“เกี่ยวอะไรกับนายด้วย ฉันจะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน”
คิริมาสบตาร้ายๆ ของคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ แล้วเชิดหน้าสวนกลับเสียงแข็งๆ ทำเอาหนุ่มฮอตเดาะลิ้นด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ เห็นเธอก้าวหนีเขาก็ก้าวตามอย่างหน้าตาเฉย และการกัดไม่ปล่อยก็ทำให้คนที่เดินลิ่วไปข้างหน้าถึงกับหยุดฝีเท้าลง หันขวับกลับมายังเบื้องหลัง เห็นดังนั้นพงษ์สวัสดิ์ก็เลิกคิ้วท้าทาย ก่อนจะแทบหน้าหงายเมื่ออีกฝ่ายมองเขาคล้ายรำคาญเสียเต็มประดา แล้วเค้นเสียงกระด้างออกมา
“อย่ามายุ่งกับฉัน!”
ยัยแว่นสุดเชยสาดถ้อยคำชวนหงุดหงิดงุ่นง่านพอๆ กับเสียหน้าใส่หนุ่มหล่อสุดป็อปที่สาวๆ ซึ่งอยู่บริเวณนั้นต่างมองตาปรอย แล้ววิ่งจากไปชนิดไม่เหลียวหลัง
“ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนเถอะยัยแว่นตัวแสบ! เจอกันครั้งหน้าฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”
พงษ์สวัสดิ์คำรามด้วยความเดือดดาลสุดขีด หมายมาดว่าหากเจอกันอีกหนเขาจะแกล้งจนยัยเชยจอมเย็นชานั่นสติแตก หรือไม่ก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งจนหาทางกลับบ้านไม่เจอกันเลยทีเดียว
12 สิงหาคม 0.09 น.
ห้องดับจิต โรงพยาบาลรักษ์
ที่ตรงนี้มันทั้งวังเวง เงียบเหงา เคว้งคว้าง และหนาวเหน็บจนน่าขนลุก มันไม่เหมาะกับเด็กวัยสิบหกอย่างคิริมาเลยสักนิด แต่ชะตาก็กำหนดให้เธอมายืนร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่นี่ ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของเธอเกิดขึ้นที่ห้องดับจิตของโรงพยาบาลแห่งนี้ พ่อและแม่นอนอยู่บนเตียงข้างกันในสภาพไร้ลมหายใจ ทั้งคู่มีปากเสียงกันขั้นรุนแรง และถึงขั้นลงไม้ลงมือ ก่อนจะจบชีวิตลงด้วยคมมีดที่ต่างจ้วงแทงกัน
จากคนที่เคยรักกันปานจะกลืนกินกลับกลายเป็นเกลียดกันจนสามารถทำร้ายให้ตายกันไปข้าง เพียงเพราะมีมือที่สามเข้ามาแทรกกลาง แต่อะไรก็ไม่โหดร้ายและแสนเจ็บปวดเท่ากับทุกช่วงเวลาของการเกิดเหตุสุดสะเทือนขวัญนั้นมีเธอร่วมรับรู้และอยู่ด้วยในทุกเสี้ยววินาที พ่อกับแม่ทำร้ายกันด้วยแรงโทสะทั้งหมดที่มี โดยไม่สนเสียงร้องไห้วิงวอนปานปิ่มจะขาดใจของลูกสาวอย่างเธอ วาจาหยาบคายถูกพ่นออกมาสาดใส่หน้ากัน และถ้อยคำเหล่านั้นก็ทำให้เธอช็อกไม่น้อย เพราะได้รับรู้ความจริงอย่างกระจ่างใจว่าทำไมแม่ถึงห้ามเสมอว่าอย่าเอ่ยถึงพ่อให้ได้ยิน นั่นก็เพราะว่าพ่อยักยอกเงินของบริษัทไปปรนเปรอเมียน้อยและลูกซึ่งอายุห่างจากเธอเพียงแค่ปีเดียว นั่นก็แสดงว่าพ่อนอกใจแม่ตั้งนานแล้ว ก่อนที่ทั้งคู่จะแทงกันจนลงไปนอนจมกองเลือดในสภาพน่าหวาดผวา กว่าคิริมาจะตั้งสติและโทรเรียกรถพยาบาลได้ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว พ่อกับแม่ของเธอต่างสิ้นใจก่อนจะถึงโรงพยาบาล
