บทที่ 4.1
เด็กน้อยกับชายขายซาลาเปา
หนึ่งเดือนแล้วที่จิ้งเจิ้งหลี่เดินทางไปดูกิจการที่หัวเมืองทางใต้ หากแต่ทุกสิบห้าวันฉีซือจงคนสนิทของเขาผู้รับหน้าที่ดูแลสถานการณ์ทางเมืองหลวงจะเข้ามารายงานสถานการณ์ต่างๆ ให้เขาฟังเสมอ
“ทุกอย่างในเมืองยังคงดำเนินไปเช่นเดิมขอรับ แต่มีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่ง”
“เรื่องอะไร”
จิ้งเจิ้งหลี่เอ่ยถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้น ในมือหนายังคงถือสมุดบัญชีสรุปกิจการทางต่างๆ ในหัวเมืองใต้ กวาดสายตาอ่านรายการต่างๆ พร้อมกับใช้ปลายนิ้วยาวอีกข้างดีดลูกคิดคำนวณตัวเลข
“กิจการเครื่องเขียนสกุลจูอยู่ดีๆ ก็ดูครึกครื้นขึ้นขอรับ”
“ให้คนไปสืบหรือยัง”
“ขอรับ สายของเรารายงานว่าคุณชายใหญ่ได้ส่งคนไปติดต่อกับท่านอาจารย์หวู่เหวินชิง หลังจากนั้นไม่นานสำนักศึกษา
หยางหไม่งก็ผูกขาดสินค้าเครื่องเขียนกับสกุลจูขอรับ”
“ผูกขาดสินค้าเช่นนั้นหรือ ให้คนไปสืบรายละเอียดมา”
หลังจากที่คนสนิทจากไปแล้ว จิ้งเจิ้งหลี่ก็ไม่ได้อ่านบัญชีกิจการทางหัวเมืองใต้ต่อ เวลานี้เขากำลังคิดทบทวนเรื่องที่ฉีซือจงรายงานเมื่อครู่ การผูกขาดสินค้ากับสำนักศึกษาไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา แต่กิจการสกุลจูไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือทุนหนาเช่นสกุลจิ้ง เหตุใดจึงกล้าที่จะลงทุนกักตุนสินค้าให้สำนักศึกษากัน หากบัณฑิตเหล่านั้นเกิดเบี้ยวหรือมีร้านค้าใดให้ราคาสินค้าที่ถูกกว่า สินค้าที่สกุลจูซื้อมาเก็บไว้ย่อมขาดทุน สิ่งใดกันที่ทำให้สกุลจูมั่นใจว่าพวกบัณฑิตเหล่านั้นจะต้องซื้อสินค้าของตน
นับจากที่จิ้งเจิ้งหลี่ไม่อยู่จูเพ่ยหลินก็มักจะปลอมตัวเป็นเหลียนฮวาออกไปนอกจวนบ่อยๆ เหล่าคนเฝ้าประตูจวนต่างส่งสายตาท่าทางชื่นชมนางอย่างออกนอกหน้าจนถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้งเพื่อแย่งชิงเวรหน้าประตูกันก็เคยมี โดยหารู้ไม่ว่าสตรีที่ตนหมายตาคือนายหญิงอีกคนของเรือน
“ฮูหยินท่านเลิกออกไปเที่ยวนอกจวนสักทีเถอะเจ้าค่ะ หากนายท่านรู้เข้า”
“เขาไม่มีทางรู้หรอกน่า ตอนนี้เขากำลังยุ่งกับกิจการค้าข้าวที่เมืองตะวันออก หากเจ้าไม่ให้ข้าออกไปช่วงนี้จะให้ไปช่วงไหนกัน”
พูดจบจูเพ่ยหลินก็เร้นกายออกจากเรือนอย่างรวดเร็วทิ้งสาวใช้คนสนิทให้ยืนมองตามพร้อมกับถอนหายใจยาว
“ฮูหยินภายหน้าหากความแตกขึ้นมาท่านเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน”
...........................................................
