บทที่ 1
นิทรรศการแสดงภาพวาดโดยเจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ณ หอศิลป์แห่งชาติประเทศอัลนูรีน ถนนฮานัล เวลาเปิดแสดงภาพ 11.00 น.-20.00 น.
“เฮ้อ! แล้วไอ้หอศิลป์ที่ว่านี้มันอยู่ส่วนไหนของเมืองหลวงล่ะเนี่ย”
สาวน้อยน่ารักจากดินแดนสยาม บ่นงึมงำกับสายลมละอองเม็ดทรายอย่างหงุดหงิดใจ หลังจากเสียเวลาร่วมสองชั่วโมงในการตามหอศิลป์ดังกล่าว
“ถ้ารู้ว่าหายากหาเย็นแบบนี้ให้องครักษ์อานีสต์มาส่งดีกว่า”
นาราพรรณ กมลเนตร หรือ น้ำค้าง บ่นอุบออกมาอีกหน คิดๆ แล้วก็เสียใจที่ตนเองทำเป็นอวดเก่ง ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากองครักษ์อานีสต์ ดามาสต์ ซาบิลซ์ ซึ่งเป็นองครักษ์เอกของเจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ ประมุขผู้ปกครองประเทศอัลนูรีน ประเทศเกิดใหม่ทางแถบตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นประเทศที่ร่ำรวยด้วยสายแร่น้ำมันนับร้อยๆ บ่อที่ขุดขายทั้งชาติก็ไม่มีหมด องครักษ์อานีสต์เป็นองครักษ์มือหนึ่งและเป็นหัวหน้าของเหล่าองครักษ์ทั่วทั้งอัลนูรีน ซึ่งอานีสต์ได้รับคำสั่งจากเจ้าชายฮารีฟร์ให้ดูแลตัวครอบครัวของเธอ มีคุณพ่อและป้าจัน ซึ่งได้เดินทางมาที่อัลนูรีน เพื่อร่วมพิธีอภิเษกอันยิ่งใหญ่ระหว่างประมุขแห่งอัลนูรีนกับพี่สาวคนโตของเธอคือ พี่น้ำเหนือ หรือนีราพรรณ ที่จะจัดขึ้นอีกสองวันข้างหน้านี้
“ไม่น่าอวดเก่งเลยเรา”
นาราพรรณทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งยาวที่ทางการอัลนูรีนได้จัดวางไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ เพื่อให้ราษฎรและบรรดานักท่องเที่ยว ได้นั่งพักเหนื่อยคลายอาการเมื่อยล้า
ในตอนแรกองครักษ์อานีสต์ได้เสนอตัวเป็นผู้มาส่งเธอที่หอศิลป์ เพื่อชมภาพวาดฝีมือระดับน้องๆ จิตรกรเอกชื่อก้องโลกเฉกเช่นดาวินชี คือเจ้าชายชารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ อนุชาพระองค์ที่สองของเจ้าชายฮารีฟร์ ด้วยความที่อยากเดินเที่ยวให้ทั่วเมืองหลวงของประเทศอัลนูรีน ที่คิดว่าเล็กๆ และหอศิลป์ที่ว่าคงหาไม่ยากสักเท่าไหร่ หญิงสาวจึงปฏิเสธน้ำใจขององครักษ์หนุ่มที่อาสาจะมาส่ง ถึงตอนนี้ก็ได้แต่บ่นกระปอดกระแปดเพราะล่วงเข้าไปบ่ายโมงแล้ว แต่เธอก็ยังหาหอศิลป์ไม่พบ
หอศิลป์แสดงภาพวาดของเจ้าชายชารีฟร์ ที่คิดว่าจะหาได้ง่ายๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เพราะเมืองหลวงอัลนูรีนค่อนข้างใหญ่เทียบเท่ากับเมืองหลวงในประเทศไทย กอปรกับราษฎรที่ส่วนใหญ่พูดได้แต่ภาษาถิ่น กว่าจะหาคนที่พอสื่อสารภาษาอังกฤษได้ก็เล่นเอาน้ำลายแห้ง เมื่อยมือไปตามๆ กัน แถมคนที่บอกทางยังบอกเส้นทางผิดอีกทำเอาเธอแทบร้องไห้ออกมาให้ได้ ครั้นจะเรียกแท็กซี่คันแล้วคันเล่าที่แล่นผ่าน ก็ไม่มีคันไหนว่างสำหรับรับผู้โดยสารเช่นเธอสักคัน
“จะได้ชมภาพวาดอันบันลือโลก สมกับคำเล่าลือหรือเปล่าหน้อเรา”
ขณะเอ่ยงึมงำอยู่คนเดียว นาราพรรณได้หยิบบัตรเชิญสวยงามที่เกิดจากการลงมือวาด ในแต่ละใบซึ่งจัดทำเป็นพิเศษสำหรับเชษฐาทั้งสองพระองค์ โดยมีรายละเอียดระบุวันเวลาแสดงภาพเป็นภาษาอาหรับควบคู่กับภาษาอังกฤษ ซึ่งเธอได้รับจากเจ้าชายซารีฟร์ตอนที่อยู่บอสตันขึ้นมาดู
“ขอโทษน่ะครับคุณผู้หญิง กำลังหาหอศิลป์จัดนิทรรศการภาพวาดอยู่หรือครับ”
นาราพรรณเงยหน้าขึ้น มองที่มาของเสียงทักภาษาอังกฤษ ซึ่งชัดถ้อยชัดคำไม่ต่างจากเจ้าของภาษา พร้อมกันนั้นได้ขมวดคิ้วเข้ากันด้วยความแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าชายชราที่เดินหลังค่อม หนวดเครารกรุงรังเต็มใบหน้า จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้
“คุณลุงนั่งลงก่อนสิค่ะ”
หญิงสาวคลี่ยิ้มหวานอย่างเป็นมิตร พลางยื่นมือเล็กไปจับต้นแขนของชายชราซึ่งยืนไม่ค่อยมั่นคง ทำท่าจะล้มไม่ล้มแหล่ ให้ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกันกับเธอ
“ขอบใจมากคุณผู้หญิง ที่มีน้ำใจกับคนแก่ๆ อย่างกระผม”
ชายชราผงกหัวขึ้นขณะเอ่ยขอบอกขอบใจสาวน้อยน่ารัก ซึ่งมองแค่แว้บเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวอัลนูรีน ผิวพรรณที่ดูเปล่งปลั่งผ่องใส ใบหน้าจิ้มลิ้มอ่อนหวาน ช่วยให้เขามั่นใจว่าสาวน้อยคนนี้ต้องเป็นชาวเอเชียอย่างแน่นอน
“คุณผู้หญิงเป็นนักท่องเที่ยวหรือครับ”
ขณะเอ่ยถามมือใหญ่ที่เหี่ยวย่นตามวัยได้หยิบสิ่งของซึ่งถือมาด้วย มาโอบกอดไว้อย่างหวงแหนติดอาการทะนุถนอม จนนาราพรรณต้องขมวดคิ้วเพิ่งมองแผ่นกระดานขนาดย่อมๆ ที่เห็นเพียงด้านหลังด้วยความใคร่อยากรู้ ว่ามันใช่ภาพวาดหรือเปล่า
“คุณลุงไม่ต้องเรียกน้ำค้างว่าคุณผู้หญิงหรอกคะ ฟังแล้วมันแปลกๆ หูยังไม่ก็ไม่รู้”
นาราพรรณเอ่ยบอกยิ้มๆ พลางชี้นิ้วไปยังแผ่นกระดานที่เธอเห็นแค่เพียงด้านหลัง แล้วเอ่ยถามชายชราที่โอบกอดไว้แน่น
“คุณลุงกอดภาพวาดไว้ใช่ไหมคะ ถ้าไม่ลำบากเกินไปน้ำค้างขอดูนิดหนึ่งนะคะ”
“ได้สิครับคุณผู้...เอ่อ...ขอคนแก่ๆ คนนี้เรียกคุณผู้หญิงว่าน้ำค้างได้ไหมครับ”
ชายชราเอ่ยขออนุญาตด้วยความเกรงใจ ไม่ยอมหันสิ่งที่ตนเองถืออยู่ในมือให้อีกฝ่ายได้เห็น จนกว่าจะได้รับคำตอบจากสิ่งที่ร้องขอไป
นาราพรรณหัวเราะเบาๆ กับท่าทีของชายชราที่หวงของในอ้อมกอดอยู่ไม่น้อย ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงกระตุ้นทำให้เธออยากรู้เข้าไปอีกว่ามันคือสิ่งใด
