“คุณหนูครับ...”
ชายชราเรียกคู่สนทนาแสนสวยเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายใจลอยเอาแต่อมยิ้มหวาน แล้วก็ก้มลงมองแหวนวงงามที่ประดับอยู่บนนิ้วเรียวยาว เมื่อการเรียกครั้งแรกไม่สัมฤทธิ์ผล ชายชราจึงเพิ่มน้ำหนักเสียงในการเรียกครั้งที่สองพร้อมกันนั้นก็ได้เอื้อมมือที่สั่นเล็กน้อยไปแตะเบาะๆ ตรงต้นแขนเนียนขาวผ่องอย่างคนที่มีสุขภาพดี
“คุณหนูน้ำค้างครับ”
“คะ...อะไรคะ”
นาราพรรณสะอุ้งเฮือกชักมือกลับอย่างรวดเร็วใบหน้างามขาวซีดหัวใจเต้นรัวเร็ว พลางขยับกายถอยห่างชายชราเล็กน้อย
“คุณหนูไม่สบายหรือเปล่าครับ หน้าตาดูซีดเซียวมาก”
สุ้มเสียงที่เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ใบหน้าคล้ำแดด แววตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยกังวลขณะจ้องมองมา ทำให้นาราพรรณต้องสลัดความคิดบางอย่างออกจากใจ
‘คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง เราคิดไปเองมากกว่า’
“เอ่อ...ปะ...เปล่าค่ะ สงสัยแดดร้อนไปหน่อย น้ำค้างก็เลยดูเหนื่อยๆ แล้วก็เพลียจากการเดินหาหอศิลป์นานหลายชั่วโมงด้วย”
นาราพรรณตอบเสียงตะกุกตะกัก พยายามสลัดความคิดที่โผล่เข้ามาในโสตประสาทแค่เพียงชั่ววูบ ตอนที่ชายชราคนนี้แตะต้นแขนเธอออกไป
ชายชราหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอ พลางแหงนหน้ามองพระอาทิตย์กลมโตที่สาดส่องให้พลังงานแก่มวลมนุษย์แล้วบ่นพึมพำออกมาเบาๆ
“มนุษย์!...อยู่ที่หนาวก็ต้องการแสงแดดพลังงานจากเจ้าดวงอาทิตย์กลมโต แต่คนที่อยู่ในที่ร้อนระอุเช่นในทะเลทรายอย่างเราๆ กลับต้องการให้มันหลบไปไกลๆ คงไว้แค่เพียงแสงนวลจากดวงจันทราเท่านั้น”
นาราพรรณขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง ชายชราคนนี้นอกจากจะพูดภาษาอังกฤษได้ชัดถ้อยสำเนียงไม่มีผิดเพี้ยนแล้วคำพูดคำจาฟังดูฉลาดผิดกับชาวบ้านทั่วๆ ไปยิ่งนัก
“คุณลุงคะ น้ำค้างขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”
หญิงสาวเอ่ยอย่างเกรงใจ ไม่กล้าถามในทันทีทันใด ด้วยเกรงว่าจะเป็นการละลาบล้วงเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากเกินไป
“คุณหนูน้ำค้างดูท่าทางจะเป็นคนขี้เกรงใจคนนะครับ”
ผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานได้เอ่ยวิจารณ์ตามสายตาที่ได้มองเห็น ซึ่งคนที่มองโลกในแง่ดีแถมยังเกรงใจคนเป็นที่หนึ่งได้พยักหน้าหงึกๆ รับคำของชายชรา
“คุณลุงดูคนเก่งนะคะ”
นาราพรรณเอ่ยยิ้มๆ รู้ว่าตนเองเป็นเช่นนี้จริง ความที่มองโลกในแง่ดีขี้เกรงใจคนอื่น ทำให้เธอถูกฝาแฝดพี่ซึ่งเกิดห่างกันแค่ไม่นาที อย่างพี่นาราภัทรหรือน้ำหนาวต่อว่าหลายครั้งว่า การที่เธอมองโลกในแง่ดีสงสารคนอื่นไปทั่ว แถมยังเกรงใจปฎิเสธใครไม่เป็นจะนำภัยมาให้เธอสักวัน
ชายชราผู้ชาญฉลาดหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยตอบคนที่กำลังจ้องมองตาแป๋ว “คงเป็นเพราะอยู่บนโลกที่แสนโหดร้ายใบนี้มาช้านาน เลยทำให้ลุงมองอะไรได้ทะลุปรุโปร่ง ว่าแต่คุณหนูน้ำค้างเถอะครับจะถามอะไรลุง เห็นอึกอักอยู่ในลำคอเป็นนานแล้ว”
นาราพรรณยิ้มรับคำของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยถาม “คือน้ำค้างอยากรู้ว่าทำไมคุณลุงพูดภาษาอังกฤษได้ชัดราวกับเจ้าของภาษา สำเนียงก็ไม่มีผิดเพี้ยนเลย”
ชายชราตีสีหน้าเศร้าๆ ให้เห็นครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยตอบในสิ่งที่คู่สนทนาต่างวัยแสนงดงามต้องการรู้ “ครอบครัวของลุงพอมีฐานะ สามารส่งลูกหลานไปเรียนยังต่างประเทศได้ ซึ่งลุงก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่โชคดีได้ไปเรียนต่อที่อเมริกาตั้งแต่เด็กๆ”
“มิน่าล่ะ คุณลุงถึงพูดภาษาอังกฤษได้ชัดแจ๋วเลย”
นาราพรรณพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยถามต่อโดยไม่ลืมกวาดสายตามองรอบๆ บริเวณที่เธอกับชายชรานั่งสนทนากันอยู่
“คุณลุงจะไปไหนคะ ทำไมถึงมาคนเดียวไม่มีลูกหลานตามมาด้วย”
ทั่วบริเวณที่นั่งอยู่มีเธอกับคู่สนทนาแค่เพียงสองคน ไม่มีใครอื่นที่ดูท่าว่าจะเป็นญาติของชายชรา ซึ่งดวงตาฝ้ามัวมือไม้ที่วางอยู่บนขอบไม้กระดานที่เจ้าตัวกอดแน่น สั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดเจน ทำเอานาราพรรณอดที่จะสงสารและเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้ ที่เดินทางไกลออกนอกบ้านโดยไม่มีลูกหลานคอยมาดูแล
ชายชราก้มหน้านิ่ง หน้าสลดสีกับคำถามของสาวน้อยน่ารัก สุ้มเสียงที่เอ่ยตอบนั้นแผ่วเบาจนนาราพรรณฟังแทบไม่ได้ยิน
“ลุงกำลังจะกลับบ้าน สมัยแต่ก่อนลุงมีเงินมีทรัพย์สินมาก จะไปไหนมาไหนก็มีลูกหลานคอยดูแลไม่ห่าง พอลุง
สิ้นเนื้อประดาตัว ลูกหลาน เพื่อนฝูงที่เคยประจบสอพลอก็หายไปพร้อมๆ กับเงินของลุง”
“แย่จริงๆ เลย ทำแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน ยามพ่อมีเงินทองคงเอาใจใส่ดูแลเพราะหวังสมบัติ พอพ่อหมดตัวก็จะไม่ดูแลท่านเลยหรือ?...ไม่คิดหรืออย่างไรว่าหากไม่มีท่านพวกตนก็ไม่มีโอกาสได้เกิดมา”
นาราพรรณร่ายยาวต่อว่าลูกหลานของชายชรา ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้า หญิงสาวรู้สึกโกรธแทนชายชราผู้อาภัพทำไมพ่อแม่ถึงเลี้ยงลูกทีละ 5-6 คนได้ แต่ลูกๆ กลับดูแลพ่อแม่แค่เพียงสองคนไม่ได้ ฟังๆ แล้วหญิงสาวยิ่งเจ็บใจจนต้องขบเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความโมโห พอหันมามองชายชราที่นั่งคู่กันซึ่งกำลังมองเธออย่างงงๆ แกมคาดไม่ถึงก็รู้สึกตัวว่าตนเองนั้นใส่อารมณ์มากเกินไปจึงได้ยกมือไหว้ขอโทษอีกฝ่าย
“เอ่อ...คุณลุงคะ น้ำค้างขอโทษด้วยค่ะ จริงๆ แล้วน้ำค้างไม่ควรไปต่อว่าลูกหลานของคุณลุงแบบนั้น”
ชายชรายิ้มกว้าง รู้ว่าการที่หญิงสาวแสนสวยยกมือพนมตรงอก พร้อมกับโน้มศีรษะลงเล็กน้อยนั้นเป็นการไหว้แบบไทยๆ ซึ่งดูงดงามอ่อนช้อยยิ่งนัก เขาได้เอื้อมมือที่สั่นเทาไปจับมือเล็กทั้งสองมาจับไว้แล้วเอ่ยตอบให้หญิงสาวได้สบายใจ
“คุณหนูน้ำค้างไม่ต้องกังวลว่าลุงจะโกรธหรอกครับ”
“คุณลุงไม่โกรธน้ำค้างหรือคะ”
นาราพรรณเอ่ยถามน้ำเสียงติดกังวล โดยไม่ลืมชักมือกลับอย่างช้าๆ เป็นไปอย่างนุ่มนวล เมื่อความรู้สึกแปลกๆ เหมือนครั้งแรกที่ถูกชายชราผู้นี้แตะที่ต้นแขนได้แล่นเข้ามาสู่หัวใจอีกครั้ง
“ลุงไม่โกรธหรอกครับ แต่ตรงกันข้ามลุงกำลังดีใจที่มีคนเห็นความสำคัญ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนลุงแบบนี้ จะว่าไปเกือบห้าปีแล้ว ที่ลุงไม่เคยได้รับการเอาใจใส่จากคนอื่นมาก่อน”
ชายชราตอบเสียงเศร้าๆ ดวงตาที่เริ่มฝ้ามัวมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอให้เห็นชั่วขณะ
นาราพรรณคลี่ยิ้มอย่างโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่ติดใจ เรื่องที่เธอไปต่อว่าลูกหลานของท่าน นี่ถ้าหากพี่สาวทั้งสองรวมทั้งป้าจัน คนเก่าคนแก่ซึ่งเลี้ยงดูพวกเธอ สามพี่น้องมาตั้งแต่เด็ก รู้ว่าเธอไปต่อว่าด่าคนอื่นทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเสียยกใหญ่ เธอคงถูกป้าจันกับพี่สาวทั้งสองหยิกเนื้อเขียวเป็นแน่
“ตะกี้คุณลุงบอกน้ำค้างว่ากำลังจะกลับบ้าน คุณลุงทำธุระเสร็จแล้วหรือคะ”
ชายชราถอนหายใจหนักหน่วงโดยไม่เกรงใจคู่สนทนาแสนสวย ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเศร้าระคนโกรธเคืองคนที่ตนเองเพิ่งไปพบมา
“ธุระของลุงยังไม่เสร็จหรอกครับ เพราะลุงยังไม่ทันได้เข้าไปในหอศิลป์ ก็ถูกเหล่าองครักษ์ของเจ้าชายชารีฟร์กันออกมาจากหอศิลป์เสียก่อน”