EP11 - ทำไมผมเหมือนตายทั้งเป็น

2434 Words
11 - ทำไมผมเหมือนตายทั้งเป็น ผมพยายามเรียกคนที่เดินผ่านผมไปแต่ว่ามันกลับถูกกลุ่มผู้คนกลืนหายไปทำให้ผมไม่ทันได้เห็นเขา ผมจำสีขวดฟองสบู่ได้ดีก่อนจำลักษณะตัวเขาได้ ผมวิ่งตามไปแต่มันไม่ทัน ตอนนี้ผมมองไม่เห็นแล้วว่าคนที่ผมกำลังตามหาหายไปไหน เหมือนโอกาสอยู่ตรงหน้าแต่ผมคว้ามันไว้ไม่ทัน ผมเองผิดหวังเพราะว่าผมเหมือนเห็นความรักเข้ามาอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ผมคว้ามันไว้ไม่ทันจนมันลอยไปลับตาตามหามันไม่เจอแล้ว มันน่าเสียดายเหมือนกันนะที่ผมกำลังจะเจอคนที่ใช่แต่ถูกผู้คนกลืนหายไปจากสายตา ‘เสียดายจังเลย ทำไมเราคว้าความรักไว้ไม่ได้เลย ทั้งที่อยู๋ตรงหน้าแล้ว’ ผมแอบตัดพ้อในใจเพราะผมเหมือนเห็นสิ่งดี ๆ แต่คว้าไม่ทันและผมไม่รู้ว่าผมจะเห็นเขาอีกไหม เอาเป็นว่าจุดเด่นของผมคือขวดฟองสบู่สีน้ำเงินก็แล้วกัน รอบหน้าผมจะได้ตามหาง่ายขึ้น “แฟนต้า... เหมือนมีใครเรียกเราเลย” ผมรู้สึกว่าเหมือนผมได้ยินเสียงผู้ชาย แม้ไม่ได้เรียกชื่อแต่เหมือนเรียกให้ผมหันไป เมื่อผมหันก็ไม่พบใคร ผมไม่ได้หูแว่วแน่นอนแต่ว่าทำไมเสียงคุ้นหูแค่คำ ๆ เดียว ผมสามารถบอกได้ทันทีว่าคุ้นหู “เราไม่เห็นได้ยินเลย” ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้แต่เอาเถอะ วันนี้ผมตั้งใจออกไปเที่ยวกับแฟนต้าอยู่แล้ว ไม่ได้ไปไหนไกลจากกรุงเทพ วันนี้ผมจะนั่งรถไฟฟ้าไปทุกสีที่กรุงเทพวางสีเส้นทางให้ครบเลย การท่องเที่ยวของผมผ่านรถไฟฟ้าไม่มีพลาดและเสียเงินไม่น้อยกว่าหนึ่งพันบาท เงินนั้นแฟนต้าเป็นคนจ่าย ผมไม่ต้องทำอะไรมาก เที่ยวฟรีเงินอยู่ครบทั้งกระเป๋าก็พอใจแล้ว ผมยังไม่วางความคิดจากเรื่องก่อนหน้าหรอกเพราะอาจจะมีคนเรียกจริง ๆ ก็ได้ เวลาต่อมา “พวกเอ็งสองคนมาก็ดีละ พวกเหนียวหนี้มันต้องใช้ไม้เด็ด ถึงจะยอมจ่ายแบบไม่มีข้อแม้ ทำเหมือนที่พวกเอ็งทำก็แล้วกัน กูถือว่าใจดีไม่ตามคุมชีวิตพวกมึงก็ดีแค่ไหนแล้ว” เสี่ยที่ผมกับหยดน้ำถือว่าเป็นผู้มีพระคุณในระดับหนึ่งกำลังป้อนคำสั่งให้พวกผมไปจัดการทำอะไรบางอย่างที่คนปกติเขาไม่ทำกัน รอบนี้ส่งให้เราสองคนไปตามทวงหนี้ในตลาด ทำยังไงก็ได้ให้พวกมันจ่ายแบบไม่เล่นลิ้นเพราะคนเหนียวหนีมันก็ชอบหาข้ออ้างนั่นนี่เสมอ “รับทราบครับ” ผมตอบรับทราบกับเสี่ยแต่ความจริงผมชอบอู้งานจะตาย