“คุณลุงจะเรียกน้ำค้างก็ได้ค่ะ เพราะคงฟังรื่นหูมากที่สุดแล้ว”
ชายชรายิ้มกว้างจนเห็นฟันเหลืองๆ ด้านหน้าเกือบทุกซี่ บ่งบอกถึงอาการดีใจที่หญิงงามผู้นี้ยอมรับไมตรีจากตนเอง
“ขอบคุณคุณหนูน้ำค้าง ที่ยอมให้ลุงเรียกชื่ออย่างสนิทสนม ว่าแต่คุณหนูเป็นนักท่องเที่ยวใช่ไหมครับ เพราะลุงอยู่ที่นี่มานานแล้วไม่เคยเห็นคุณหนูน้ำค้างเลย”
นาราพรรณลอบเป่าลมออกจากปาก พร้อมกับตีหน้ามุ่ยเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมหันเจ้าแผ่นกระดานปริศนาให้เธอดูสักที
“น้ำค้างไม่เชิงเป็นนักท่องเที่ยวหรอกคะ พอดีพี่สาวคนโตของน้ำค้าง พี่นีราพรรณจะเข้าพิธีอภิเษกกับเจ้าชายฮารีฟร์ น้ำค้างกับครอบครัวเลยเดินทางมาร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย”
“โอ้! คุณหนูน้ำค้างเป็นประยูรญาติของราชินีนั่นเอง” ชายชราร้องเสียงหลงหน้าซีดทันตาเห็น ที่ตนเองนั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
“ลุงนี่มีตาหามีแววไม่ ลุงต้องขอโทษคุณหนูน้ำค้างด้วย”
ไม่เอ่ยขอโทษเปล่า ชายชราทำท่าจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแทนการนั่งบนเก้าอี้ หากไม่มีมือเล็กนุ่มนิ่มของนาราพรรณมารั้งไว้เสียก่อน
“คุณลุงไม่ต้องลงไปนั่งกับพื้นหรอกค่ะ น้ำค้างเป็นแค่น้องสาวของพี่น้ำเหนือ เป็นสามัญชนเหมือนกับคุณลุงเพราะฉะนั้นไม่ต้องคำความเคารพหรือนั่งต่ำกว่าน้ำค้างหรอกค่ะ”
นาราพรรณบอกยิ้มๆ ช่วยรั้งร่างของอีกฝ่าย ให้ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้เหมือนเดิม หญิงสาวลอบอมยิ้มดีใจ เมื่อกวาดสายตามองรอบๆ บริเวณที่นั่งอยู่และสถานที่ใกล้เคียง ซึ่งมีการติดประกาศให้ทราบทั่วกันว่า อีกสองวันข้างหน้าก็จะมีพิธีอภิเษกระหว่างหนุ่มสาวสองแผ่นดินเกิดขึ้น แม้พี่น้ำเหนือของเธอยังไม่เป็นราชินีโดยสมบูรณ์ แต่ราษฎร ข้าราชบริพารและเหล่าองครักษ์ในพระราชวัง ล้วนให้ความเคารพยกย่องว่าที่ราชินีคนงามเป็นอย่างมาก นอกจากจะให้ความเคารพในตัวพี่สาวเธอแล้ว เหล่าข้าราชบริพารยังให้ความยำเกรงเธอ ซึ่งกำลังจะได้รับการสถาปนาให้เป็นขนิษฐาในราชวงศ์อัล ริฟาอีลส์ ด้วย
‘เสร็จจากพิธีอภิเษกแล้ว เราจะจัดพิธีสถาปนาเจ้าให้เป็นเจ้าหญิงแห่งอัลนูรีน’
นาราพรรณยิ้มหวานขณะนึกถึงคำพูดของประมุขแห่งอัลนูรีน จากนั้นได้ก้มลงมองแหวนวงงามประดับด้วยอความารีน อัญมณีประจำราศีเกิด ซึ่งถูกคัดสรรเป็นพิเศษเจียระไรเป็นรูปหัวใจประดับอยู่บนเรือนแหวนทองคำแท้ แหวนวงนี้เธอได้รับจากเจ้าชายฮารีฟร์ในวันที่เดินทางมาถึงอัลนูรีน