสนิทของพงษ์สวัสดิ์ก็อึ้งจนพูดไม่ออก เพราะต่างรู้ดีว่าพงษ์สวัสดิ์ก็ไม่ชอบทานผักเหมือนกัน แถมยังเขี่ยผักไปไว้ข้างจานเหมือนคิริมาอีกต่างหาก
แล้วในวินาทีถัดมาเขาก็ทำให้ทุกคนอึ้งอีกรอบด้วยการตักกุ้งตัวโตในจานของตัวเองไปวางบนจานข้าวของคิริมาอย่างหน้าตาเฉย
“เอ้า..เอานี่ไป”
“แล้วทำไมต้องเอาให้”
ท่าทางไว้ตัวแทนที่จะขอบคุณทำให้พงษ์สวัสดิ์นึกหมั่นไส้จนนึกอยากจะกลั่นแกล้งให้อีกฝ่ายร้องไห้ขี้มูกโป่งเหลือคณา แต่ก็เอาเถอะเธอเจอแต่เรื่องแย่ๆ มาถ้าเขาแกล้งอีกคงได้ปล่อยโฮไม่หยุดแน่
“ก็แลกกันไง ฉันเอาผักเธอมา เธอก็เอากุ้งฉันไป”
เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งเอ่ยเสียงเอื่อยๆ ก่อนจะตักข้าวเข้าปากท่ามกลางสายตาจับผิดของเพื่อนซี้ทั้งสาม เห็นดังนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็ตวัดตาขุ่นใส่
“มองอะไรวะ ไม่เคยเห็นคนหล่อหรือไง”
“คนหล่อน่ะเคยเห็น แต่ไม่เคยเห็นคนหล่อทำอะไรพิลึกแบบนี้มาก่อน” เผ่าสวนกลับอย่างยิ้มๆ ก่อนจะแทบระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อคนฟอร์มจัดถลึงตาใส่
จากนั้นทุกคนก็ต่างก้มลงจัดการกับอาหารในจานของตัวเอง บ้างมีเสียงพูดคุยหยอกเย้าแบบกวนๆ ด้วยคำหยาบๆ ดังมาจากปากของสี่หนุ่ม ส่วนคิริมาก็นั่งทานข้าวไปอย่างเงียบๆ โดยมีสายตาคู่หนึ่งลอบมองเป็นระยะ จนกระทั่งเธอวางช้อนและส้อมลงบนจาน คว้าแก้วน้ำมาดื่ม พงษ์สวัสดิ์ถึงได้เงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยถาม
“อิ่มแล้วหรือไง”
“อืม…” นักเรียนใหม่ที่วันนี้แวดล้อมไปด้วยคนหล่อทำเอาสาวๆ ทั้งโรงเรียนทั้งอิจฉาและหมั่นไส้พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋าตังค์ที่วางอยู่บนโต๊ะ
“เดี๋ยวสิ…”
เขาเอ่ยเป็นเชิงรั้งเอาไว้ พร้อมถือวิสาสะคว้าหมับเข้าที่ข้อมือกลมกลึง ทำเอาคนถูกจู่โจมถึงกับตัวแข็งทื่อ มองมืออีกฝ่ายนิ่ง แล้วน้ำคำที่หลุดออกมาจากปากหนุ่มสุดป็อปก็ทำเอาทั้งโต๊ะแทบอ้าปากค้าง ไม่ต่างจากพวกที่อยากเผือกเรื่องของคนอื่นซึ่งเงี่ยหูฟังและเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่
“ให้ไปส่งไหม”
“ทำไมต้องไปส่ง” คนหัวใจเต้นแรงบิดข้อมือออกจากอุ้งมือใหญ่ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา การปิดกั้นตัวเองที่ใครก็ไม่สามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงทำให้เขาอดหมั่นไส้ไม่ได้
“ก็เห็นเธอโดนแกล้งไง เลยคิดว่าอยากให้ไปส่ง”
หนุ่มหล่อที่โดนสาวเมินหลายต่อหลายครั้งยักไหล่น้อยๆ พร้อมเอ่ยหน้าตาย ก่อนจะถูกแม่สาวจอมอวดดีมองด้วยสายตาประมาณว่าเด็กว่ะ และแววรำคาญเล็กๆ ที่ปรากฏผ่านทางสีหน้าก็ทำให้พงษสวัสดิ์ยิ่งอยากตอแยพอๆ กับอยากเอาชนะ เธอเป็นความเย็นชาที่โคตรท้าทายเป็นบ้า
“หลงตัวเองไปป่ะ ห้องเรียนฉันอยู่ใกล้แค่นี้ ไปเองได้” วาจาราบเรียบฟังดูไร้อารมณ์และไม่แยแสต่อไมตรีที่หนุ่มหล่อหยิบยื่นให้ทำเอาคนมั่นใจในตัวเองสูงแทบไปไม่เป็น
“ถ้าจะอวดดีขนาดนี้ก็ไปเถอะยัยแว่น อ้อ…แล้วก็อย่าลืมล่ะ ว่าเธอติดกุ้งฉันอยู่” เธอจะเดินไปพ้นจากตรงนั้นอยู่แล้ว หากน้ำคำเป็นเชิงเตือนในตอนท้ายไม่ดังขึ้นเสียก่อน
“กุ้ง?”