แม้จะอู้งานแต่ก็ไม่ได้นานจนไม่ทำอะไรเพราะถ้ามีคนอื่น โทรศัพท์หาหรือถ่ายรูปเป็นหลักฐานบอกเลยว่าผมเกมแน่นอน พวกลูกน้องชอบหักหลังกันเองแบบนี้แล้วผมจะเอาเวลาไหนไปหาความรักล่ะ “อย่าให้พลาดล่ะไอ้เกย์นอร์ท มึงอะชอบเอาเวลาไปหาความรักกับผู้ชายด้วยกัน” “เสี่ยครับ ผมไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย” ผมยอมรับเสมอว่าผมเป็นเกย์ที่มองหาความรักอยู่เสมอ แม้หลายคนจะชอบทำลายความฝันในการตามหาว่าผมหน้าตาแบบนี้จะหาแฟนที่ไหนได้ ถึงยังไม่ใช่ตอนนี้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่มีแฟนในชาตินี้ “ดูบุคลิกมึงดิ ใครเขาจะกลัวมึง แต่กูเห็นเพราะมึงกำลังขัดสนเรื่องเงิน” เสี่ยวิกรมเป็นคนให้โอกาสคนแต่ให้โอกาสกับผมไปทำงานอะไรที่ดุดัน แล้วผมจะมองหน้าคนในสังคมยังไงเพราะใคร ๆ ก็ตัดสินว่าผมเป็นคนเลวไปแล้ว แต่เอาเถอะผมยอมทำดีกว่าไม่มีเงิน แต่ที่ผมไม่ยอมมากกว่าคือการที่คนอื่นมาเรียกผมว่าเกย์นอร์ท ผมไม่ชอบฉายานี้ด้วยซ้ำ “ไปจัดการได้แล้ว” ผมและคนอื่นรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปทำงานต่อ ผมไม่กล้าต่อปากกับเสี่ยมากหรอก เดี๋ยวลูกปืนจะได้เป็นคำตอบแทนคำตอบที่ออกมาเป็นคำพูด ผมจำยอมทำงานแบบนี้ไปได้ยังไง อีกด้านหนึ่ง ทางด้านฉายหลิง ฉายหลิงขับรถยนต์ไฟฟ้าไปตามทางบนโบกมนุษย์ที่ผมและเพื่อนคนอื่นได้มาอาศัยอยู่ได้พักหนึ่งแล้ว ระหว่างทางผมเปิดเครื่องเสียงหมุนหาคลื่นเพลงโปรดที่ผมชอบฟัง ระหว่างนั้นผมปรับหูฟังแท่งแม่เหล็กให้ความเย็นคงที่เสมอ มันเป็นของประจำตัวที่ทีมผมทุกคนต้องมี แม้ว่าผมจะยังไม่ใช่สมาชิกของทีมนอร์ทโปลเต็มที่ แต่ความพยายามของผมจะทำให้ทุกคนเห็นว่า ความสามารถของผมทำให้ทุกคนเห็นว่าความตั้งใจผมสามารถช่วยให้คนตามหาความรักจากความคิดที่ผมมอบให้ส่วนหนึ่ง ผมเห็นปอแก้วยืนอยู่ริมฟุตบาธหน้าร้านกาแฟ ผมค่อย ๆ ชิดรถไปทางซ้ายแล้วรับเขาขึ้นรถมาด้วยกัน เพราะก่อนหน้านั้นเขาติดต่อมาบอกให้ผมมารับแล้วจะได้เดินทางไปด้วยกัน ผมทำตามคำสั่งรุ่นพี่และเราสองคนรีบเดินทางไปตามหาทุกคนต่อไป “ชาเขียวสำหรับฉายหลิงครับ” “รู้ใจผมเหมือนกันนะครับ” ปอแก้วเป็นเพื่อนของผม แม้ว่าอายุจะห่างกันไม่ไกลแต่ถือว่าเป็นเพื่อนเลยก็ว่าได้ เวลาผมคุยกับเขาก็ถือว่าใช้คำที่สนิทกันได้เลย แต่ไม่รุนแรงยังถือว่าสุภาพต่อกันอยู่ เขารู้ใจผมขนาดไหนถึงซื้อชาเขียวของโปรดที่ผมชอบมาให้ดื่มไปตลอดทางขับรถ ในขณะที่ผมขับไป ผมก็ถามทุกเรื่องราวเวลาที่ปอแก้วมาโลกมนุษย์ก่อนสักพัก เห็นอะไรหลายอย่างกว่าจะปรับตัวได้ก็นานพอสมควร “นอร์ทเหรอ” ผมเห็นรูปนอร์ทในโทรศัพท์เมื่อเขาเปิดให้ผมดู หน้าตาของเขาก็ถือว่าหล่อใช้ได้เลย จะว่าไปหน้าตาเหมือนไอดอลคนไหนสักคน บอกเลยว่าหล่อไม่แพ้กันเลย ปอแก้วเป็นคนเลือกเพื่อนเก่งเหมือนกันนะ ผมเห็นแล้วดึงดูดสายตาผมเป็นอย่างดี “ใช่... เขายังไม่มีแฟน แต่เราไม่สามารถจีบคนในโลกมนุษย์ได้หรอก ไม่ผิดกฎแต่เปิดเผยตัวตนตอนนี้ไม่ได้” “แล้วไปบอกนอร์ทให้เชื่อเรื่องมิสเตอร์นอร์ทโปลทำไม” ผมได้ยินและคนในทีมชอบรายงานให้เด็กฝึกหัดแบบผมว่าปอแก้วชอบไปบอกเรื่องมิสเตอร์นอร์ทโปลให้คนอื่นฟัง ต่อให้นอร์ทจะรู้เรื่องแต่ไว้ใจได้เหรอที่เขาจะไม่เอาไปบอกต่อ “เอาเป็นว่าเราไว้ใจเขา เขาไม่ใช่คนเลวหรอก” บางทีผมไม่รู้ว่าปอแก้วเป็นคนชอบเพื่อนในโลกมนุษย์มากจนแยกแยะความดีเลวกับหน้าตาไม่ออกหรือไง บางทีหน้าตาคนไว้ใจได้ที่ไหนแล้วอีกอย่างรู้จักคนที่ชื่อนอร์ทและอยู่ในสถานะเพื่อนได้ดีแค่ไหน ผมเตือนเขาว่าอย่าไว้ใจให้มากกลัวจะพลาดท่ากับคนในโลกมนุษย์เสียเอง ทางด้านนอร์ท ผมเดินมาดเท่แต่ทรงนักเลงแบบนี้ ใครเห็นก็ต้องหวาดกลัวอยู่แล้วเพราะความเก๋าและชอบหาเรื่องทำให้ชาวบ้านเกรงกลัวผม ใครหน้าไหนเบี้ยวหนีไม่ยอมจ่าย ผมและหยดน้ำจะเก็บไม่ให้เหลือชื่อนามสกุลไปเขียนในงานศพแน่นอน ผมทำมาดเท่คาบไม้จิ้มฟัน ผูกผ้าคาดหัวลายดาวเหมือนนักร้องลูกทุ่งแต่หล่อไม่แพ้กัน ดูไม่ค่อยหลงตัวเองเท่าไหร่นะ ผมมองรอบข้างดูสายตาใครเล่นหูเล่นตากับผม ผมจะเก็บที่ร้านนั้นก่อนเลย “ป้า อย่ามาหนีผมนะ” ผมเห็นป้าร้านข้าวแกงจะทำเป็นเดินไปส่งข้าวให้คนในตลาดบ้าง ผมไม่หลงกลมุกดักควายเด็ดขาด ป้าห่อข้าวส่งลูกค้ายังไงในกล่องไม่มีข้าว ใส่แต่อากาศให้สุนัขตัวไหนรับประทานมิทราบ ผมรีบพาลูกน้องไปดักเลยจะได้ไม่มีทางหนี คนชอบเหนียวหนีมันต้องเจอคนแบบผม “จะจ่ายหรือไม่จ่ายครับ ผมมาทวงดี ๆ แล้วนะ” บุคลิกของผมมันทำให้คนไม่กลัวหรือไง หน้าตาผมหล่อเหมือนคนนั้นเหรอถึงไม่เกรงกลัวความโหดผมเลย ผมเรียกให้หยดน้ำช่วยอีกแรง อีกด้านหนึ่งทางฝั่งทางเข้าตลาด ผู้ชายสองคนผู้เป็นเพื่อนซี้กันเดินเข้ามาในตลาดใกล้มหาวิทยาลัยที่ผมเรียน