บ้านหลังใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยความเศร้า ผ่านมากว่าสามเดือนที่ลูกชายเพียงคนเดียวของเปลวและบีเกลประสบอุบัติเหตุจนสูญเสียการมองเห็น แทนที่เจ้าของร่างกายจะยอมรักษาให้หายเขากลับไม่คิดจะทำ คนเป็นพ่อแม่ได้แต่ทำใจยอมรับการตัดสินใจของลูก แต่จะให้อยู่เฉย ๆ ทนดูเขาเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ไหว
“เวทมนต์ พ่อมีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย”
“มีอะไรเหรอครับ” เวทมนต์หันไปตามเสียง ไม่ว่าภาพตรงหน้าจะเป็นยังไงก็ไม่มีผลต่อเขา เพราะสิ่งเดียวที่เขาเห็นมีเพียงความมืด
“พ่อจะให้ลูกหมั้น”
“ผมไม่หมั้น ไม่ว่ายังไงก็ไม่!” คนเป็นลูกปฏิเสธเสียงแข็ง เรื่องอะไรเขาจะยอมให้ใครมากำหนดชีวิตของเขา โดยเฉพาะเรื่องของคู่ชีวิตที่เขาควรมีสิทธิ์เลือกด้วยตัวเอง
“ลูกจะอยู่แบบนี้ไม่ได้เวทมนต์ เวลาที่พ่อกับแม่ไปทำงาน ใครจะคอยดูแล”
“ผมอยู่ได้โดยไม่ต้องให้ใครมาดูแล ไม่ต้องคิดจะให้ผมหมั้นเพื่อเป็นภาระของใคร” เขายังคงเถียงกลับไม่ยอมแพ้ เพราะเวทมนต์ไม่ใช่คนหัวอ่อน ส่วนเปลวก็เหมือนกัน
“แต่พ่อจะให้แกหมั้น ไม่ว่ายังไงแกก็ต้องหมั้น”
“พี่เปลว…” บีเกลเรียกสามีเสียงอ่อน เธอรู้ดีว่าการถูกบังคับมันแย่แค่ไหน และเปลวเองก็ควรเข้าใจเรื่องนี้ดีเหมือนกัน
“พ่อยังไม่อยากแต่งกับแม่เลยตอนที่ปู่บังคับ แล้วพ่อจะมาบังคับผมเพื่ออะไร”
“ฉันทำทุกอย่างเพราะหวังดีกับแกทั้งนั้นเวทมนต์ ถ้าฉันไม่รักแกฉันคงไม่ทำ เพราะแบบนั้นต่อให้แกยืนยันหัวชนฝา ฉันก็ไม่มีวันยอมล้มเลิกสิ่งที่ตั้งใจ เตรียมตัวเป็นคู่หมั้นที่ดีซะ อย่าให้หนูบลูเบลล์ต้องมาเหนื่อยเพราะนิสัยไม่ยอมโตของแก” เปลวเดินหันหลังจากไปไม่รอฟังลูกชายที่โวยวาย เขาเองเจ็บไม่แพ้กันที่ต้องเลือกทางนี้
แต่ทุกครั้งที่ต้องไปทำงานห่างไกลบ้าน เปลวไม่เคยอยู่ได้อย่างสงบสุข เขาทำงานไประแวงไปว่าเวทมนต์จะอยู่ยังไง คนอื่นจะดูแลลูกได้ดีมั้ย หากมีคนที่อยู่ในฐานะคนรักของเวทมนต์มาทำหน้าที่ตรงนี้ เขาและบีเกลคงไม่ต้องบังคับลูก เมื่อคนที่ควรอยู่ไม่อยู่ เปลวจึงตัดสินใจหาคนมาอยู่แทนที่ตรงนั้นด้วยตัวเอง
