“ขอบคุณมากนะครับ”
“ขอบคุณมากนะคะ”
เมื่อเสร็จสิ้นงานเลี้ยง ทั้งสองคนก็มายืนกล่าวขอบคุณแขกที่มางานกระทั่งแขกทุกคนกลับบ้านไปจนหมด ในงานตอนนี้เหลือแค่คนภายในครอบครัวเท่านั้น ผู้ใหญ่โย่งและคุณย่าเอื้องฟ้าต่างรอคอยวินาทีสำคัญนั่นก็คือ...
การส่งบ่าวสาวเข้าห้องหอ
“ไปเถอะจ้ะ”
คุณย่าเข้าไปจับมือหวานเย็นเอาไว้แล้วพาทั้งคู่เดินไปยังชั้นสองของบ้าน ห้องนอนห้องใหญ่สุดซึ่งเคยเป็นห้องส่วนตัวของนนท์นธีถูกจัดให้เป็นห้องหอ เตียงสีขาวสะอาดตาถูกโปรยด้วยกลีบดอกกุหลาบเป็นรูปหัวใจ มีเทียนหอมจุดเพิ่มความ โรแมนติกอยู่รอบห้อง
คุณย่าและผู้ใหญ่โย่งพากันไปนั่งที่ปลายเตียง นนท์นธีและหวานเย็นนั่งพับเพียบลงกับพื้นก่อนจะก้มกราบทั้งสองท่านอย่างนอบน้อม
“มีความสุขมากๆ นะจ๊ะทั้งสองคน จากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้เชื่อใจกัน หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน แล้วชีวิตคู่จะมีความสุข ตานนท์...จำเอาไว้นะ หนูหวานเย็นเลือกที่จะฝากชีวิตไว้กับหลาน นั่นแปลว่าเธอต้องรักและเชื่อใจหลานของย่ามากที่สุด อย่าทำให้เธอผิดหวังและเสียใจ อย่าปล่อยให้ผู้หญิงที่แสนดีคนนี้หลุดมือไปเด็ดขาด ย่าเชื่อว่า...หนูหวานเย็นจะเป็นเมียที่ดีของหลาน และเป็นแม่ที่ดีของลูกๆ ได้อย่างแน่นอน”
คุณย่าลูบศีรษะของทั้งสองคนด้วยความอ่อนโยน นนท์นธีพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหันไปทางผู้ใหญ่โย่งต่อ
“ลุงก็ไม่มีอะไรจะพูดมากหรอกนะ นอกจาก...ฝากดูแลนังหวานเย็นด้วย มันอาจจะแสบไปสักนิด บ้าไปสักหน่อย แต่ว่า...ที่ผ่านมา หวานเย็นไม่เคยใช้ชีวิตอะไรที่ทำให้ลุงต้องลำบากใจหรือเป็นห่วงมาก่อนเลย ลูกสาวของลุงคนนี้รู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่ดี และเธอจะเลือกทางเดินที่ดีให้กับชีวิตของตัวเองเสมอ เพราะงั้น...หวานเย็นถึงได้เลือกพ่อนนท์ อยู่เป็นหลักยึดให้กันและกันไปชั่วชีวิตนะ”
“ครับคุณลุง”
“แน่ะ ยังจะเรียกคุณลุงอยู่อีก ถึงขั้นนี้ต้องเรียกคุณพ่อได้แล้ว” ผู้ใหญ่โย่งแย้งขึ้น นนท์นธีหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะเปลี่ยนสรรพนามเรียกตามที่อีกฝ่ายบอก
“ครับ คุณพ่อ”
“ดีมาก! งั้นพ่อกับย่าไม่กวนแล้วดีกว่า พวกลูกจะได้มีค่ำคืนที่เร่าร้อนด้วยกัน”
