หากมองย้อนเรื่องราวที่ผ่านด้วยใจไร้อคติ ไร้ความเคียดแค้นชิงชัง หยางจิ้งเสวียนก็นับว่าดูแลนางดีตามแบบฉบับของเขา
เขาให้เกียรตินาง ไม่เคยวุ่นวายให้นางรำคาญใจ ไม่เคยต่อว่าที่นางทำตัวแย่โมโหร้าย ตบตีบ่าวไพร่ในจวนเขาหรือแม้แต่ใช้จ่ายสิ้นเปลือง
แต่เมื่อนึกย้อนว่ามีชาติหนึ่งนางเคยตายด้วยยาพิษในมือเขา แม้รู้ว่าเป็นแผนยืมมือของสุ่ยอวิ๋นเหอ เพราะสุ่ยอวิ๋นเหอจ้องทำลายนางอยู่แล้ว อีกอย่างนางกับหยางจิ้งเสวียนก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกัน เขาไม่มีเหตุอะไรที่ต้องชังนางถึงขั้นฆ่าแกง
สุ่ยอวิ๋นเหอเวลาทำอะไรล้วนแยบยลจนคาดไม่ถึง!
แต่เพราะเหตุการณ์นั้นทำให้จิตใจหลี่หลินไม่สงบ นางยอมรับว่าพาลโกรธแค้นเขาเช่นกัน นั้นจึงเป็นสาเหตุที่นางทำเฉยเมยต่อเขามาทุกชาติ
หญิงสาวถอนหายใจเสียงดัง ในเมื่อชาตินี้นางคิดจะปล่อยวางทุกอย่างแล้ว จะมัวคิดเล็กคิดน้อยไปทำไมกัน ตอนนี้นางยังมีชีวิตอยู่ จึงอยากทำดีกับเขาสักหน่อย
หลี่หลินเรียกพ่อบ้านตู้ให้มาหา หญิงสาวรู้กระอักกระอ่วนใจนิดหน่อยที่จะถามบางอย่างจากเขา ที่ผ่านมานางกับพ่อบ้านตู้คนนี้ถูกกันเสียที่ไหน และไม่ใช่ไม่รู้ว่าเขาเองก็เกลียดขี้หน้านางเช่นกัน แต่เมื่อคิดดูแล้ว ก็มีเพียงพ่อบ้านตู้เท่านั้นที่น่าจะรู้ดีที่สุดว่าหยางจิ้งเสวียนชอบหรือไม่ชอบอะไร
“พ่อบ้านตู้พอจะรู้หรือไม่ ว่าท่านแม่ทัพชื่นชอบอะไรเป็นพิเศษนอกจากเรื่องการศึก” ถามจบก็แอบบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ
พ่อบ้านตู้เหลือบมองหน้านายหญิงคนสวย แน่นอนว่าเขาย่อมประหลาดใจ เพราะเมื่อก่อนสตรีคนนี้สนใจใครเสียที่ไหน หากสองเดือนที่ผ่านมานี้ นางก็ดูเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ไม่อาละวาดตบตีบ่าวไพร่เหมือนแต่ก่อน แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้มองนางในทางที่ดีขึ้นมากนัก
“อืม นายท่านไม่น่าจะมีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษ...” ชายวัยกลางคนทำท่าครุ่นคิด หากไม่ใช่เรื่องการศึกก็เกรงว่าไม่มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษแม้แต่หญิงงาม
พ่อบ้านตู้พอเดาได้ว่านางถามไปเพื่อเหตุใด จึงกล่าวเสริมว่า “หากฮูหยินอยากรู้ มิสู้ไปถามเจ้าตัวเองไม่ดีกว่าหรือขอรับ”
หลี่หลินเม้มริมฝีปาก ตอบเสียงเบา “ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อพ่อบ้านตู้กลับไปแล้ว หลี่หลินก็กลับเข้าห้องซุกตัวในผ้านวมผืนใหญ่ กรอกตามองบนอย่างครุ่นคิดจะให้อะไรเขาดี
จ้างช่างตีดาบให้เขาเหมือนสุ่ยอี๋เหนียงอีกสักเล่มดีหรือไม่?