การสูญเสียบุพการีในเวลาเดียวกันทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อายุเพียงสิบหกอย่างเธอช็อกจนพูดไม่ออก และทำอะไรไม่ถูก มากกว่านั้นคือหวาดกลัว เคว้งคว้าง และโดดเดี่ยว ไม่รู้ว่าต้องจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไรดี และเธออาจจะเป็นบ้าสติแตกจนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง หรือไม่ก็หาทางทำให้ตัวเองตายตามพ่อกับแม่ไป หากว่าทนายความประจำตระกูลไม่เข้ามาปลอบประโลม และพาไปพบจิตแพทย์เสียก่อน
สรุปวันแม่ปีนี้คิริมาไม่โผล่ไปที่โรงเรียน เพราะเธอทำใจไม่ได้ที่เห็นเด็กคนอื่นมีแม่ แต่เธอกลับไม่เหลือแม่ ความรู้สึกมันแตกต่างจากที่แม่มอบหมายให้แม่บ้านไปทำหน้าที่แทนแม่โดยสิ้นเชิง มันเทียบกันไม่ได้ เธอไม่ต้องการใคร หากจะถามว่าเธอรักพ่อกับแม่เท่ากันหรือไม่ เธอตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเธอรักและเคารพพวกท่านทั้งสองเท่าๆ กัน ถึงแม้ว่าในระยะหลังๆ พ่อจะทำเหมือนลืมว่าเธอคือลูก แต่เธอก็ยังคงรักท่านไม่เปลี่ยนแปลง แต่หากจะถามว่าเธออาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปของใครมากกว่ากัน เธอก็คงจะตอบได้อย่างไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรองว่าแม่ เพราะเธอกับแม่มีความผูกพันกันมาตั้งแต่เล็กจนโต แม่คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเธอ
ตั้งแต่นั้นมาคิริมาก็เกลียดโรงพยาบาล พอๆ กับหวาดกลัวห้องดับจิต พะอืดพะอมกับการได้ยินคำนินทาว่าพ่อกับแม่ของเธอแทงกันตายต่อหน้า แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ชีวิตเธอยังต้องก้าวต่อไป ฉะนั้นจึงพยายามทำเป็นหูหนวกตาบอด และยังคงเรียนอยู่ที่เดิม เพราะถึงแม้พ่อกับแม่จะจากไปแต่ฐานะทางการเงินของเธอก็ไม่ได้ด้อยลง ตรงข้ามทายาทตระกูลดังอย่างเธอกลับกลายเป็นเศรษฐีเสียด้วยซ้ำ เพราะมีเงินปันผลจากบริษัทที่เป็นมรดก เงินจากการลงทุนทำธุรกิจหลายอย่างของแม่ รวมทั้งเงินจากการเล่นหุ้นที่แม่สอนให้เธอเล่นตั้งแต่อายุเพียงสิบห้าปี
ไม่นานคิริมาก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่คอนโดที่แม่ซื้อไว้เพียงลำพัง ส่วนคนในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน คนสวน คนขับรถ ทนายความประจำตระกูลเป็นคนจัดการมอบเงินก้อนให้ไปตั้งตัว เธอมิอาจอยู่ที่บ้านได้อีกต่อไป บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยอบอุ่น ปลอดภัย เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความสุข แต่ความสุขทั้งหมดนั้นกลับหายวับไปกับตา บ้านที่เธอเคยคิดว่าอบอุ่นกลับกลายเป็นสีเลือด น่าหวาดกลัวจนเธอมิอาจซุกหัวนอนได้อีกต่อไป เพราะหากยังอยู่ที่บ้านภาพอันเลวร้ายที่ยังติดตาคงตามหลอกหลอนเธอไปตลอดชีวิต