“พ่อก็...ค่ำคืนเร่าร้อนอะไรเล่า!” หวานเย็นแย้งขึ้น ใบหน้าของเธอเห่อร้อนไปด้วยความเขินอาย คำว่า ‘เข้าหอ’ คิดทีไรก็จักจี้ในหัวใจทุกที
คุณย่ากับผู้ใหญ่โย่งออกจากห้องไปแล้ว ทั้งสองจัดการปิดประตูให้เสร็จสรรพ นนท์นธียืนมองอยู่ที่ประตูก็เห็นว่ายังมีเงาของทั้งคู่ลอดผ่านช่องใต้ประตูเข้ามาอยู่ เขารู้ได้ทันทีว่าคืนนี้คงไม่ได้ออกจากห้องนี้แน่นอน ลืมความคิดเรื่องที่จะแอบออกไปนอนที่โซฟาชั้นล่างได้เลย
“คืนนี้เราคงต้องนอนด้วยกันที่นี่แล้วล่ะนะ”
“ทำไมเหรอ” นนท์นธีไม่ตอบแต่ชี้ไปที่ช่องใต้ประตู หวานเย็นมองเห็นเงาที่ลอดผ่านมาก็พอจะเดาได้ว่าคงถูกเฝ้าหน้าห้องทั้งคืนแน่
“ฉันว่าเธอไปอาบน้ำก่อนดีกว่า เสื้อผ้าของเธอพวกแม่บ้านจัดไว้ให้ในตู้เสื้อผ้าหมดแล้ว หยิบเอาแล้วกัน”
“แล้วพี่ไม่อาบก่อนเหรอ”
“ฉันอาบน้ำนาน เธอไปอาบก่อนเลย” หวานเย็นพยักหน้ารับแล้วเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบชุดของตัวเองออกมา
บรรยากาศภายในห้องเงียบกว่าทุกวัน มันเงียบจนได้ยินเสียงหอบหายใจแรงของชายหนุ่มที่เริ่มมีอาการประหม่า อาจจะเพราะฤทธิ์เหล้าที่ถูกเพื่อนๆ คะยั้นคะยอให้ดื่มไปเมื่อตอนงานเลี้ยงก็ได้ เขารีบเดินไปดับเทียนหอมทั้งหมดแล้วเปิดไฟแทน ทว่าไฟที่ติดขึ้นมาไม่ใช่ไฟสีขาวสว่างแบบทุกที แต่เป็นแสงไฟสีส้มอ่อนไม่ต่างอะไรกับเทียนเมื่อครู่
“คุณย่า...”
ชายหนุ่มกัดฟันเรียกคุณย่าของตนเอง ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าฝีมือใครที่มาเปลี่ยนหลอดไฟในห้องของเขา
“พี่นนท์! ประตูห้องน้ำล็อกไม่ได้เหรอ”
“อะไรนะ” นนท์นธีรีบเดินไปดูที่ประตูห้องน้ำ
“บ้าเอ๊ย ไม่ใช่ล็อกไม่ได้หรอก ไม่มีกลอนให้ล็อกต่างหาก คุณย่าคงมาเปลี่ยนแบบกลอนประตูทำให้เป็นแบบล็อกไม่ได้สินะ”
“เดี๋ยวสิ คุณย่าทำแบบนั้นทำไมล่ะ”
“ก็เพราะเราเป็นสามีภรรยากันไง ทำไมจะต้องล็อกประตูห้องน้ำเวลาเข้ากันล่ะ ท่านคงคิดแบบนั้นแหละมั้ง”
ชายหนุ่มตอบ ทั้งที่แอร์ในห้องเย็นจัดแต่เขากลับเหงื่อไหลไม่หยุด หวานเย็นที่เห็นเหงื่อไหลอาบแก้มเขาลงมาจึงลืมตัว ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อให้เขา
ปลายนิ้วอุ่นๆ ของหญิงสาวปาดเหงื่อออกให้ นนท์นธีที่ไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งเล็กน้อย
“ทำอะไรน่ะ”
“กะ...ก็เหงื่อพี่ไหล...”