ขณะที่คิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น เสียงฝีเท้าก็ดังเข้าห้องมา
“ฮูหยิน เกาลัดคั่วเกลือมาแล้วเจ้าค่ะ” หลานเอ๋อร์เดินเข้ามาพร้อมจานเกาลัดร้อนๆ นางรีบวางจานเกาลัดลงบนโต๊ะ สายตาแอบสอดส่องภายในห้องอย่างเงียบๆ การตกแต่งล้วนดูดี เครื่องเรือนแต่ละชิ้นล้วนมีราคา นานๆ ครั้งนางถึงจะมีโอกาสเข้ามาในห้องนี้ ฮูหยินหวงห้องนี้มาก อาจเพราะมีของสะสมล้ำค่าเก็บซ่อนอยู่ ดังนั้นจึงมีแต่เสี่ยวจูเท่านั้นที่เข้าออกและคอยทำความสะอาด
หลี่หลินขยับกายลุก คว้าลูกเกาลัดในจานขึ้นมา หญิงสาวร้องอุทานคำหนึ่งเพราะเกาลัดพึ่งคั่วเสร็จใหม่ๆ ยังร้อนอยู่
หลานเอ๋อร์ตกใจรีบก้มหน้าทันที นางตัวสั่นเล็กน้อย ด้วยกลัวว่าจะโดนทุบตีอีก เห็นฮูหยินบอบบางเหมือนไม่มีแรงเช่นนี้ ทว่ามือหนักมาก นางเองก็เคยโดนมามากจึงรู้ดี
“เสี่ยวจูเล่า” หลี่หลินคิ้วขมวด เอามือจับหูตัวเองพลางถามหาคนสนิท
หลานเอ๋อร์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ตอบเสียงแผ่ว “เสี่ยวจู...ไปเข้าห้องน้ำเจ้าค่ะ นางจึงวานให้ข้าเป็นคนนำเกาลัดคั่วเกลือเข้ามาให้ฮูหยิน” หลานเอ๋อร์ลอบถอนใจ สตรีผู้นี้คงเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หากเป็นเมื่อก่อน นางคงหลังช้ำอย่างไร้เหตุผลไปแล้ว!
เมื่อเห็นว่าฮูหยินไม่มีท่าทีโมโห จึงรีบคลานเข่าเข้าไปหาที่ปลายเตียง นางยิ้มแฉ่งจนเห็นฟัน “ฮูหยิน ช่วงนี้ท่านยังปวดขาอยู่หรือไม่เจ้าคะ ให้ข้าช่วยนวดให้ดีหรือไม่” นิสัยเดิมหลานเอ๋อร์นั้นชอบประจบสอพลอ แม้จะโดนทุบตีอยู่บ่อยครั้งก็ตาม หากแต่ฮูหยินอารมณ์ดีและนางทำถูกใจ ก็จะได้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ เป็นการตอบแทน
“ข้าไม่ปวด” หลี่หลินส่ายหน้าปฏิเสธ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใช้ขาเดินเท่าไรจึงไม่ปวด
หลี่หลินเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางหันขวับไปหาหลานเอ๋อร์ “หลานเอ๋อร์ สมมติว่าเจ้ามีทุกอย่างที่ต้องการครบแล้ว ...หากเป็นวันเกิดเจ้า เจ้ายังอยากได้อะไรอีกหรือไม่”