“ใช่ กุ้งสามตัว…ที่ฉันเอาให้เธอกินเมื่อกี้ไง ทำเป็นลืมไปได้” เขาเอ่ยหน้าตาย ทำให้คนที่หลงคิดว่าคนกวนประสาทอย่างเขาอย่างน้อยก็ยังมีมุมใจดีมีน้ำใจอยู่บ้างถึงกับอ้าปากหวอ
“แต่นายเป็นคนเอามันให้ฉันเองนะ”
เธอทำปากยื่นเถียงด้วยความลืมตัว ท่าทางน่ารักทำเอาคนมองลอบยิ้มตรงมุมปาก ส่วนสามหนุ่มที่เหลือต่างมองทั้งคู่ด้วยความแปลกใจ เพื่อนสนิทของพวกเขาและรุ่นพี่นักเรียนใหม่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่พอได้ต่อปากต่อคำกันมองรวมๆ แล้วเข้ากันเป็นบ้า เคมีได้จนน่าทึ่งเลยทีเดียว
“แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธมันนี่ เพราะฉะนั้นเธอติดกุ้งฉัน วันหลังเลี้ยงข้าวฉันด้วย” คนที่ริอ่านทำตัวเจ้าเล่ห์ตั้งแต่เด็กทำหน้าตาย ขณะกอดอกสวนกลับอย่างฉะฉาน ตบท้ายด้วยการสรุปเองเสร็จสรรพ
“เลี้ยงข้าว?”
“อือฮึ…ก็เธอติดหนี้บุญคุณฉัน บุญคุณต้องทดแทนไม่เคยได้ยินหรือไง” คนขี้เก๊กตีมึนไปเรื่อย อาการแถจนสีข้างแทบถลอกทำให้อีกสามหนุ่มต่างอยากระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเต็มทน
“แล้วฉันไปได้หรือยัง”
“ยัง”
“นี่นาย!” เธอเผลอขึ้นเสียงใส่พร้อมมองหน้าหล่อๆ ทว่ายียวนกวนประสาทด้วยนัยน์ตาวาววับ ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากอีกฝ่ายก็สวนขึ้นเสียก่อน
“เรียกป๋าสิ เรียกนี่นาย นี่นาย อยู่ได้”
“นั่นชื่อนายจริงๆ เหรอ” คิริมาทำท่ากังขา ก่อนจะแทบอ้าปากค้างเมื่อวาจาแสนเอาแต่ใจหลุดออกมาจากปากหยักของคนที่ลอยหน้าทำท่ากวนๆ
“ก็จะให้เรียกป๋า มีอะไรไหม”
“ไม่มี ขี้เกียจมี” ที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างยอมจำนน เพราะถ้ามัวแต่ต่อปากต่อคำไม่จบไม่สิ้นเห็นทีเธอจะไม่หลุดพ้นไปจากตัวก่อกวนเป็นแน่ ซึ่งการยอมลงให้ก็ทำเอามุมปากหยักกระตุกยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“อ้อ…แล้วก็อย่าลืมด้วยล่ะ ว่าเธอติดกุ้งฉันสามตัว ฉะนั้นวันหลังเธอต้องเลี้ยงข้าวฉัน ถ้าไม่เลี้ยงฉันจะตามไปกินที่บ้านเธอ” เขาร่ายยาวย้ำเตือนอีกรอบ ทำเอาคนถูกบีบบังคับถึงกับกำหมัดแน่น
“ไอ้คนหน้าเลือด!” เธอกดเสียงต่ำประณาม แล้วก้าวฉับๆ จากไป ท่ามกลางการตกตะลึงขั้นสุดของคนที่โดนตอกหน้า ครั้นตั้งสติได้ยัยแว่นตัวแสบก็เดินลิ่วจากไปเสียแล้ว
“เฮ้! อย่าเพิ่งไปสิวะ ด่ากันแล้วจะมาเดินหนีไปง่ายๆ อย่างนี้เหรอ” คนถูกด่าแบบไม่ไว้หน้าผุดลุกขึ้นตะโกนเรียกตามหลัง ก่อนจะคำราม “ฮึ่ม…ฝากไว้ก่อนเถอะยัยแว่นตัวแสบ!”