หวานเย็นตอบอ้อมแอ้ม เธอเองก็ประหม่าและใจเต้นแรงจนแทบทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน หญิงสาวคิดว่าเขาคงไม่พอใจ เธอจึงลดมือลงเพื่อจะเลิกเช็ด
“ทำไมไม่เช็ดต่อล่ะ เหงื่อฉันยังไหลอยู่เลย”
“เอ๊ะ...” ร่างเล็กตกใจไม่น้อย นนท์นธีย่อตัวลงมาเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเอื้อมมากนัก หวานเย็นกลืนน้ำลายลงคอ ค่อยๆ ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อให้เขาอีกครั้ง
ความเงียบเข้าปกคลุม ชายหญิงยืนอยู่ใกล้กันเสียจนต่างรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนของอีกฝ่าย หวานเย็นเม้มปากแน่น เธอเช็ดเหงื่อให้เขาจนหมดก็ค่อยๆ ลดมือลง
“เรียบร้อยแล้ว จะว่าไป...ห้องพี่ก็ร้อนจริงๆ เนอะ แอร์เสียหรือไงกันนะ”
พูดพลางหันไปมองที่รีโมทแอร์ก็พบว่าอยู่ที่อุณหภูมิยี่สิบองศาเท่านั้น
“รีบไปอาบน้ำเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
เขาดันตัวเธอกลับเข้าไปในห้องน้ำ หวานเย็นรีบปิดประตู เธอสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดบ้าๆ และเริ่มกำหนดลมหายใจเข้าออกของตัวเองใหม่
“ทำมันร้อนแบบนี้ล่ะ เหมือนอยู่ในเตาอบเลย”
พูดกับตัวเองด้วยใบหน้าที่แดงลามไปจนถึงใบหู เธอพยายามเอื้อมมือไปข้างล่างเพื่อจะรูดซิบของชุดแต่ก็ไม่ถึง ท้ายที่สุดก็สำนึกได้ว่าเธอไม่มีทางถอดชุดนี้ได้ด้วยตัวเองแน่
“บ้าเอ๊ย”
พอรู้ว่าจะต้องออกไปพึ่งใครก็เริ่มก่นด่าตัวเอง หวานเย็นเปิดประตูกลับออกไปอีกครั้ง นนท์นธีที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียงดีดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรเหรอ” เขาเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปหาเธอ
“คือว่า...ฉันรูดซิปข้างหลังไม่ถึง”
หวานเย็นหันหลังให้เขาดู เธอใช้มือข้างหนึ่งจับผมของตัวเองเอาไว้เพื่อให้เขาเห็นซิปที่อยู่ตรงชุด นนท์นธีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ สิ่งที่เขามองเห็นก่อนอะไรทั้งหมดคือแผ่นหลังขาวเนียนของเธอต่างหาก ชายหนุ่มหลับตาลง เขากำลังข่มความคิดของตัวเองอยู่
“วันหลังก็อย่าใส่ชุดแบบนี้สิ หัดสำนึกไว้บ้างว่าตัวเองแขนสั้นแค่ไหน”
“อะไรนะ ใครแขนสั้นกัน ซิปมันอยู่ลึกเองต่างหากเล่า” หวานเย็นตอบโต้กลับ นนท์นธีเลิกเถียง เขาจับไปที่ซิปของชุดแล้วค่อยๆ รูดมันลงไปข้างล่างอย่างเชื่องช้า
ซิปที่ถูกรูดออกทำให้ชุดที่สวมอยู่เปิดกว้างขึ้น แผ่นหลังขาวปรากฏแก่สายตาของชายหนุ่มไปจนถึงสะโพก เขาไม่อยากจะมองมันหากแต่ก็ละสายตาไปไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว หวานเย็นใช้สองมือกอดหน้าอกเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ชุดหลุดออกมา
“เรียบร้อยแล้ว”