วันนี้เป้าหมายของจูเพ่ยหลินออกจากประตูเรือนตั้งแต่เช้า ทว่าเป้าหมายของนางไม่ได้ไปหาจูลู่จิวเช่นทุกครั้ง หากแต่นางกำลังมาเยือนร้านเครื่องประดับสกุลจิ้ง กิจการที่ตอนนี้อยู่ในความรับผิดชอบของนาง เดือนก่อนนางมัวแต่ยุ่งๆ กับกิจการร้านเครื่องเขียนสกุลจู จึงไม่ได้มาใส่ใจร้านเครื่องประดับของตนเองเท่าที่ควร โชคดีที่จิ้งเจิ้งหลี่เองก็ยุ่งกับปัญหาข้าวที่เมืองตะวันออกราคาตกต่ำอยู่จึงไม่ได้มีเวลามาหาเรื่องนาง นับว่านางดวงดีแต่เขาดวงซวย ดังนั้นเพื่ออนาคตที่ปลอดภัยของตนเองในภายหน้าการออกจากจวนครั้งนี้นางจึงต้องการมาดูสถานการณ์ของร้านด้วยตาตนเองสักหน่อย
“อ่า... คุณชายน้อยเชิญขอรับ ร้านเรามีเครื่องประดับสวยๆ มากมายให้เลือก ไม่ทราบว่าท่านจะซื้อไปฝากใครกันขอรับข้าน้อยจะได้พาไปชมสินค้าได้เหมาะสม”
“ขอบคุณท่านมาก ข้าขอเดินดูสักครู่”
การต้อนรับนับว่าดี สายตาหวานคมมองไปรอบๆ ร้านสังเกตดูการตกแต่งและความสะอาดก็ไม่พบข้อบกพร่องที่ใด เช่นนั้นปัญหาคงอยู่ที่สินค้า จูเพ่ยหลินเดินมองสินค้ามากมายที่วางอยู่บนชั้น มองดูเผินๆ แม้จะงดงามไม่น้อย หากแต่ไม่ได้โดดเด่น หลายชิ้นมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันจนแทบแยกไม่ออก ที่สำคัญมีปริมาณมากเกินไป
“เห็นทีงานนี้ข้าคงเหนื่อยไม่น้อยจริงๆ”
จูเพ่ยหลินบ่นพึมพำกับตนเอง ก่อนเดินออกมาจากร้านในมือถือกล่องไม้เรียบๆ ที่บรรจุปิ่นปักผมรูปดอกไม้เล็กๆ ด้ามไม้ขัดเงาแม้ลักษณะดูเรียบง่ายแต่เป็นงานที่ละเอียดที่สุดในร้านเลยก็ว่าได้
เอาไปฝากเหลียนฮวานางจะได้บ่นน้อยลงสักหน่อย
ตะวันคล้อยบ่ายจูเพ่ยหลินยังเดินสำรวจตลาดเครื่องประดับเพื่อดูค่าความนิยมของชาวเมืองหนิงอัน ว่าหญิงสาวที่นี่นิยมปิ่นแบบใดกันบ้าง รวมไปถึงเครื่องแต่งกายอื่นๆ ด้วยเช่นกัน มือบางยังคงหยิบขนมเซาปิ่งที่ห่อด้วยกระดาษไขขึ้นทาน รสชาติของถั่วเหลืองให้ความหอมและหวานละมุนลิ้น นับว่าชีวิตหลังแต่งงานของนางไม่ได้เลวร้ายมากนัก
“นังเด็กหัวขโมยข้าจะตีให้ตาย!”