ชีวิตของคิริมายังคงวนเวียนอยู่ในวังวนเดิมๆ ทุกวันหลังเลิกเรียนก่อนกลับคอนโดเธอจะนั่งอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนตัวเดิมเป็นประจำ ด้วยไม่อยากกลับไปจมปลักอยู่กับความทุกข์ระทมเเสนสาหัสเพียงลำพัง สาวน้อยจึงเลือกที่จะทำการบ้านจนเสร็จถึงจะเก็บกระเป๋ากลับคอนโด เธอทำเช่นนี้ทุกวันตั้งเเต่ต้องพานพบกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต
หลังจากพ่อกับแม่จากไป และเพื่อนสนิทย้ายไปเรียนเมืองนอกแบบกะทันหัน เธอก็ค้นพบว่าตัวเองเหลืออยู่ตัวคนเดียวอย่างแท้จริง เพื่อนที่เคยคบหาถึงจะไม่สนิทแต่ก็พูดคุยกันบ้างต่างพากันตีตัวออกห่าง เธอกลายเป็นเหมือนแกะดำหรือไม่ก็ตัวอะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจ เพียงเพราะว่าพ่อกับแม่ของเธอแทงกันตายต่อหน้าต่อตาเธอ พวกท่านทั้งคู่เลือกที่จะจบชีวิตลงโดยทิ้งให้ลูกสาวอย่างเธอต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายมันเป็นความผิดของเธออย่างนั้นหรือ เธอผิดอะไรทำไมทุกคนถึงได้มองเธอเหมือนเป็นตัวประหลาดที่ไม่อยากเข้าใกล้
“ฉันได้ยินว่าพ่อกับแม่ยัยนั่นแทงกันตายต่อหน้าต่อตา ต้องเลือดเย็นเบอร์ไหนถึงยังลอยหน้าทำเหมือนกับว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้นไม่มีผลอะไรเลย”
“นั่นดิ พ่อกับแม่ฆ่ากันตายให้เห็นจะๆ เลยนะเว้ย”
นี่เป็นประโยคที่เธอได้ยินเสมอมาตั้งแต่พ่อกับแม่จากไป แต่ไม่เคยทำใจได้สักที น้ำตาเจ้ากรรมเจียนจะไหล หากแต่ในใจเตือนตัวเองว่าให้เข้มแข็งเข้าไว้
“คนแบบยัยนั่นต้องหลีกหนีให้ไกล เพราะไม่แน่ว่าวันดีคืนดียัยนั่นอาจจะแทงใครแล้วทำเป็นไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้ คนอะไรไร้ความรู้สึก…เลือดเย็นจนน่าขนลุก”
เสียงซุบซิบนินทาของเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ทำให้สาวน้อยผู้อาภัพที่ตกเป็นตัวประหลาดเพียงเพราะข่าวการฆ่ากันตายของพ่อและแม่แทบปล่อยโฮออกมา อยากจะตะโกนใส่หน้าคนพวกนั้นนักว่าใครไม่เป็นเธอคงไม่มีวันเข้าใจหรอก ว่าเธอต้องอยู่กับความเจ็บปวดและทุกข์ระทมแสนสาหัสมากเพียงใด การไม่แสดงออกทางสีหน้า การไม่ร้องไห้ฟูมฟายให้คนอื่นสงสารหรือเวทนาก็ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกเสียใจ
“หนูครีม” เสียงเรียกฟังดูนุ่มนวลทำให้คนที่กำลังนั่งตัวเกร็งน้ำตาคลอได้สติ หลุดจากภวังค์เศร้า แล้วเงยหน้ามองชายวัยใกล้เกษียณที่ใจดีกับเธอเสมอ
“ลุงทนาย” น้ำเสียงสั่นเครือบวกกับนัยน์ตาแดงๆ ที่คลอเคล้าไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ทำให้ผู้ที่มาทันได้ยินเสียงซุบซิบของเด็กนักเรียนหญิงมัธยมปลายที่นั่งห่างออกไปแค่สองโต๊ะรู้สึกเวทนาคนที่ขาดทั้งพ่อและแม่แบบกะทันหัน ก่อนจะก้มลงส่งสายตาให้กำลังใจ แล้วเอ่ยชักชวนเบาๆ
“กลับบ้านกันเถอะลูก…ลุงมารับ”
คิริมาพยักหน้าอย่างเศร้าๆ แล้วลุกขึ้นด้วยท่าทางเนือยๆ ก่อนจะเดินตามหลังทนายความประจำตระกูลไป ไม่นานทั้งคู่ก็มานั่งข้างๆ กันในรถตู้
“หนูมีอะไรอยากจะเล่าให้ลุงฟังไหมลูก”
หลังจากเอ่ยบอกให้คนขับรถออกรถ ทนายวิชิตก็หันมาหาคนที่เอาแต่นั่งบีบมือตัวเองและก้มหน้าไม่พูดไม่จา ท่าทางแบบนี้ทำให้คนที่รับใช้ตระกูลรุ่งเรืองโรจนไพศาลมาอย่างยาวนานรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามข่มกลั้นอารมณ์ไม่ให้ตัวเองแสดงความอ่อนแอออกมา
“ไม่มีค่ะ หนูไม่ได้เป็นอะไร…หนูโอเค” สาวน้อยปฏิเสธเสียงสะท้านพร้อมส่ายหน้าจนผมกระจาย ทว่ากลับไม่ยอมเงยขึ้นสบตากับอีกฝ่าย
“ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็พูดให้ลุงฟังได้นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว ถึงหนูจะไม่มีพ่อกับแม่แต่หนูก็ยังมีลุงอยู่นะลูก ถึงแม้หนูจะไม่ยอมไปอยู่ที่บ้านลุง แต่อย่างน้อยหากหนูมีเรื่องไม่สบายใจขอให้นึกถึงลุง หากอยากระบายอะไรก็ขอให้นึกถึงลุง ลุงสัญญาว่าจะเป็นผู้รับฟังที่ดี”
วาจาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและหวังดีทำให้คิริมาเงยหน้าขึ้น แล้วมองอีกฝ่ายเหมือนเด็กหลงทาง พอนายวิชิตวางมือลงบนศีรษะนุ่มสลวยเท่านั้นแหละความอดทนอดกลั้นก็พังทลายลงในชั่วพริบตา
“หนูผิดมากเหรอคะ ที่ไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น” เธอเอ่ยเสียงเครือเจือสะอื้น หยาดน้ำใสๆ หยดแหมะลงมาจากหางตาคนที่ใครต่อใครต่างพากันตราหน้าว่าเย็นชาไร้ความรู้สึก
“หนูไม่ผิดหรอกลูก ไม่ผิดเลยสักนิด เพราะหนูไม่ได้เป็นสาเหตุของการตายของพ่อและแม่ พ่อกับแม่ของหนูเลือกจุดจบของชีวิตด้วยตัวของพวกเขาเอง” นายวิชิตเอ่ยปลอบประโลม โดยยกเอาความจริงขึ้นมาประกอบเป็นเหตุและผล ขณะลูบศีรษะน้อยของคนที่กำลังปล่อยโฮออกมาแบบสุดกลั้น
ที่สุดคิริมาก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของคนที่เธอนับถือประหนึ่งญาติ เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะเป็นทนายความประจำตระกูลแล้วยังเป็นเพื่อนรักของผู้เป็นบิดา จากนั้นเธอก็ร้องไห้ปานปิ่มจะขาดใจ โดยมีนายวิชิตลูบหลังปลอบประโลมเบาๆ จนเวลาผ่านไปนานพอสมควรเธอถึงได้ผละห่างจากอีกฝ่าย
“เอ่อ…ลุงทนายคะ หนูอยากย้ายโรงเรียนได้ไหมคะ” หลังจากกลั้นก้อนสะอื้น คิริมาก็ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มแดงก่ำ แล้วเอ่ยเสียงเครือ