เขาก้มลงกระซิบที่ข้างหูเธอ หญิงสาวรีบเอ่ยขอบคุณแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ ช่วงจังหวะที่เธอหันกลับมาปิดประตูนั้น เขาแอบเห็นอกอวบขาวอิ่มที่โผล่พ้นออกมา ชายหนุ่มรีบหันหลังให้ทันที
‘ยัยลิงเอ๊ย ไม่รู้จักระวังตัวเอาซะเลย’ เขาคิดในใจ
หลังจากอาบน้ำเสร็จกันหมดแล้ว ทั้งคู่ก็พากันมานั่งจ๋องอยู่บนเตียง นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว หวานเย็นเองก็ล้ามาทั้งวัน เธอเริ่มง่วงนอนจนแทบจะนั่งสัปหงก หากแต่ก็ตื่นเต้นเกินกว่าจะข่มตาหลับลงได้ อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าจะนอนกันอย่างไรดี
“ถ้าเธอจะคิดว่าฉันจะเสียสละนอนบนพื้นแล้วให้เธอนอนบนเตียงแบบในละครล่ะก็...เลิกคิดไปเลยนะ”
นนท์นธีเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ แต่ประโยคพูดของเขาก็ช่างยั่วโมโหเธอดีเสียเหลือเกิน
“ฉันก็ไม่คิดจะเสียสละเตียงนอนเพราะเขินอายแล้วลงไปนอนที่พื้นเหมือนกันนั่นแหละ ฉันจะนอนตรงนี้”
หวานเย็นยึดที่นอนทางฝั่งซ้ายเป็นของตัวเอง เธอเอาหมอนข้างมาวางคั่นกลางระหว่างเธอและเขา นนท์นธีเห็นการกระทำนั้นก็แค่นยิ้มออกมา
“เฮอะ คิดว่าฉันอยากจะข้ามเขตไปนอนฝั่งนู้นนักหรือไง ก็ดี เธอนอนฝั่งนั้น ฉันนอนฝั่งนี้ ห้ามเกินเขตกันและกัน”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะนอนนิ่งไม่ไหวติง ไม่เกินไปเขตพี่แน่นอน”
“ก็ดี ถ้าอย่างนั้น...ราตรีสวัสดิ์ก็แล้วกันนะครับคุณภรรยา”
นนท์นธีพูดเน้นย้ำทีละคำก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตะแคงหันไปอีกทาง หวานเย็นแอบแลบลิ้นใส่เขาแบบที่ชอบทำก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้าง
“จริงสิ ฉันว่าจะถามอะไรพี่สักหน่อย ขอถามได้ไหม”
“ถามอะไรล่ะ” นนท์นธีตอบรับ หวานเย็นยิ้มอย่างดีใจที่เขาตอบกลับ เธอรีบพลิกตัวนอนหันไปอีกฝั่ง ดวงตาคู่สวยมองแผ่นหลังกว้างอย่างในความมืด
เธออยากจะพุ่งเข้าไปกอดแผ่นหลังนี้เหลือเกิน อยากจะซบหน้าลงหาความอบอุ่นจากร่างกายนี้...
“เมื่อตอนงานเลี้ยง ทำไมพี่ถึงเอาสูทมาคลุมให้ฉันล่ะ”
“...”
“ก็จริงอยู่ที่มันค่อนข้างหนาว แต่ชุดนั้นฉันก็ใส่ออกมาดูดีไม่ใช่เหรอ ทุกคนก็ชมกันทั้งนั้น ฉันไม่ได้โชว์ชุดสวยตลอดทั้งงานก็เพราะพี่เลยนะ”
คำถามที่ดูเหมือนจะตัดพ้อเพราะคิดว่าเขาไม่ได้มองว่าเธอสวยแต่คิดว่าเธอน่าเกลียดเลยเอาชุดมาคลุมให้ทำให้ชายหนุ่มที่นอนฟังคำถามอยู่ถึงกับหัวเสีย เขาพลิกตัวหันกลับมาด้วยไม่คิดว่าเธอจะหันมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่สบตากันอย่างจัง
“เอ่อ...” เกิดอาการกระอักกระอ่วนฉับพลัน
“ว่าไงล่ะ พี่เห็นว่าฉันน่าเกลียดใช่ไหมก็เลยเอาสูทมาคลุม”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า ฉันก็แค่...อยากจะเก็บมันเอาไว้ให้เจ้าบ่าวตัวจริงของเธอดูก็เท่านั้น”
“หมายความว่ายังไง”