มันเป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ผมมีร้านเด็ดในดวงใจที่ผมต้องมาซื้อนอกมหาวิทยาลัย ยอมลงทุนออกมาแค่ไหนเพราะบางทีผมก็เบื่ออาหารในโรงอาหารเหมือนกัน “กินอะไรดีอะ” “เราอยากกินน้ำปั่น เมนูเดิมแล้วกัน กล้วยหอมปั่นสตรอเบอร์รี่และนมหมีน้ำผึ้ง” บอกเลยว่านี่มันเป็นเมนูโปรดของผมเลยก็ว่าได้ สองผลไม้เข้ากันมากมันทำให้ผมเห็นเมนูนี้เป็นเมนูโปรดของผมไปแล้ว เวลาไปร้านน้ำปั่นร้านไหน ผมต้องสั่งเสมอ เช่นเดียวกันกับตอนนี้ ผมสั่งน้ำปั่นมาแล้วจะเดินไปทางขวาของตลาด ผมรู้สึกว่าเหมือนมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนล้อมร้าน ผมเห็นแล้วดูไม่น่าไว้ใจสักเท่าไหร่ ทำไมรูปลักษณ์ภายนอกเขาน่ากลัวมากเลย ขนาดผมเป็นผู้ชายด้วยกันยังกลัวขนลุกคิดไปไกลนึกว่าเจอผู้ก่อการร้าย “จะจ่ายไหม เห้ยย ตรงนั้นอะ จะหนีเหรอ” หยดน้ำตกใจเมื่อนอร์ทเล่นใหญ่ชักปืนออกมา ผมตกใจบอกให้มันเก็บเพราะเสี่ยก็บอกว่า “เดี๋ยวใครมาเห็นตกใจกันหมด” ยูยิ้มและแฟนต้าตกใจวิ่งหนีตั้งแต่ผู้ชายกลุ่มนั้นชักปืนออกมา ผมจับแขนแฟนต้ารีบวิ่งหนีกลัวพวกมันหันมาแล้วเก็บพวกเราต่อ ผมไม่คิดเลยว่าผมกับเพื่อนมาเดินตลาดแต่ต้องมาหลบกระสุนเหมือนกำลังเจอเหตุการณ์กราดยิงเรียกได้ว่าผมกำลังตายทั้งเป็นเลยก็ว่าได้ “นี่กูมาทำอะไรตอนนี้วะเนี่ย” ผมไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใคร แต่น่ากลัวแถมมีปืนคนละกระบอก ผมเข้าใกล้เมื่อไหร่ พูดจาไม่เข้าหูได้กินลูกปืนแทนข้าวแน่นอน ผมรีบหนีออกไปให้เร็วที่สุดจะได้ปลอดภัย แต่ว่าทำไมผู้ชายที่ผมเห็นมันคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน วันนี้ทำไมผมรู้สึกสงสัยและระแวงไปหมดล่ะเนี่ย วันต่อมา ทางด้านยูยิ้ม ผมเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ ผมขับรถมาถึงที่นี่สักพักหนึ่ง เลี้ยวรถเข้าไปที่จอดรถยนต์ เมื่อผมจอดรถแล้ว ผมโทรหาแฟนต้านัดเจอกันที่โรงอาหารของคณะนิเทศศาสตร์ มันเป็นสาขาที่ผมเรียนอยู่ เพราะผมมีความฝันที่อยากทุ่มเทให้กับคณะนี้ ผมอยากเป็นดีเจ ผมถึงเข้ามาเรียนคณะนี้ได้เพราะใจรักและการตามหาความฝันของผมเอง ตรี๊ดดด บางทีผมหงุดหงิดแบบไม่มีเหตุผลกับแฟนต้ามากเลยเพราะว่าเขาชอบไม่รับสายผม ปิดหนีหรือไม่ได้ยินเสียงราวกับโยนโทรศัพท์ออกไปดาวอังคารแล้ว