หลานเอ๋อร์ทำหน้างุนงงอยู่พักหนึ่ง ทบทวนคำถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะตอบคำถามอย่างประหม่าว่า “เอ่อ...แค่บะหมี่อายุยืนสักถ้วยก็พอแล้วเจ้าค่ะ” ตอนที่มารดานางยังมีชีวิตอยู่ ทุกปีมารดาจะทำบะหมี่อายุยืนให้นางกิน เป็นเพราะครอบครัวยากจนไม่มีเงินซื้อของดีๆ ทว่าเท่านี้นางก็มีความสุขแล้ว
“...บะหมี่อายุยืนงั้นหรือ”
หยางจิ้งเสวียนไม่ชอบงานสังสรรค์รื่นรมย์ ทุกปีจึงมีแต่คนนำของกำนัลมาให้ที่หน้าจวน
ช่วงนี้การโจมตีของฝ่ายตรงข้ามรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงไม่กลับเข้าเมืองมาเลย หายหน้าหายตาไปเกือบเดือน
จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง เสี่ยวจูก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามารายงานว่านายท่านกลับมาแล้ว หลี่หลินได้ยินจึงรีบสาวเท้าไปที่ครัวทันที
นางจะทำบะหมี่อายุยืนให้เขา! ของที่ลงมือทำเองล้วนพิเศษ
เพียงเท้าก้าวเข้ามาเหยียบในพื้นที่ครัว บ่าวไพร่ก็พากันตื่นตระหนกตกใจ ประหนึ่งเห็นปีศาจร้ายย่างกรายเข้ามา ทว่าแต่ก่อนนางก็ใกล้เคียงกับคำนี้ไม่ใช่หรือ
หลี่หลินก็พอรู้ว่าคนเหล่านั้นคิดอะไรอยู่ นางจึงโบกมือและกล่าวว่า “ข้ามาขอยืมครัวสักประเดี๋ยว”
เสี่ยวจูช่วยจุดไฟและตั้งหม้อต้มน้ำ หลี่หลินลวกเส้นทำบะหมี่ โดยมีเสี่ยวจูคอยชี้แนะอยู่ไม่ห่าง นี่เป็นครั้งแรกที่นางเข้าครัวเลยนะ
หยางจิ้งเสวียนถือเป็นโชคดีของเจ้า!
หญิงสาวรีบทำรีบเสร็จกลัวว่าจะรบกวนคนในครัวมากเกินไป เมื่อเสร็จแล้วก็รีบยกไปให้เขาที่เรือนเล็กด้านหลัง
“ท่านแม่ทัพอยู่หรือไม่” หลี่หลินถามบ่าวชายที่อยู่หน้าเรือน
“อยู่ขอรับ อยู่ในห้องหนังสือ” บ่าวชายคนนั้นตอบอย่างนอบน้อม
หญิงสาวมีท่าทีลังเลว่าจะเข้าเอาไปให้เขาดีหรือไม่ สุดท้ายนางก็ตัดสินใจได้ หันไปบอกกับบ่าวชายคนเดิมว่า “ข้าทำบะหมี่มาให้เขา วานเจ้าเอาไปให้เขาที”
หลี่หลินพยักหน้าให้เสี่ยวจูที่ยืนถือถาดอยู่ด้านหลัง เมื่อส่งมอบเสร็จนางก็รีบซอยเท้ากลับเรือนหานเยว่ทันที
“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินนำบะหมี่มาให้ขอรับ” เสียงที่หน้าประตูห้องดังขึ้น หยางจิ้งเสวียนได้ยินถึงกับขมวดคิ้ว ก่อนจะค่อยๆ คลายคิ้วที่ขมวดเปลี่ยนเป็นยิ้มที่มุมปากแทน
ชายหนุ่มตะโกนเสียงทุ้มตอบกลับมา “ยกเข้ามา!”
“อี๋เหนียง ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” อาจูยิ้มหน้าระรื่นวิ่งเข้ามารายงาน
สุ่ยอวิ๋นเหอที่กำลังพรวนดินรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายสดใส เกือบเดือนแล้วที่ไม่ได้เห็นหน้าเขา นางจึงรีบกล่าวกับอาจูด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “อาจู หากข้าทำบะหมี่อายุยืนให้ท่านพี่ตอนนี้จะดีหรือไม่” แม้จะเลยวันเกิดเขามาแล้ว แต่นางก็อยากทำให้เขา
“ดีเจ้าค่ะ อี๋เหนียง”
สุ่ยอวิ๋นเหอมาหาหยางจิ้งเสวียนที่เรือนเล็ก บนตักนางมีกล่องไม้ยาวราวศอกครึ่ง เมื่อสองเดือนก่อนนางได้จ้างช่างตีเหล็กฝีมือดีให้ทำดาบเล่มนี้ขึ้นมา ทั้งยังสลักชื่อเขาไว้ด้วยที่ฝัก ตั้งใจจะให้เป็นของขวัญเนื่องในวันเกิด ทว่ายังไม่มีโอกาสได้ให้เลยเพราะเขาติดภารกิจ
หญิงสาวนั่งรออยู่ที่ห้องโถงด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าแย้มรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
สุ่ยอวิ๋นเหอแอบชอบหยางจิ้งเสวียนมานานแล้ว
ครั้งหนึ่งเขาเคยพาลูกน้องใต้บังคับบัญชามากินดื่มที่ภัตตาคารหงเซ่อ ซึ่งเป็นกิจการหลักของครอบครัว วันนั้นนางบังเอิญไปที่ภัตตาคารด้วยเช่นกัน อุดอู้อยู่แต่ในเรือนจนเบื่อแล้ว
นางได้ยินเสี่ยวเอ้อคุยกันว่า วันนี้แม่ทัพหยางพาลูกน้องมาดื่มสุราที่นี่ ดวงตานางของลุกวาวด้วยความตื่นเต้น นางได้ยินชื่อเสียงของเขามานานแล้ว ทั้งยังแอบชื่นชมเขา เขาเป็นคนเก่งกล้า ปกป้องประชาชนในเมืองเล็กๆ อย่างผิงเหยาให้อยู่อย่างสงบสุข
เมืองผิงเหยาติดชายแดน รอบนอกจึงไม่ค่อยสงบเท่าไรนัก ประชาชนล้วนอยู่อย่างหวาดวิตก ทว่าเมื่อหยางจิ้งเสวียนย้ายมาประจำการ ประชาชนก็อยู่อย่างอุ่นใจ
เขาถือเป็นบุรุษรูปงาม หน้าตาหล่อเหลา ทว่ามักปราศจากรอยยิ้ม เขาดูเงียบขรึมจนน่าหวั่นกลัว แต่สำหรับสุ่ยอวิ๋นเหอแล้ว เขาช่างเป็นบุรุษที่น่าค้นหายิ่งนัก
สุ่ยอวิ๋นเหออยากเสนอตัวเป็นผู้นำสุราไปให้เขาเหลือเกิน ทว่าคงไม่สะดวกเท่าไร ช่วงเย็นลูกค้าค่อนข้างเยอะ ที่สำคัญนางก็นั่งเก้าอี้รถเข็นซึ่งเคลื่อนที่ไม่สะดวกเสียเท่าไร
หลังจากวันนั้นนางก็ขอบิดามาที่ภัตตาคารหงเซ่ออยู่บ่อยครั้ง หวังจะได้เจอเขาอีกสักครั้ง
แววตาของหญิงสาวเปล่งประกายขึ้นอีกครั้ง เมื่อบุรุษที่นางแอบมอบดวงใจให้เดินเข้ามาหา เขาดูซูบผอมเสียจนเห็นได้ชัด เห็นเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกปวดใจ “ท่านพี่ ข้าทำบะหมี่อายุยืนมาให้เจ้าค่ะ ที่จริงแล้วต้องกินในวันเกิด ข้านำมาให้ท่านตอนนี้ หวังว่าท่านพี่คงไม่ถือสานะเจ้าคะ” สุ่ยอวิ๋นเหอพูดอย่างเหนียมอาย