“พี่เปลว เกลว่า…” บีเกลเดินตามเปลวมาเพื่อโน้มน้าวสามี
“อย่ามาพูดแทนลูกบีเกล พี่ปล่อยลูกนานกว่านี้ไม่ได้ เมื่อวานหมอบอกพี่ว่าถ้าเวทมนต์ทิ้งการรักษานาน ๆ เขาจะไม่มีสิทธิ์กลับมามองเห็นอีกแล้ว”
“แต่เกลว่าเรามีทางอื่นนะพี่เปลว เราค่อยๆ คุยกับลูกก็ได้ พี่ก็รู้ว่าการถูกบังคับมันเจ็บแค่ไหน ถ้าเวทมนต์ไม่เปิดใจรับแบบนี้ หนูบลูเบลล์จะต้องเจอกับอะไรบ้างไม่รู้” คนเคยเจ็บแบบเธอมักรู้ดีถึงสิ่งที่จะตามมา
“พี่รู้เกลกลัวว่ามันจะเป็นแบบเรื่องของเรา แต่พี่ไม่เห็นทางอื่นเลย พี่เชื่อว่าความน่ารักของเด็กคนนั้นจะทำให้เวทมนต์รักได้อย่างไม่มีเงื่อนไข” เพราะเด็กคนนั้นค่อนข้างที่จะมีจิตใจดีและเมตตา อีกทั้งกว่า 70% บลูเบลล์คล้ายกับบีเกลมาก ๆ เปลวถึงวางใจ
“แล้วพี่เคยคิดมั้ยว่าเด็กที่สดใสถ้าต้องมาเจอเวทมนต์ เขาจะเป็นยังไง” แววตาของคนเป็นแม่ไหววูบ เปลวดึงภรรยาเข้ามากอด
“ลองดูสักตั้ง ถ้ามันแย่ พี่สัญญาว่าจะปล่อยเด็กคนนั้นไป”
“เราต้องคุยกับบลูเบลล์ก่อน ถ้าเขาไม่ตกลง พี่เปลวห้ามบังคับเขาเด็ดขาด สัญญากับเกลได้มั้ย” เปลวทำหน้าหนักใจเพราะหวั่นไม่น้อยว่าคนที่หมายปองจะให้มาเป็นลูกสะใภ้จะไม่ยอม
“ครับ พี่สัญญา ถ้าเขาไม่ยอม พี่จะเลือกคนอื่นคนที่พี่มั่นใจว่าเขาจะดูแลลูกของเราได้โดยไม่รังเกียจ หรือคิดว่าลูกเราเป็นภาระอย่างที่เจ้าตัวคิด”
เช้าของอีกวัน
เปลวเดินทางมายังหอพักใกล้ ๆ กับมหาวิทลัยที่เขาเป็นคนจ่ายค่าเช่า และโทรตามผู้อยู่ให้ลงมาพบ พร้อมกับแจ้งว่ามีเรื่องสำคัญที่จำเป็นต้องคุยกัน
“คุณเปลว คุณเกล สวัสดีค่ะ”
“สวัสดี หนูเพิ่งเลิกเรียนเหรอ?” บีเกลเอ่ยถามเด็กสาวตรงหน้าและยิ้มอย่างเอ็นดู
“ใช่ค่ะ เดี๋ยว 5 โมงหนูจะไปทำงานพาสไทม์ต่อค่ะ” เธอเป็นเด็กกตัญญู และนิสัยดีมาก ๆ จากที่เปลวให้คนคอยตามดูในช่วงหลังมานี้
“ฉันบอกว่าติดขัดตรงไหนให้บอก ไปหางานทำให้เหนื่อยทำไม?”
“หนูไม่อยากให้คุณ ๆ ต้องเสียเงินกับหนูเยอะค่ะ งานแค่นี้หนูทำได้ คุณเปลวไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“เอาล่ะ ที่ฉันมาวันนี้ฉันอยากมีเรื่องอยากจะขอเธอ” บลูเบลล์ตั้งใจฟังอย่างดี
“ฉันอยากให้หนูหมั้นกับลูกชายฉัน และย้ายเข้าไปดูแลเขา” บลูเบลล์เม้มปากแน่น เธอพอที่จะรู้เรื่องของเวทมนต์ จากข่าวตามโซเชียวและคำบอกเล่าของบีเกลที่คอยเล่าให้ฟังเวลาที่มาหา
“ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ และเธอคงอยากได้เวลาตัดสินใจ ฉันจะไม่เร่งเอาคำตอบแต่หากได้เร็วที่สุดจะดี จำไว้ว่ามันไม่ใช่การบังคับ ถ้าเธอไม่โอเค ไม่ต้องตกลง เข้าใจมั้ย ฉันจะยังส่งเสียเธอเรียนเหมือนเดิม”
“หนูตกลงค่ะ” ยิ่งครอบครัวของเปลวดีกับเธอมากเท่าไหร่ เธอยิ่งอยากตอบแทนพวกเขามากเท่านั้น
“หนูบลูเบลล์ หนูไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจพวกเรา” บีเกลอยากให้เธอได้คิดให้ดีก่อน เพราะการมีความสัมพันธ์ที่ผูกมัดไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
“หนูไม่ได้ทำเพื่อเกรงใจ เพราะหนูคิดว่าหนูสามารถทำมันได้โดยไม่ลำบาก พวกคุณไม่ต้องกังวลนะคะ”
“ฉันขอบใจหนูมากจริง ๆ อีกไม่กี่เดือนหนูก็ใกล้จะจบแล้วใช่มั้ย สะดวกหรือเปล่าถ้าฉันอยากให้หนูย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านภายในอาทิตย์นี้”
“ได้ค่ะ หนูนั่งรถมาเรียนได้ค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจะไม่ให้หนูลำบาก เมื่อเข้ามาเป็นสะใภ้ของตระกูลแล้ว” เปลวให้คำมั่น เขาจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดี ให้สมกับที่เธอยอมเสียสละ
“แค่ทุกวันนี้พวกคุณก็ให้หนูมามากพอแล้ว หนูต่างหากที่ต้องสัญญาว่าจะดูแลลูกชายของคุณคุณให้ดี”
“เลิกเรียกคุณเถอะ เรียกพ่อแม่ดีกว่า หนูกำลังจะเข้ามาเป็นคนในครอบครัวของเรา” บีเกลยิ้มด้วยความยินดี เธอยอมรับว่าไม่เห็นด้วยเท่าไหร่กับสิ่งที่สามีเลือก แต่หากมันไม่ใช่การที่บลูเบลล์ต้องฝืนใจมันก็ดีมากพอแล้ว
“ค่ะคุณพ่อคุณแม่” เปลวมองภรรยาที่เก็บความเอ็นดูเด็กคนนี้ไว้ไม่ไหว เธอมีความสุข เขาก็มีความสุขไปด้วย หลังจากนี้คงได้แต่ภาวนาว่าลูกชายตัวดีของเขาจะไม่หัวรั้นมากกว่าที่เป็นอยู่
สามวันหลังจากที่เปลวพูดเรื่องนั้นกับเวทมนต์ เขาก็แทบจะไม่ลงมากินข้าวด้านล่างอีกเลย เอาแต่คอยหลีกเลี่ยงการเจอกับผู้เป็นพ่อ พอเปลวเตรียมจะเดินเข้ามาคุย
แค่ได้กลิ่นน้ำหอมของพ่อเขาก็เลือกที่จะเดินหนี เปลวจึงไม่เซ้าซี้เพราะกลัวว่าหากเขายิ่งเดินเข้าหา เวทมนต์จะยิ่งเตลิดไปใหญ่ มันอาจจะแย่จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เพราะเวทมนต์มองไม่เห็น
“ได้คุยกับลูกบ้างมั้ย 2-3 วันมานี้?” เปลวถามภรรยาเพราะคิดว่าอย่างน้อยลูกชายก็น่าจะคุยกับแม่บ้าง เพราะแม่เป็นคนที่ไม่เคยบังคับเขาเลย
“ได้คุยบ้าง แต่เลี่ยงได้ลูกก็เลี่ยง”
“ยังดีที่หนูยังพอได้คุย พี่นี่สิ เฮ้อ” เขารู้ว่าบูกผิดหวังกับการตัดสินใจของเขา เพราะคิดว่ามาตลอดว่าพ่อคงไม่บังคับในเรื่องที่ตัวเองต้องเจอ แต่เขาคิดผิด
“อย่าคิดมากนะ เดี๋ยวเกลจะช่วยคุยกับลูกให้” เปลวพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนเขาจะเลือกเดินกลับขึ้นห้องทำงานเพื่อเคลียร์เอกสารให้ทันก่อนสิ้นเดือน ที่เขาและภรรยาจะต้องเดินทางไปไนจีเรียเพื่อเจรจาธุรกิจ
ก๊อก ๆ เวทมนต์หลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เขาภาวนาในใจว่าขอให้ไม่ใช่พ่อที่เขากำลังหลบหน้า และดูเหมือนคำภาวนาจะเป็นผล
“วันนี้เป็นไงบ้างน้องมนต์ของแม่” บีเกลนั่งข้างลูกชายและลูบหัวเบา ๆ
“แม่ครับ คุยกับพ่อให้ผมได้มั้ย?” เขาถามแม่ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“น้องมนต์ก็รู้ ว่าพ่อถ้าได้ตัดสินใจแล้ว ใครก็ขัดไม่ได้ แต่พ่อทำไปเพราะรักน้องมนต์นะลูก” เธอเป็นคนกลางเองก็อึดอัดไม่น้อย ไม่ชอบสักเท่าไหร่ที่ต้องเห็นลูกและสามีไม่พูดจากัน
“แต่ผมไม่ได้ต้องการแบบนี้ พ่อจะมั่นใจได้ไงว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ยอมหมั้นกับผมเพราะหวังอะไรจากเรา”
“ไม่คิดแบบนี้นะครับ ไม่น่ารักเลย อย่าเพิ่งอัคติกับน้อง บลูเบลล์เป็นเด็กดี แม่รับประกัน”
“แม่ก็เข้าข้างพ่อเหรอครับ แม่เห็นด้วยเหรอที่ต้องให้ผมหมั้นกับใครก็ไม่รู้” เขาหวังว่าจะใช้ลูกไม้นี้เพื่อทำให้แม่เปลี่ยนใจ แต่หารู้ไม่ว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
“เวทมนต์ไม่รู้จักน้อง แต่แม่รู้จัก และแม่มั่นใจ ลูกเชื่อเถอะ ว่าก่อนที่พ่อจะเลือกใครสักคนเข้ามาในชีวิตลูก คนคนนั้นจะต้องผ่านการรับรองของพ่อที่มาตราฐานล้านแปดแน่ ๆ” พูดง่าย ๆ ก็คือสามีเธอเรื่องมาก เธอรู้เรื่องนั้นดี
“แต่เขาไม่ใช่คนที่ผมรัก พ่อก็รู้ว่าผมรัก…” เขาหยุดพูดไปดื้อ ๆ เพราะกลัวว่าหากเอ่ยชื่อคนรักเก่าขึ้นมาอีกครั้ง อาจจะทำให้ความอ่อนแอของเขานั้นกลับมาอีก
“ให้โอกาสน้องเขาหน่อยนะเวทมนต์ ถ้าลูกคิดว่าไม่ได้รักน้องจริง ๆ รักษาหายเมื่อไหร่พ่อกับแม่จะพิจารณาเรื่องการถอนหมั้นให้”
“ผมไม่อยากรักษา”
“งั้นลูกก็ไม่มีวันได้ถอนหมั้น” บีเกลยื่นคำขาด เพราะการที่เธอยอมให้ลูกมาตลอดถึงทำให้เวทมนต์ต่อต้านการตัดสินใจที่เธอเลือกให้ และคิดว่าเธอจะช่วยพูดกับเปลวได้ทุกเรื่อง
“เฮ้อ”
“เลือกเอานะลูก ถ้าอยากถอนหมั้นกับน้องจริง ๆ ก็รีบหาย”
“ผมไม่ได้อยากหมั้นเลยนะครับ”
“บางทีถึงวันนั้นลูกอาจจะเป็นคนที่ไม่อยากถอนหมั้นก็ได้เวทมนต์” บีเกลเห็นใจลูกชายไม่น้อยเลย
“ไม่มีทางหรอกครับ ผมเลือกแล้วว่าจะรักใคร”
“แต่เขาทิ้งลูกไป ลูกรู้ใช่มั้ย?” ไม่มีใครอยากซ้ำแผลของลูกตัวเอง เพียงแต่คนเป็นแม่อยากให้ลูกได้ตัดใจ