เสียงเอะอะโวยวายด้านหน้าทำให้จูเพ่ยหลินชะงักเท้าขมวดคิ้วเรียว เลื่อนสายตามองไปยังเด็กสาววัยสิบปี ที่กำลังถูกชายวัยกลางคนทุบตีด้วยความรุนแรง แต่แม้จะโดนทุบตีจนล้มไปกองกับพื้นแต่ มือบางของเด็กสาวกลับกำบางอย่างเอาไว้แนบอกแน่น
“ท่านลุงโปรดหยุดมือก่อน ไม่ทราบว่าเด็กสาวผู้นี้กระทำความผิดอันใดกันหรือเจ้าคะ”
“ขโมยของน่ะสิ!! นางตัวดีนี่มาขโมยซาลาเปาข้าทุกวัน วันนี้ข้าจับนางได้จะตีจนตายเลย”
“ในเมื่อนางขโมยซาลาเปาท่านทุกวัน เช่นนั้นนางก็สมควรโดนตีแล้ว”
สิ้นคำของจูเพ่ยหลิน ชาวบ้านที่มุงดูต่างก็พากันด่าทอว่านางไร้ความเมตตา การแต่งกายดีเสื้อผ้ามีราคามองแล้วคล้ายคุณชายน้อยจวนขุนนางมีเงิน พวกเขายังหลงคิดว่าอีกฝ่ายจะยื่นมือแบ่งปันเงินในกระเป๋าเข้าช่วยเด็กน้อย ทว่าไม่เพียงไม่ช่วยเหลือตรงกันข้ามคุณชายผู้นี้กลับยุยงให้คนขายซาลาเปาทุบตีเด็กน้อยจนตาย
“แต่น่าเสียดายนัก นางขโมยซาลาเปาท่านมาตั้งนาน ท่านตีนางตาย นางก็สบายหนี้สินก็ไม่ต้องชดใช้ อ่า... แบบนี้นับว่าขาดทุนแล้ว ขาดทุนแล้วจริงๆ ท่านลุงท่านคิดเหมือนข้าหรือไม่”
ชายขายซาลาเปาได้ฟังคำพูดของคนแปลกหน้า มือที่เงื้อขึ้นตีเด็กหญิงก็ชะงักค้างฉุกคิดตาม สายตาหวานเหลือบไปเห็นหญิงชราที่นั่งช่วยชายผู้นี้ขายซาลาเปาแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“มารดาของท่านชราภาพมากแล้ว หากได้คนมาคอยช่วยดูแลหยิบจับข้าวของคงดีไม่น้อย”
ท่าทางที่ดูอ่อนลงนั่นทำให้จูเพ่ยหลินเดาได้ไม่ยากว่าชายขายซาลาเปาผู้นี้แท้จริงไม่ใช่คนเลวร้าย มารดาเขาอายุมากปูนนี้เขายังพามานั่งขายซาลาเปาด้วย อีกทั้งเสื้อผ้าที่ใส่ก็ขาดหลายจุดไม่ได้ถูกซ่อมแซมเย็บปักชุนให้เรียบร้อย เช่นนี้ย่อมหมายความว่าเขาไม่มีภรรยามาคอยดูแลตนเองและมารดาที่บ้านจึงต้องพาหญิงชรามาขายของด้วย ทั้งหมดนี้บ่งบอกว่าเขามีความกตัญญูและขยันขันแข็งไม่น้อย
จูเพ่ยหลินประคองเด็กน้อยที่นั่งกอดซาลาเปาแนบอกใบหน้าของนางยังคงมีน้ำตาอาบแก้ม
"รู้หรือไม่ต่อให้เจตนาเจ้าดีเพียงใดแต่การกระทำเช่นนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งดี หากวันนี้เจ้าโดนตีจนตายคนที่เจ้าห่วงใยอยู่นั้นจะอยู่เช่นไร"
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นจดจ้องใบหน้างาม คราบน้ำตายังคงเปรอะเปื้อนสองแก้ม จูเพ่ยหลินหยิบผ้าเช็ดหน้าราคาแพงของตนออกมาซับคราบน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างไม่รังเกียจ
"นายน้อยข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ"
"ข้าไม่ใช่คนที่เจ้าควรขอโทษ"
ร่างเล็กหันไปมองชายร่างสูงใหญ่ที่เมื่อครู่ตีนางจนระบมไปทั้งตัว มือเล็กยื่นซาลาเปาที่ก่อนหน้ากอดเอาไว้แนบอกส่งคืนให้เขา
"ข้าผิดไปแล้ว ท่านจะตีข้าจนตายก็ได้ข้าจะไม่โทษท่านสักคำ แต่ข้าขอเอาซาลาเปานี่ไปให้มารดาก่อนได้หรือไม่"
ชายขายซาลาเปามองแววตาใสซื่อที่มีน้ำตาคลอในทีแล้วถอนหายใจยาว
"ตีเจ้าจนตายก็แค่นั้น ซาลาเปานั่นเปื้อนแล้วข้าขายไม่ได้แล้ว เจ้าจะเอาไปทิ้งหรือไปกินก็ตามใจเจ้า"
เมื่อได้ยินว่าเด็กน้อยตรงหน้าขโมยซาลาเปาของเขาไปให้มารดา คนที่มีมารดาให้ห่วงใยเช่นกันย่อมใจอ่อนลงถึงแปดส่วน ในขณะที่ทุกอย่างกำลังสงบลงก็มีสตรีวัยยี่สิบต้นๆ แต่ดูท่าทางอ่อนแอวิ่งฝ่าฝูงชนเขามาโอบกอดเด็กสาวผู้นั้นอีกทั้งยังร่ำไห้ปานจะขาดใจ
“ได้โปรดอย่าตีนางอีกเลย ข้าเป็นมารดาของนาง ข้าผิดที่สั่งสอนนางไม่ดี หากท่านต้องการลงโทษได้โปรดตีข้าแทน”
“ท่านแม่... ท่านไม่สบายอยู่เหตุใดจึงออกมาเช่นนี้”
“เด็กโง่ข้าไม่สบายแล้วให้เจ้าทำตัวเป็นขโมยเยี่ยงนี้ได้หรือ”
จูเพ่ยหลินมองสตรีต่างวัยสองคนโอบกอดกันร่ำไห้ ช่างเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกสงสารไม่ใช่น้อย ชายขายซาลาเปามีทีท่าอ่อนลงมารดาเขาเดินมาจับแขนบุตรชายพร้อมตบที่ต้นแขนเบาๆ
“พอเถิดพวกนางน่าสงสารปานนี้ เจ้าเองก็ปล่อยพวกนางไปเถิด”
ชายขายซาลาเปาไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก ขณะที่หญิงชราส่งซาลาเปาอีกหลายลูกให้สองแม่ลูก จูเพ่ยหลินมองสองแม่ลูกที่กล่าวขอบคุณหญิงชราด้วยแววตายินดี เด็กสาวหันมามองที่นางพร้อมส่งรอยยิ้มหวาน
เด็กน้อยเข้าใจเจตนาของนางเช่นนี้ย่อมดีไม่น้อย ความจริงเรื่องนี้เพียงจูเพ่ยหลินควักเงินในกระเป๋าช่วยเหลือเรื่องก็คงจบอย่างง่ายดาย แต่นางไม่ใช่นางเอกใจดีเช่นในนิยาย การช่วยที่ดีที่สุดคือการให้พวกเขาได้คิดมากกว่า และตอนนี้ดูเหมือนเด็กสาวตรงหน้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ที่นางตั้งใจ ช่างฉลาดยิ่งนัก
จูเพ่ยหลินกลับมาที่เรือนในช่วงเย็น ก่อนส่ง
ขนมเซาปิ่งและกล่องไม้ให้เหลียนฮวา สาวใช้หน้ากลมรับไปด้วยความงุนงง
“ให้ข้านำไปเก็บหรือเจ้าคะ”
“ของฝากเจ้าต่างหาก”
เหลียนฮวาทำหน้างุนงงมากขึ้นไปอีกก่อนจะเปิดฝากล่องไม้ดู ดวงตากลมเบิกกว้าง มองปิ่นปักผมในกล่องไม้ด้วยความชื่นชอบ ทว่าเมื่อตระหนักได้ถึงสถานะของตนรอยยิ้มบนใบหน้าก็หุบลง
“ทำไมเล่า ไม่ชอบหรือ”
“ชอบเจ้าค่ะ แต่ข้า... ข้ารับไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ”
เหลียนฮวาคุกเข่าส่งกล่องไม้คืนแก่จูเพ่ยหลิน ไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องปิ่นปักผมด้านใน
“เดี๋ยวนี้เจ้ากลายเป็นเด็กดื้อไปแล้วหรือนี่”
“ข้า…”
“เจ้าเป็นคนของข้า ข้าย่อมต้องดูแลอย่างดีเจ้ารับไว้เถิด”
เหลียนฮวาก้มลงกลืนก้อนสะอื้นลงในอก ซาบซึ้งในความเมตตาของนายหญิงยิ่งนัก ทั่วทั้งหนิงอันจะมีบ่าวรับใช้สักกี่คนกันที่ได้เจ้านายใจดีมีเมตตาเช่นนี้
...........................................................