ให้ตายสิขนาดสายผมมันยังไม่รับ อาจารย์ที่ปรึกษามันยังไม่รับเช่นกันแล้วแบบนี้จะมีโทรศัพท์ไว้ทำไม “ฮัลโหล...” “มึงอยู่ไหน” คำถามทุกเช้าที่ผมต้องถามแฟนต้าทุกครั้งหลังจากตื่นนอนแล้ว เพราะเวลาผมนัดไปทำธุระหรือมาเรียนทีไร ผมจะต้องเป็นฝ่ายมารอมันเสมอทั้งที่ปกติมันเป็นกระตือรือร้นและจริงจังในทุก ๆ เรื่อง เว้นแต่ว่าความขี้เกียจลุกออกจากเตียงทำให้การกระทำที่พร้อมตั้งใจทำในวันนี้หมดลง “มึงจะลุกจากเตียงได้หรือยัง” ผมเอาโทรศัพท์ไปจ่อใกล้ลำโพงบลูทูธขนาดเท่าขนมปังบาร์แกต เปิดโกสต์เรดิโอเอาเสียงผีหลอกให้มันฟัง จะได้มีแรงลุกจากเตียงไม่ต้องขี้เซาอีกต่อไป บอกเลยว่าสิ่งที่ผมทำ ทุกอย่างได้ผลจนมันด่าโวยวายผมหลังจากลุกออกมาแล้ว “หรือจะให้กูเปิดเสียงปืนใส่” “มึงอย่าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นได้ไหม” ผมตกใจเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกด้วยซ้ำ ผมรีบลุกออกจากเตียงแล้วเดินทางไปมหาวิทยาลัยก่อนที่ยูยิ้มจะเกรี้ยวกราดรอผมแล้วไม่มาตามเวลาสักที อีกด้านหนึ่ง เสียงกีต้าร์ดังขึ้นบริเวณหน้าอาคารดนตรี มันถือว่าเป็นเรื่องปกติของนักศึกษาเอกดนตรีที่จะมาซ้อมดนตรีเล็กน้อยก่อนเข้าไปในห้องซ้อมจริงจัง ส่วนใหญ่มีกีต้าร์และเครื่องเป่าเท่านั้น เครื่องดนตรีที่พกพาง่ายและดึงดูดคนฟัง พวกเขาจะเอาออกมาเล่นอยู่แล้ว แต่ที่แปลกคือ คนที่เล่นอยู่ไม่ใช่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้แต่เป็นเพื่อนของปอแก้วอย่างนอร์ทนั่นเอง ผมดีดกีต้าร์รอเวลาที่ปอแก้วเดินเข้าอาคารดนตรีซึ่งเป็นอาคารของสาขาวิชานี้ ผมมาถึงที่คณะสาขานี้ก็ต้องงัดวิชาเอกเขามาเล่นสักหน่อย ผมร้องเพลงที่ผมชอบพร้อมดีดกีต้าร์ เปิดเนื้อเพลงจากโทรศัพท์ ร้องเสียงกลาง ๆ ไม่ดังมากจะได้ไม่รบกวนคนอื่น ผมบอกเลยว่าเสียงผมร้องได้ไม่แย่มาก คนฟังไม่ต่อว่าผมหรอก ในขณะที่ผมกำลังร้องเพลงอยู่ ผมเห็นปลายเท้าเดินเข้ามา ผู้ชายตรงหน้าใส่รองเท้าผ้าใบสีขาว ขาผอมเรียวมาก ใส่ชุดนักศึกษาแบบกึ่งทางการ ใส่รองเท้าผ้าใบและไม่มีเทคไนเข้ามาหาผม ผมเงยหน้าขึ้นมาบอกเลยว่าผมหยุดและมองเลยเพราะหน้าตาเขาคุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน “มีอะไรเหรอครับ” “ร้องได้นะแต่ไม่ดีกว่า...” “นายว่าไงนะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD