“พี่ดินยังไม่มาค่ะ เห็นว่าเอางานไปส่ง เดี๋ยวก็คงมา พี่หลารอก่อนนะคะ”
ฉันยิ้มแห้งเมื่อมีคนรู้ทัน
“ไม่ได้มองหาสักหน่อย”
“ฮั่นแน่… ถึงฟ้าจะเด็ก แต่ฟ้าก็ดูออกน้า”
“ดูออกดูเอิกอะไร พี่หาใบสมัครโครงการต่างหากล่ะคะ ไม่ได้มองหาใครสักหน่อย” ฉันโบกไม้โบกมือปฏิเสธไปงั้นแหละ ยิ่งพูดยิ่งเหมือนแก้ตัวยังไงไม่รู้แฮะ ส่วนยายน้องก็มองด้วยสายตาแสนจะรู้ทัน น่ามันเขี้ยวจริง
“ค่า ๆ เดี๋ยวฟ้าเอาใบสมัครมาให้นะคะ”
“จ้ะ”
ฉันมองตามหลังของน้องฟ้าที่เดินไปเอาใบสมัครข้างหลัง ก่อนจะเบนสายตามองป้ายโครงการและรูปภาพกิจกรรมต่าง ๆ งานส่วนใหญ่ของโครงการเป็นประเภทสร้างหอสมุด สร้างห้องน้ำ สร้างแหล่งเรียนรู้ ตามแต่ประสงค์ของคนเสนอ ดูเหมือนว่ารอบนี้จะเป็นการสร้างหอสมุด แถมยังเป็นค่ายจิตอาสาที่ยาวนานถึงสองสัปดาห์เลยด้วย แล้วคนอย่างฉันจะไหวไหมนะ พอดึงตัวเองกลับมาโลกความจริงทีไรก็ได้แต่ฉุกคิดว่าตัวเองน่ะจะไหวหรือเปล่า ยิ่งเป็นพวกขี้โรคอยู่ด้วย กลัวจะไปเป็นภาระให้พวกเขาซะมากกว่า
“มาจริง ๆ ด้วยสินะ”
ฉันหันมองเจ้าของประโยคทันที อา... แสบตาจัง คนอะไรเปล่งแสงได้
เพียงแค่เห็นหน้าของเขา ก็สรุปได้ว่าคิดถูกแล้วล่ะที่สมัครโครงการนี้ ถ้าป่วยแล้วได้อยู่กับเขาก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วล่ะชีวิตนี้
“เอ่อ… หวัดดี”
แผ่นดินมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ต้องใส่รองเท้าผ้าใบนะ”
“อืม… รองเท้าผ้าใบ! ฉันมี! ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะขนไปสิบคู่เลย!”
ฉันเผลอพูดเสียงดังด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะพยายามลดเสียงลงเมื่อเห็นคนอื่นมองมา
“ฮะ ๆ คู่เดียวก็พอ แต่ถุงเท้าน่ะ เอาไปเยอะหน่อยก็ดี”
เมื่อกี๊...เขาหัวเราะใช่ไหม ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม เขากระตุกยิ้มอะ แล้วก็ ได้ยินเสียงด้วย รู้สึกเหมือนหัวใจกระตุกวูบเลย อา… อยากจะเป็นลม ถ้าเขายิ้มให้ฉัน ฉันตายตรงนี้ก็ไม่เสียดายแล้วจริง ๆ
แผ่นดินเดินเข้าไปในซุ้มของตัวเอง แล้วเอาใบสมัครมาให้ฉัน ว่าแต่น้องฟ้าล่ะ
“ก็เห็นยายฟ้าส่งข้อความมา ก็นึกว่าเป็นอะไร”
อ้อ… ที่แท้น้องฟ้าเป็นคนบอกเขาเองเหรอ เป็นงานนะเนี่ยว่าที่น้องสาวคนใหม่ของฉัน
ฉันขยับยิ้มมุมปาก พยายามห้ามจมูกไม่ให้บาน ก็เก็บอาการแล้วนะแต่มันก็ไม่ไหว เหมือนหัวใจจะวาย ตายลงตรงนี้ ศพสีชมพู…
ฉันห้ามตัวเองไม่ให้สั่นเพราะกลัวลายมือไม่สวยเหมือนหน้า แต่ไอ้คนจ้องก็จ้องจัง จะจ้องหาอะไร เขินไปหมดแล้วเนี่ย! กว่าจะเขียนข้อมูลครบก็เล่นเอาเกือบขาดอากาศตาย อย่างกับไปวิ่งมาสิบกิโล
ฉันยื่นใบสมัครคืนให้เขาแบบควบคุมตัวเองสุด ๆ ห้ามความติ่งของตัวเองนี่มันยากจริง ๆ เหนื่อยอะ ไม่อยากเป็นแฟนคลับแล้วนะ นายควรมาเป็นแฟนฉันได้แล้ว!
“ไม่สบายหรือเปล่า หน้าซีด ๆ นะ” แผ่นดินถาม
สายตาของเขาดูเป็นห่วง ฉันไม่ได้คิดไปเองนะ! สาบานได้! แต่ฉันจะไม่สบายก็เพราะสายตาของนายตอนนี้นี่แหละค่ะ อยากเป็นลมให้นายอุ้มไปส่งที่ห้องพยาบาลจัง บางทีก็อยากจะอ่อยตรง ๆ แรง ๆ แต่ก็ทำไม่ไหว กลัวว่าเขาจะวิ่งหนีแทน
“เปล่า… แค่ยังไม่กินข้าวเช้าเฉย ๆ” อีกอย่างฉันบอกไม่ได้หรอกว่าแต่งหน้าบาง เพราะนายแอบด่าฉันว่าหน้าแก่ คิดแล้วงอน แต่เขาคงไม่ง้ออะเอาจริง TT
“จะอดข้าวเช้าไม่ได้นะ”
“...”
“มีเรียนต่อรึเปล่า ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย”
สาเหตุการตาย : ถูกผู้ชายชวนไปกินข้าว
การไม่คิดลึกถือเป็นลาภอันประเสริฐของผู้หญิงขี้มโน ไอ้เราก็นึกว่าจะชวนไปกินข้าวที่ห้อง จริง ๆ คือโรงอาหารคณะอีกฝั่งที่ฉันไม่เคยไป แต่ผัดเผ็ดตีนไก่ที่นี่ก็อร่อยดี
“ฉันเพิ่งเคยมานั่งกินที่นี่ ไม่รู้ว่าจะอร่อยขนาดนี้”
“กับข้าวที่นี่ก็ผลผลิตจากคณะเกษตรนี่แหละ ออร์แกนิคนะ”
“พูดจริง! ปกติมันอยู่ข้างในคณะอะ ฉันเลยไม่กล้ามา ถ้ารู้ว่าออร์แกนิคคงมาบ่อย ๆ” มาดูหน้านายบ่อย ๆ นั่นแหละ บางทีก็เวทนาตัวเองเวลาใช้กล้องส่องทางไกลเหมือนกันนะ เหมือนพวกโรคจิตยังไงไม่รู้
แต่ถามว่าจะส่องไหม ก็ส่อง... ช่วยไม่ได้ที่มันกลายเป็นงานอดิเรกไปแล้ว แต่ต่อหน้าเขาคงต้องเหยียบให้มิดอย่างเดียว ไว้คบกันเมื่อไหร่จะเอารูปแอบถ่ายทั้งหมดอัดไว้เป็นอัลบั้มแล้วส่งให้เป็นของขวัญครบรอบหนึ่งปีก็แล้วกัน ถามว่าสามปีมีเยอะขนาดไหนน่ะเหรอ ก็หนาพอ ๆ กับธีสิสห้าหกเล่มรวมกันนั่นแหละ
อยู่ ๆ บรรยากาศก็เงียบลงเฉย ๆ
แน่ล่ะ ถ้าเขาไม่พูด ฉันจะกล้าพูดเหรอ ไอ้ความกล้าในวันที่กวนประสาทเขาในวันนั้นน่ะ บินหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้ ตอนนี้มันเหมือนมีเส้นกั้นระหว่างฉันกับเขาอยู่ ตอนแรกเส้นนั้นมันก็ดูบาง ๆ ดีอยู่หรอก แต่พอปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ แบบนี้ เส้นกั้นที่ว่ากลับเริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้น ชัดจนรู้สึกว่าไม่กล้าข้ามเข้าไป เหมือนมีป้ายห้ามเข้าวางแปะไว้ตรงหน้า ส่วนฉันก็ทำได้แค่ชะเง้อมองดูอยู่ไกล ๆ
“นี่…”
ฉันรีบวางช้อนเงยหน้ามองทันทีที่เสียงของเขาดังขึ้น มันชัดเจนแม้ว่าในโรงอาหารจะเต็มไปด้วยผู้คนมากมายก็ตาม แน่ล่ะ ก็ฉันสนใจแค่เขานี่นา
“คะ” ไม่รู้ล่ะว่าตอนนี้ตัวเองทำหน้าตาแบบไหน ทำไมเขาถึงทำหน้าแปลก ๆ แบบนั้น หรือว่าฉันเผลอแสดงธาตุแท้ออกไป ไม่นะ!
“กินเลอะแล้ว”