“ลุงว่าทนเรียนที่นี่อีกเทอมดีไหม เพราะถ้าย้ายไปกลางเทอมแบบนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่” นายวิชิตเอ่ยเป็นเชิงให้อีกฝ่ายได้คิดไตร่ตรอง ใจจริงก็อยากจะให้คิริมาย้ายโรงเรียนตั้งแต่วันนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่การย้ายโรงเรียนแบบกะทันหันย่อมส่งผลกระทบต่อการเรียนไม่มากก็น้อย
“งั้นขึ้น ม.5 หนูจะย้ายไปกรุณาสตรีวิทยานะคะ” หลังจากนั่งนิ่งใช้สมองน้อยๆ ทว่าฉลาดเป็นกรดคิดทบทวนอย่างรอบคอบอยู่พักใหญ่ คิริมาก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยกับความคิดเห็นของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยถึงโรงเรียนที่ตัวเองต้องการจะย้ายไปเรียนในปีการศึกษาหน้า
“ลุงว่าย้ายไปเซ็นต์มารีอาคอนแวนต์ดีกว่า ที่นั่นอาจารย์สายวิทย์มีแต่ขั้นเทพกันทั้งนั้น ครีมอยากเรียนวิศวอากาศยานไม่ใช่เหรอลูก”
“ค่ะ”
“งั้นที่นั่นล่ะเหมาะสุด”
“ค่ะ” ที่สุดคิริมาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
สาเหตุที่อยากย้ายโรงเรียนก็เพราะเธอทนเสียงซุบซิบนินทาไม่ไหว ใครจะว่าหนีปัญหา ไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงก็ช่าง แต่จะเอาอะไรกับเด็กอายุสิบหกอย่างเธอ ที่ยังสามารถทนยืนหยัดใช้ชีวิตเพียงลำพังโดยไม่คิดสั้นตามพ่อกับแม่ไปก็ดีเท่าไหร่แล้ว เธอก็แค่อยากไปอยู่ในที่ที่คิดว่าจะสบายใจขึ้น
ไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปนานแค่ไหนการตายของพ่อกับแม่ก็ยังคงเป็นบาดแผลที่หยั่งรากฝังลึกในใจ พ่อกับแม่ไปสบาย แล้วเธอล่ะ คิริมาก้มลงมองตัวเองอย่างเศร้าใจ ไม่เป็นไรหรอก เธอโตแล้ว อายุตั้งสิบหก เธออยู่คนเดียวได้ หลอกตัวเองให้เข้มแข็งแต่กลับน้ำตาทะลักออกมาอีกครา
นี่ไม่ใช่ชีวิตในแบบที่เธอฝันเอาไว้ ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย
วันหยุดเสาร์อาทิตย์คิริมาจะหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แม่กับพ่อทุกสัปดาห์ วันนี้สาวน้อยตื่นแต่เช้ามาทำอาหารที่พ่อกับแม่ชอบ แล้วมาทำบุญที่วัดเพียงลำพัง หลังก้าวลงจากศาลาร่างบางก็เดินไปปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาด ก่อนจะสาวเท้าไปยังเจดีย์ที่บรรจุอัฐิของพ่อและแม่ซึ่งตั้งอยู่ข้างกัน แค่เห็นรูปที่ติดอยู่สาวน้อยก็ยื่นมือสั่นเทาไปลูบไล้แผ่วเบา แล้วสะอื้นฮักน้ำตาไหลทะลัก ความคิดถึงและโหยหาอัดแน่นไปทั้งหัวใจ
“ทำไมพ่อกับแม่ต้องทิ้งครีมไปด้วยคะ…ครีมผิดอะไร” สาวน้อยตัดพ้อทั้งน้ำตา แล้วยกลำแขนเสลาขึ้นกอดตัวเองเอาไว้ด้วยความอ้างว้างสุดหัวใจ
“แล้วทำไมต้องทำร้ายกันด้วยคะ ทำไมถึงไม่รักกันเหมือนตอนที่ครีมเป็นเด็กๆ ทำไมพ่อต้องนอกใจแม่ไปมีคนอื่น” เธอรำพันอย่างเจ็บปวด แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งโพล่งขึ้น
“ก็เพราะแม่ของเธอไม่ได้เรื่องเอาแต่บ้างานยังไงล่ะ พ่อถึงต้องหนีไปหาแม่ฉัน แม่ของเธอมันแย่ อยากตายก็ตายไปคนเดียวสิ ทำไมต้องลากพ่อฉันไปตายด้วย”
สิ้นน้ำคำร้ายๆ ทำลายหัวใจคนที่ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปก็ค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่ คำว่า ‘พ่อ’ ของเด็กนั่นทำให้เธอแทบช็อก เพราะหยุดคิดเพียงนิดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายคือลูกของพ่ออีกคน อีกฝ่ายคือลูกของเมียน้อยของพ่อ และที่น่าเศร้าและเจ็บปวดหัวใจเหลือแสนคืออีกฝ่ายเป็นคนที่แย่งความรักของพ่อไปจากเธอ แม้แต่พินัยกรรมในส่วนของพ่อยังยกทรัพย์สินให้ลูกเมียน้อยกับเธอคนละครึ่ง แต่ถึงกระนั้นความรักที่คิริมามีต่อพ่อก็ไม่เคยจืดจาง
“ว่าไง…ทำไมแม่เธอถึงได้ร้ายกาจนัก มีสิทธิ์อะไรมาพรากพ่อไปจากฉัน”
เสียงแข็งกร้าวชวนหาเรื่องทำให้คิริมาได้สติ ก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายผลักอกแรงๆ จนเซไปข้างหลังเพราะไม่ทันตั้งตัว ทันใดนั้นร่างบางก็สะดุ้งน้อยๆ เมื่อโดนกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆ ข่วนขา แต่ยังไม่ทันได้ก้มลงดูขาตัวเองที่รู้สึกแสบจี๊ดๆ อีกฝ่ายก็เดินเข้าหา แล้วตะโกนใส่หน้าด้วยท่าทางคั่งแค้น
“แม่เธอมีสิทธิ์อะไรมาพรากพ่อไปจากฉันกับแม่!”
“เธอจะมาคาดคั้นเอาอะไรจากฉัน เธอเสียแค่พ่อ แต่ฉันเสียทั้งพ่อและแม่ ฉันไม่เหลือทั้งพ่อและแม่เธอได้ยินไหม ได้ยินไหมว่าฉันไม่เหลือใคร” คิริมาผลักอกอีกฝ่ายคืน แล้วสวนกลับอย่างเหลืออด เจียนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ แต่ไม่หรอกเธอจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้เห็นน้ำตา การแสดงความอ่อนแอไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนา
“ทุกอย่างมันเป็นเพราะแม่ของเธอ ถ้าแม่ของเธอไม่บ้าสติแตกเพราะความหึงหวงแม่กับฉันก็คงไม่ต้องเสียพ่อไป” คนที่ถูกแม่ฝังหัวให้เกลียดเมียหลวงและลูกมาตั้งแต่เล็กจนโตยังคงไม่เลิกราวีง่ายๆ และการปรักปรำว่าทุกอย่างเป็นความผิดของแม่เธอแต่เพียงผู้เดียวก็ทำให้คิริมาโกรธจนตัวสั่น
“ถ้าเธอไม่รู้อะไรก็อย่าพูด และอย่าบังอาจมาใส่ร้ายแม่ฉัน!” คิริมากดเสียงต่ำตอบโต้ ตบท้ายด้วยการเอ่ยเป็นเชิงปกป้องแม่ของตนในท้ายประโยค
“ฉันจะใส่ร้ายจะทำไม แม่เธอมันชั่ว! แม่เธอมันเลว! ได้ยินไหม!”
แทนที่จะกริ่งเกรงพิริยากลับเอื้อมมือมากระชากไหล่ของคิริมา แล้วเขย่าแรงๆ พร้อมตะโกนใส่หน้าปาวๆ และกำลังจะทำร้ายคิริมาด้วยฤทธิ์ของโทสะหากว่าเสียงกระด้างของใครบางคนไม่ดังแทรกขึ้นเสียก่อน
“หยุดนะ!”
“อย่ามายุ่ง!” พิริยาซึ่งอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราดเต็มที่ไม่สนแม้กระทั่งจะหันไปมองผู้ที่ส่งเสียงมาห้ามปรามแต่อย่างใด เธอจ้องหน้าคิริมาอย่างชิงชัง แล้วคาดคั้นเสียงแข็งๆ
“ตอบมาว่าทำไมแม่เธอต้องฆ่าพ่อฉัน…ทำไม!”