จากนั้นก็ทรุดกายลงนั่งด้วยท่าทางกระแทกกระทั้น
“ไอ้คนหน้าเลือด!”
คิมหันต์ทำเสียงเลียนแบบคิริมา ทำเอาคนถูกล้อหันขวับไปชี้หน้าและตวัดตาขุ่นคลั่กใส่อย่างเอาเรื่อง ทว่านอกจากจะไม่กริ่งเกรงแล้ว อีกฝ่ายยังรวมหัวกับอีกสองหนุ่มหัวเราะเยาะเขาเสียงดังลั่นโรงอาหาร จะไม่ให้พวกเขาขำได้ไงหนุ่มฮอตสุดของโรงเรียนโดนสาวด่าแบบไม่ไว้หน้า
“เออ…ไอ้ป๋า เมื่อกี้กูเห็นมึงตักผักของเขามากิน มึงก็ไม่ชอบกินผักไม่ใช่ไงวะ” เมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเผ่าก็หันไปจ้องหน้าเพื่อนซี้พร้อมเปิดประเด็นทันควัน
“ก็ใช่ แต่ก็พอกินได้” คนที่กำลังถูกเพื่อนตัวแสบไล่บี้อ้อมแอ้มตอบแบบไม่เต็มเสียงมากนัก ท่าทางดูไม่เป็นตัวของตัวเอง แถมยังโหนกแก้มแดง หูแดง ทำให้สามหนุ่มต่างลอบมองตากันอย่างยิ้มๆ
“แล้วทำไมถึงไปแย่งผักจากจานเขาวะ”
“ก็กูพอกินได้ไง ก็เลยเอามากินเอง”
“แล้วสละกุ้งสุดโปรดของตัวเองให้เขาเนี่ยนะ” คราวนี้เป็นคุณชายธีรเดชที่ไล่ต้อนไอ้คนปากแข็งให้จนมุม การตกอยู่ในสถานการณ์ถูกรุมทำให้พงษ์สวัสดิ์ออกอาการฮึดฮัด
“ก็เออสิวะ! พวกมึงจะมาเซ้าซี้อะไรนักหนา”
เขากระแทกเสียงใส่ไอ้เพื่อนรู้มาก คว้าแก้วน้ำมาดื่มอึกๆ แล้วผุดลุกขึ้น จากนั้นก็เดินล้วงกระเป๋าตรงไปยังห้องเรียน โดยมีสามหนุ่มเดินตามมาติดๆ เสียงกลั้วหัวเราะพร้อมน้ำคำล้อเลียนทำให้คนหน้าตายหันกลับไปชี้หน้าเพื่อนซี้ทั้งสามอย่างเอาเรื่อง แต่นอกจากจะไม่สะทกสะท้านแล้ว เผ่า คิมหันต์ และธีรเดช ต่างพากันดัดเสียงเลียนแบบคิริมาประณามเขาว่า ‘ไอ้คนหน้าเลือด!’