หยางจิ้งเสวียนขยับตัวนั่งลง มองบะหมี่เส้นเหลืองอร่ามที่วางอยู่ตรงหน้า สำหรับเขาแล้ว วันเกิดก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง ไม่ได้พิเศษอะไรสำหรับตัวเขา “เจ้าไม่เห็นต้องลำบากเลย”
“ข้าเต็มใจทำเจ้าค่ะ” สุ่ยอวิ๋นเหออมยิ้มจนแก้มป่อง ก่อนจะประคองกล่องไม้บนตักขึ้น “ท่านพี่ ข้าได้สั่งช่างตีเหล็กฝีมือดีทำดาบเล่มนี้ขึ้นมา ตั้งใจให้ท่านพี่เป็นของขวัญวันเกิด หวังว่าท่านจะชอบเจ้าค่ะ”
หยางจิ้งเสวียนมองกล่องไม้นั้น ก่อนยื่นมือออกไปรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขายิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าวคำขอบคุณ จากนั้นก็พูดเสริมขึ้นมาอีกว่า “อวิ๋นเหอ นี่ก็มืดแล้ว อากาศข้างนอกเย็นมาก เจ้าควรรีบกลับเรือนไปพักผ่อนเสียเถิด”
เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าสุ่ยอวิ๋นเหอก็ค่อยๆ เจื่อนลง ที่จริงแล้วนางอยากให้เขาเปิดกล่องไม้นั้นดู กล่าวชมเล็กน้อย ดาบเล่มนี้นางตั้งใจออกแบบเอง มีเพียงชิ้นเดียวในโลกเท่านั้น
ที่สำคัญนางยังอยากอยู่พูดคุยกับเขา ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอีกสักหน่อย แต่เมื่อคิดว่าเขาเองก็คงเหนื่อยเช่นกันจึงพยายามไม่คิดมาก สีหน้าเขาดูอ่อนล้าเต็มทีแล้ว เช่นนั้นแล้วนางไม่รบกวนเขาดีกว่า
“...เจ้าค่ะ” สุ่ยอวิ๋นเหอตอบรับเสียงอ่อย
หยางจิ้งเสวียนเรียกบ่าวหน้าเรือน ให้ไปส่งสุ่ยอวิ๋นเหอที่เรือนฮ่วนซุย
อาจูช่วยเข็นเก้าอี้รถเข็นไปที่ประตู สุ่ยอวิ๋นเหอไม่วายเหลียวมองด้านหลังอย่างอาวรณ์ นางเห็นหยางจิ้งเสวียนพูดคุยอะไรบางอย่างกับสาวใช้นางหนึ่ง ก่อนที่สาวใช้นางนั้นจะเดินเข้าไปในห้องหนังสือของเขา สักพักก็เดินออกมาพร้อมถาดอาหาร
“อาจู หยุดก่อน”
อาจูที่กำลังเข็นเก้าอี้รถเข็นหยุดเดินทันที “มีอะไรหรือเจ้าคะ”
สุ่ยอวิ๋นเหอไม่ได้ตอบอะไร นางรอให้สาวใช้นางนั้นเดินมาทางนี้
สาวใช้ถือถาดอาหารย่อเข่าให้สุ่ยอวิ๋นเหออย่างนอบน้อม
สุ่ยอวิ๋นเหอเปิดปากถามทันที “เอ๋…ถาดอาหาร ท่านพี่ทานอาหารไปแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ ก่อนหน้านั้นฮูหยินได้นำบะหมี่มาให้ท่านแม่ทัพที่เรือน” สาวใช้ตอบ
“อ้อ…เป็นเช่นนี้เอง” สุ่ยอวิ๋นเหอพึมพำในลำคอ หัวคิ้วย่นเข้าหากันอย่างสับสน ย่อมแน่ใจว่าคงเป็นบะหมี่อายุยืนเหมือนของนาง ในระหว่างที่นางเข้าครัวก็ได้ยินบ่าวในนั้นพูดว่าหลี่หลินก็เข้าครัวมาลวกเส้นบะหมี่เช่นกัน
หลี่หลินก็ใส่ใจหยางจิ้งเสวียนเหมือนกันหรือ?
ไหนว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ต่างฝ่ายต่างเมินเฉยต่อกันโดยเฉพาะหลี่หลิน สายข่าวนางไม่น่าผิดเพี้ยน แต่ก็ไม่อาจวางใจอะไรได้
สุ่ยอวิ๋นเหอคิดอะไรเพลินไปหน่อยจึงเผลอกัดริมฝีปากตัวเองอย่างแรง