“เขามีเหตุผล และผมเข้าใจ”
“งั้นแม่คงไม่มีอะไรต้องคุยเรื่องนี้อีก อาทิตย์นี้หนูบลูเบลล์จะบ้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ มาอยู่ห้องเดียวกับลูก แม่หวังว่าเวทมนต์จะไม่ทำในสิ่งที่แม่ไม่ชอบ” บีเกลสัญญากับตัวเองว่าเธอจะเข้มแข็งมากกว่านี้ เพื่อให้ลูกของเธอดีขึ้น
“ผมไม่ให้อยู่นะแม่ นี่มันห้องส่วนตัวของผม”
“งั้นก็ไปตกลงกับพ่อเอง เรื่องนี้พ่อเป็นผมตัดสินใจ” บีเกลหมุนตัวเดินออกจากห้องจะใจอ่อนไปมากกว่านี้
“โถ่เว้ย!” เวทมนต์หงุดหงิดมากที่ต้องกลายเป็นคนไม่มีสิทธิ์เลือก เขาปัดมือกวาดข้าวของที่ขวางมือทิ้งอย่างไม่ไยดี เสียงโครมครามที่ดังออกไปทำเอาใจคนเป็นแม่สลายและยืนร้องไห้อยู่หน้าห้องพักใหญ่ ก่อนจะปาดน้ำตาออกจากใบหน้าและเดินจากไป
วันอาทิตย์
รถคันหรูมาจอดที่หน้าหอพัก บลูเบลล์แบกเป้เพียงใบเดียวเดินขึ้นรถมาและไหว้คนขับอย่างอ่อนน้อม เธอรู้ว่าจะมีคนมารับที่ไม่ใช่เปลวและบีเกลเพราะบีเกลโทรมาบอกเองว่าร้านอาหารมีปัญหา ทำให้ไม่สามารถมารับได้ บลูเบลล์เข้าใจและไม่ได้เรียกร้อง
“ไม่ต้องไหว้หรอกครับคุณหนู”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณลุงอายุเยอะกว่าหนูอีก หนูต้องไหว้สิคะ” เธอตอบอย่างสดใส คนที่มารับก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นการ์ดคนสนิทอย่างแบงค์ที่ได้รับหน้าที่ตรงสำคัญนี้
“งั้นรัดเข็มขัดเลยครับ เพื่อความปลอดภัย” บลูเบลล์ทำตามและนั่งมองระหว่างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ เธอไม่เคยออกจากหอไปไหนไกล ๆ ที่เลือกอยู่หอใกล้มหาลัยตั้งแต่แรกก็เพราะกลัวตัวเองจะหลงทางหากต้องนั่งรถมา
“เรียนอยู่ปีไหนแล้วครับคุณหนู?”
“ปีสี่แล้วค่ะ หนูกำลังจะจบ คุณลุงเรียกหนูว่าบลูเบลล์ดีกว่าค่ะ เรียกแบบนั้นหนูไม่ชินเลย” ความเป็นกันเอง ความน่ารัก ทำให้แบงค์เห็นบีเกลแม่ของเวทมนต์ในเมื่อก่อน ไม่แปลกใจที่เจ้านายเลือกเด็กคนนี้เลย
“เรียนบริหารเหรอครับ?”
“เปล่าค่ะ หนูเรียนนิเทศ” ความฝันของเธอคือการได้ทำงานในวงการ เพราะรู้ว่าค่อนข้างที่จะหาเงินง่าย เธออยากมีเงินเยอะ ๆ เพื่อได้คืนให้กับผู้มีพระคุณและบริจาคให้บ้านเด็กกำพร้าที่เธอเติบโตมา
“เก่งมากเลยครับ ไม่น่าคุณเปลวกับคุณบีเกลชมบ่อย ๆ” บลูเบลล์ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินแบบนั้น อย่างน้อยเธอก็ทำให้ทั้งคู่ได้ภูมิใจในตัวของเธอ การมีคนยินดีกับสิ่งที่เธอทำมันเป็นอะไรที่เธอไม่ได้คาดหวังว่าไว้เลย
“ถึงแล้ว ลงกันเถอะครับ นายน้อยน่าจะอยู่ด้านล่างแล้ว”
“ขอบคุณนะคะ” เธอไหว้แบงค์อีกครั้งและเดินลงจากรถ ก่อนจะมองรอบ ๆ บ้านหลังใหญ่ และค่อย ๆ เดินเข้าบ้านช้า ๆ
“พ่อแม่ฉันจ่ายเธอเท่าไหร่ ฉันจะให้สิบเท่า แล้วไสหัวออกไปซะ!”
“เฮือก!”
#ลูกชายพ่อเปลวที่แท้จริง ขึ้นอย่างหงษ์เดี๋ยวตอนลงรู้เลย